มรดกทางวัฒนธรรม
โบราณสถาน
ชุมชนโบราณบ้านทุ่งเมือง อยู่ในเขตตำบลวังตะแบก อำเภอพรานกระต่าย เป็นชุมชนโบราณที่อยู่บนเส้นทางถนนพระร่วง
พบร่องรอยคันดินล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมอยู่สามสระ
บนผิวดินพบเศษหภาชนะดินเผาแบบสุโขทัย ทั้งชนิดเคลือบและเนื้อแกร่งไม่เคลือบ
เมืองกันเตา
อยู่ที่บ้านคลองน้อย ตำบลหนองหัววัว อำเภอพรานกระต่าย เป็นชุมชนโบารณขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มีคูน้ำกันดินล้อมรอบ บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีแนวดิน ที่เป็นลักษณะน้ำเชื่อมระหว่างเนินเขาลานกระรอกกับลำน้ำคลองน้อย
พบเศษภาชนะดินเผาเคลือบแบบสุโขทัย และหม้อบรรจุกระดูกคนตาย
เมืองบางพาน
อยู่ที่บ้านวังพาน ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย เป็นชุมชนโบราณที่ตั้งอยู่บนเส้นทางถนนพระร่วง
ที่จะไปยังสุโขทัย มีลักษณะเมืองค่อนข้างกลม มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบสามชั้น
ภายในเมืองพบซากโบราณสถานขนาดเล็ก มีสภาพเป็นกองศิลาแลง ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองมีเขานางทอง
บนยอดเขามีโบราณและฐานพระเจดีย์ทรงดอกบัวตูม
ภายในเมืองพานแม้ว่าจะพบซากโบราณสถานขนาดเล็ก เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของผังเมือง
แต่ความสำคัญของชุมชนแห่งนี้คือ เป็นเมืองที่อยู่บนเส้นทางคมนาคม ที่ติดต่อกับกรุงสุโขทัย
และเมืองอื่นได้สะดวก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางที่ราบลุ่มซึ่งเพาะปลูกได้ดี
ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลายหลักได้กล่าวถึงชื่อเมืองแห่งนี้คือ
จารึกหลักที่ ๓
(ศิลาจารึกนครชุม) กล่าวไว้ว่า หลังรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง ณ "เมืองพานหาเป็นขุมหนึ่ง"
ซึ่งอาจหมายความว่า เจ้าเมืองพานมีท่าทีแข็งข้อต่อกรุงสุโขทัย ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่
๑ (ลิไท) ได้ทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทที่จำลองมาจากเขาสุมนกูฎ ประเทศศรีลังกาไว้บนยอดเขานางทอง
แสดงว่ากษัตริย์กรุงสุโขทัยตระหนักถึงความสำคัญของเมืองพาน
จารึกหลักที่ ๑๓
กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกำแพงเพชรกับเมืองบางพานว่า ได้มีการสร้างท่อปู่พระยาร่วง
(คลองส่งน้ำ) โดยชักน้ำจากแม่น้ำปิง บริเวณเมืองกำแพงเพชร ส่งไปยังเมืองบางพาน
เพื่อช่วยให้ชาวเมืองได้ทำนาในแบบนาเหมืองนาฝาย
ชุมชนโบราณบ้านคลองเมือง
อยู่ในเขตตำบลโกสัมพี กิ่งอำเภอโกสัมพีนคร มีรูปร่างคล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง มีคลองเมืองไหลโอบทางด้านทิศตะวันออก
และหักเข้ามาทางด้านทิศใต้ของชุมชน พบซากเจดีย์ก่อด้วยอิฐแต่ถูกรื้อทำลายจนหมด
พบหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญเช่น เศษขี้แร่ (ตะกรัน) ที่เหลือจากการถลุงโลหะ
แวดินเผา ขวานหินขัดแบบมีบ่า ตุ้มถ่วงแห เศษภาชนะดินเผา เนื้อแกร่งชนิดเคลือบ
และไม่เคลือบแบบสุโขทัย
จากหลักฐานดังกล่าว ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ชุมชนโบราณแห่งนี้มีมนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐาน
ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้โลหะเป็นเครื่องมือ
ต่อมาชุมชนแห่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมทวารวดี จากการที่มีการสร้างคูน้ำคันดินล้อมรอบ
ในสมัยสุโขทัย มีการตั้งถิ่นฐาน ในลักษณะชุมชนขนาดเล็ก
ดังที่ปรากฏซากเจดีย์ขนาดเล็กก่อด้วยอิฐ และเศษเครื่องถ้วยสมัยสุโขทัย ทั้งนี้
ชุมชนแต่ละสมัยอาจจะไม่ต่อเนื่องเกี่ยวข้องกัน
![](kamphaengphet29.jpg)
เมืองไตรตรึงษ์
ตั้งอยู่ที่บ้านวังพระธาตุ ตำบลไตรตรึงษ์ อำเภอเมือง ฯ เป็นเมืองโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบสามชั้น
ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมมน
กว้างประมาณ ๘๐๐ เมตร ยาวประมาณ ๘๔๐ เมตร ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันตก
แต่ไม่ได้ใช้ลำน้ำเป็นคูเมือง เพราะพบร่องรอยคูเมืองเดิมขนานกับแนวแม่น้ำ
แนวกำแพงเมืองด้านเหนือที่อยู่ติดกับแม่น้ำ บางส่วนได้ถูกกระแสน้ำเซาะพังทลาย
บริเวณกลางเมืองมีโบราณสถานขนาดใหญ่สองแห่ง แห่งแรกเรียกว่า เจดีย์เจ็ดยอด
เป็นกลุ่มเจดีย์ก่อด้วยอิฐ เจดีย์ประธานมีเป็นทรงดอกบัวหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
ฐานล่างเป็นแบบฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมซ้อนกันสี่ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวคว่ำและบัวหงาย
แล้วเป็นส่วนเรือนธาตุย่อไม้ยี่สิบ ส่วนยอดหักพังลงมาหมด ฐานด้านหน้าหรือด้านตะวันออกทำเป็นซุ้มพระยื่นออกมา
เป็นแบบเจดีย์ที่นิยมสร้างในสมัยสุโขทัย รอบเจดีย์ประธานมีฐานเจดีย์ราย เล็ก
ๆ ก่อด้วยอิฐอยู่หลายองค์
โบราณสถานอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเจดีย์เจ็ดยอด ห่างออกไปประมาณ
๒๐๐ เมตร เป็นเจดีย์ทรงกลมหรือทรงระฆังขนาดใหญ่ ก่อด้วยอิฐ มีฐานวิหารและฐานเจดีย์ราย
เล็ก ๆ ก่อด้วยอิฐเช่นกัน
ตามผิวดินในเมือง พบเศษภาชนะดินเผาทั้งประเภทเครื่องเคลือบแบบสุโขทัยที่เรียกว่า
เครื่องถ้วยสังคโลก
เศษภาชนะดินเผาเนื้อเครื่องดิน และชนิดเผาแกร่งไม่เคลือบ จากการขุดค้นพบว่า ถัดจากชั้นดินที่พบเศษภาชนะดินเผาแบบสุโขทัย
พบโบราณวัตถุสมัยทวารวดี เช่น เศษภาชนะดินเผา ลูกปัดแก้ว และชิ้นส่วนตะเกียงดินเผา
สำหรับชิ้นส่วนตะเกียงดินเผานั้น เป็นแบบที่พบทั่วไปตามแหล่งทวารวดี ในเขตภาคกลางแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ทำให้สันนิษฐานได้ว่า บริเวณเมืองไตรตรึงษ์ ก่อนจะเป็นบ้านเมืองในสมัยสุโขทัย
ได้มีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่แล้วในสมัยทวารวดี แต่อาจจะไม่เป็นเมืองหรือชุมชนใหญ่ เป็นเพียงชุมชนที่อยู่บนเส้นทางคมนาคมริมฝั่งแม่น้ำปิง
ที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างภาคเหนือกับที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
นอกเมืองไตรตรึงษ์ทางทิศตะวันออกตามลำน้ำปิง มีโบราณสถานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเรียกว่า
วัดวังพระธาตุ
เจดีย์ประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงดอกบัว
หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบศิลปะสุโขทัย สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ยังเห็นรูปทรงทางสถาปัตยกรรมขององค์เจดีย์ได้ครบถ้วน
เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวที่นับว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาเจดีย์แบบเดียวกันทั้งในเขตเมืองกำแพงเพชรและเมืองสุโขทัย
บริเวณที่ตั้งเมืองไตรตรึงษ์เดิมเป็นป่าทึบไม่มีผู้คนมาตั้งถิ่นฐาน มีเฉพาะบริเวณริมน้ำใกล้กับวัดพระธาตุเท่านั้น
ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า ดงแสนปม
บริเวณที่มีคูน้ำและคันดินรูปสี่เหลี่ยม
อยู่ที่บ้านปากอ่าง ตำบลไตรตรึงษ์ อำเภอเมือง ฯ อยู่ทางด้านทิศใต้ของเมือง
ไตรตรึงษ์
มีแนวคันดินตัดออกจากแนวกำแพงเมืองไตรตรึงษ์ออกไปประมาณ ๑ กิโลเมตร ไปถึงบริเวณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
กว้างประมาณ ๒๐๐ เมตร ยาวประมาณ ๓๐๐ เมตร เนินดินขนาดเล็กที่ปรากฏ น่าจะเป็นป้อมมากกว่าที่อยู่อาศัยอาจจะเป็นป้อมหน้าด่านของเมืองไตรตรึงษ์
ไม่ปรากฏซากศาสนสถาน บนผิวดินพบเศษภาชนะดินเผาเคลือบแบบสุโขทัยและชนิดเผาแกร่ง
ไม่มีเคลือบ เช่นเดียวกับที่พบบริเวณเมืองไตรตรึงษ์
เมืองเทพนคร
อยู่ที่บ้านเทพนคร ตำบลเทพนคร อำเภอเมือง ฯ อยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิง
ตรงข้ามกับบริเวณเมืองไตรตรึงษ์ เป็นชุมชนโบราณที่มีคูน้ำ และคันดินล้อมรอบชั้นเดียว
เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างประมาณ ๘๐๐ เมตร ยาวประมาณ ๙๐๐ เมตร แนวคันดินและคูน้ำถูกทำลายไปมาก
ที่เหลือพอให้เห็นอยู่บ้างเฉพาะด้านทิศตะวันออกเท่านั้น พบร่องรอยศาสนสถานสองแห่งลักษณะอิฐมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกับที่พบทางฝั่งเมืองไตรตรึงษ์
ส่วนโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งพังลงแม่น้ำไปแล้ว
เมืองไตรตรึงษ์ ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำปิง กับเมืองเทพนครที่ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิง
มีลักษณะคล้ายกับเมืองนครชุม และเมืองกำแพงเพชร เมืองไตรตรึงษ์มีลักษณะเป็นเมืองเก่า
มีกำแพงคันดินล้อมรอบสามชั้นแบบเดียวกับเมืองสุโขทัย เมืองนครชุมและเมืองบางพาน
อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อเมืองไตรตรึงษ์หมดความสำคัญแล้ว ได้มีการย้ายชุมชนไปอยู่
อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำปิงคือ เมืองเทพนคร ซึ่งมีคูน้ำคันดินเพียงชั้นเดียว
จนเป็นแบบแผนของเมืองที่เกิดขึ้นในระยะหลัง
ชุมชนโบราณบ้านโคน
อยู่ในเขตตำบลคณฑี อำเภอเมือง ฯ ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิง ไม่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
วัดเก่าที่อยู่บริเวณนี้คือวัดกาทิ้ง มีสิ่งก่อสร้างสำคัญคืออุโบสถก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่
ถัดจากอุโบสถไปทางทิศตะวันออกมีวิหารขนาดใหญ่กว่า โบสถ์ ก่อด้วยอิฐแผ่นใหญ่เช่นกัน
พระประธานในวิหารมีพระพักตร์ยาวเจ็ดนิ้ว เป็นพระพุทธรูปหมวดกำแพงเพชร ตามโคกเนินพบเศษภาชนะดินเผาแบบธรรมดา
และแบบเผาแกร่งไม่เคลือบ และเครื่องเคลือบแบบสุโขทัย
ชุมชนโบราณแห่งนี้เชื่อกันว่าน่าจะเป็นเมืองคณฑี ตามที่กล่าวไว้ในจารึกหลักที่
๑ นอกจากนี้ที่บ้านโคนยังมีตำนาน
กล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับบรรพบุรุษของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ด้วย
ชุมชนโบราณบ้านหัวถนน
อยู่ในเขตตำบลหัวถนน อำเภอคลองขลุง ทางฝั่งขวาของแม่น้ำปิง บนเนินดินที่มีแนวดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก
พบซากสถูปเจดีย์ขนาดเล็ก เศษภาชนะดินเผาแบบธรรมดาและแบบเผาแกร่งไม่เคลือบ
เศษภาชนะดินเผาแบบเคลือบทั้งที่เป็นของสุโขทัยและของจีน
ชุมชนโบราณบ้านทุ่งทราย
อยู่ในเขตอำเภอคลองขลุง บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิง พบเนินดินขนาดเล็ก มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ
พบเศษภาชนะดินเผาแบบธรรมดา และแบบเคลือบของสุโขทัย พบเครื่องถ้วยจีนบ้างเล็กน้อย
ชุมชนโบราณบ้านสระตาพรหม
อยู่ในเขตตำบลดอนแตง อำเภอชาณุวรลักษบุรี มีแนวคันดินล้อมรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่และเล็กสลับกันรวมห้าแห่ง
พื้นที่สองในสามของแหล่งโบราณคดีคือ สระน้ำ บนเนินดินที่ชาวบ้านเรียกว่า เนินศาลา
พบเศษอิฐ แสดงให้เห็นว่ามีซากโบราณสถานหรือซากสิ่งก่อสร้าง บริเวณโดยรอบซากสิ่งก่อสร้างพบเศษภาชนะดินเผาแบบธรรมดา
หรือแบบเนื้อดิน และแบบเผาแกร่ง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของภาชนะดินเผาสมัยลพบุรี
เคยมีผู้ขุดพบพระพุทธรูปทรงเครื่องศิลปะลพบุรีด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าชุมชนโบราณ
ฯ แห่งนี้อยู่ในช่วงสมัยลพบุรี
ชุมชนโบราณบ้านโคกเลาะ
อยู่ในเขตอำเภอชาณุวรลักษบุรี มีแนวคูน้ำคันดินล้อมรอบขนาดเล็กชาวบ้านเรียกว่าเนินโคกวัด
พบเศษอิฐในบริเวณที่คาดว่าเคยเป็นศาสนสถานมาก่อน เป็นอิฐขนาดใหญ่แบบที่พบตามโบราณสถานในสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยาตอนต้น
แหล่งโบราณคดีเขากะล่อน
อยู่ที่บ้านหาดชะอบ ตำบลป่าพุทรา อำเภอชาณุวรลักษบุรี เขากะล่อนเป็นเขาดินและหินลูกรังที่ทอดยาวติดต่อกันสามลูก
อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิง ห่างจากลำน้ำประมาณ ๒ กิโลเมตร จากการขุดพื้นที่เชิงเขา
พบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากเช่น ขวานหินชัด หัวธนู กำไลหิน ลูกปัดหิน
ภาชนะดินเผารูปทรงต่าง ๆ ทั้งที่มีลวดลาย ลายเขียนสี และที่ไม่ได้ตกแต่งลวดลาย
หลักฐานเหล่านี้คล้ายคลึงกับที่พบบริเวณดงแม่นางเมือง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์
สันนิษฐานว่า บริเวณเทือกเขากะล่อน เป็นชุมชนโบราณที่มีการพัฒนามาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
จนเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ยุคเริ่มแรกของบริเวณลุ่มแม่น้ำปิง
เมืองประวัติศาสตร์
เมืองนครชุม
ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มบริเวณปากคลองสวนหมาก ทางฝั่งขวาของแม่น้ำปิงตรงข้ามกับเมืองกำแพงเพชร
อยู่ในเขตตำบลนครชุม อำเภอเมือง ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ
๔๐๐ เมตร ยาวประมาณ ๒,๙๐๐ เมตร มีคูเมืองสองชั้น กำแพงเมืองเป็นคันดินสามชั้นเช่นเดียวกับเมืองสุโขทัย
กำแพงเมืองทางด้านทิศตะวันออก เริ่มจากบริเวณปากคลองสวนหมากไปทางทิศใต้ของสะพานกำแพงเพชรสิ้นสุดที่บ้านหัวยาง
กำแพงเมืองด้านนี้ถูกน้ำเซาะพังทะลาย กำแพงเมืองด้านทิศเหนือ ปัจจุบันยังเหลือเป็นช่วง
ๆ ตอนที่ขนานกับลำคลองสวนหมาก คูเมืองและกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกถูกทำลายหมดสิ้น
คูเมืองและกำแพงเมืองด้านทิศใต้ ยังพอเห็นร่องรอยอยู่บ้าง โดยเป็นแนวขนานไปกับถนนที่แยกจากถนนพหลโยธินไปยังสะพานข้ามแม่น้ำปิง
แล้วตัดผ่านถนนไปบรรจบกับคูเมือง และกำแพงเมืองด้านทิศตะวันออก ที่บ้านหัวยาง
สภาพที่ตั้งขของเมืองนครชุม อยู่บนที่ราบลุ่มต่ำซึ่งเอียงลาดมาจากทางทิศตะวันตกมาสู่แม่น้ำปิง
มีลำน้ำสำคัญคือลำน้ำสวนหมาก ที่ไหลมาจากภูเขาสูงทางทิศตะวันตก และก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำปิงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคูเมืองนครชุม
ภายในตัวเมืองนครชุมแทบไม่เหลือร่องรอยโบราณสถาน เนื่องจากถูกรื้อทำลายไปหมด
ยังเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวคือ เจดีย์วัดพระบรมธาตุ ซึ่งตั้งอยู่เกือบกี่งกลางเมือง
เป็นเจดีย์แบบพม่า เจดีย์องค์เดิมเชื่อกันว่า เป็นทรงดอกบัวหรือพุ่มข้าวบิณฑ์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชานุญาตให้คนพม่าซ่อมแซมปฏิสังขรณ์
และก่อใหม่เป็นเจดีย์รูปแบบพม่า
กลุ่มโบราณสถานหรือกลุ่มวัดโบราณที่เรียกว่า บริเวณอรัญญิก
ของเมืองนครชุมอยู่ทางด้านทิศใต้ของเมือง ห่างจากแนวกำแพงไปประมาณ
๕๐๐ เมตร กลุ่มวัดบริเวณนี้แตกต่างจากกลุ่มวัดเขตอรัญญิกของเมืองกำแพงเพชรคือส่วนใหญ่นิยมก่อสร้างด้วยอิฐ
ขนาดสิ่งก่อสร้างไม่ใหญ่โตนัก รูปแบบเหมือนกันกับที่พบในเมืองเก่าสุโขทัยและศรีสัชนาลัย
วัดที่สำคัญเช่น วัดเจดีย์กลางทุ่ง วัดหนองพิกุล วัดหนองลังกา วัดซุ้มกอ วัดหนองพลับ
และวัดหนองกาเล เป็นต้น โบราณสถานอีกอห่งหนึ่งอยู่นอกเมืองทางด้านทิศใต้คือ
ป้อมทุ่งเศรษฐี
มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อด้วยศิลาแลง ลักษณะของป้อมได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตก
สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา
รูปแบบทางสถาปัตยกรรม
วัดต่าง ๆ โดยเฉพาะวัดที่อยู่นอกเมืองทางทิศใต้เป็นศิลปะสุโขทัย มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๙ ลักษณะการวางผังวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีเจดีย์หรือมณฑปเป็นประธานวัด
ด้านหน้าเจดีย์เป็นวิหาร
สถาปัตยกรรมของเมืองนครชุม อาจแบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
- อาคารที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ได้แก่ โบสถ์และวิหาร โบสถ์จะสร้างขนาดเล็ก วิหารจะสร้างขนาดใหญ่ ตั้งอยู่หน้าเจดีย์ประธาน
ลักษณะวิหารเป็นแบบอาคารโถง ที่เรียกว่า วิหารโถง ไม่มีฝาผนังด้านข้าง แต่ไม่มีปีกนกหรือชายคาแผ่เหยียดไปในระดับต่ำเพื่อกันแดดกันฝน
ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นเป็นพระประธานของวัด ฐานเป็นฐานเตี้ย
ไม่ทำฐานสูงหรือฐานทักษิณรองรับดังเช่นวิหารของเมืองกำแพงเพชร เสาอาคารเป็นเสาสี่เหลี่ยมก่อด้วยอิฐ
โดยก่อสลับด้านกว้างหนึ่งแถว ด้านยาวหนึ่งแถวขึ้นไป โครงสร้างหลังคาเป็นไม้
ใช้กระเบื้องดินเผาแบบตะขอมุ้งหลังคา
![](kamphaengphet31.jpg)
- เจดีย์
มีสองรูปแบบคือ เจดีย์ทรงดอกบัว หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ เป็นแบบเจดีย์ที่เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย
ซึ่งมีกระจายอยู่ตามเมืองโบราณต่าง ๆ ของอาณาจักรสุโขทัย ที่เมืองนครชุมมีอยู่ที่วัดเจดีย์กลางทุ่งและวัดโนนม่วง
รูปแบบประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวลูกแก้วอกไก่
ชั้นแว่นฟ้าสองชั้น ย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ แล้วเป็นเรือนธาตุย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ
จากนั้นเป็นดอกบัวตูมและถัดไปเป็นส่วนยอด
เจดีย์ทรงกลมหรือทรงระฆัง เป็นเจดีย์ประธานวัดพบที่วัดหนองลังกา วัดซุ้มกอ
วัดหนองยายช่วยและวัดหนองกาเล พบอยู่ทั่วไปในสมัยสุโขทัย ฐานล่างเป็นฐานสี่เหลี่ยม
ตอนบนเป็นองค์ระฆัง เจดีย์วัดหนองลังกา และวัดหนองยายช่วย ที่ฐานสี่เหลี่ยมล่างมีซุ้มทิศประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ทิศ
องค์ระฆังตั้งอยู่บนฐานเตี้ยไม่สูงมากนัก ต่างจากเมืองกำแพงเพชรที่นิยมทำฐานสูง
ชั้นมาลัยเก่าที่วัดหนองลังกาเป็นแบบบัวคว่ำและบัวหงาย ไม่เป็นแบบชั้นบัวถลา
ดังที่พบทั่วไปทางเมืองกำแพงเพชร
โบราณสถานสำคัญ
นอกจากวัดต่าง ๆ ในทางพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีโบราณสถานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศใต้คือ
ป้อมทุ่งเศรษฐี ลักษณะป้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
ก่อด้วยศิลาแลง ยาวด้านละ ๘๔ เมตร แต่ละด้านมีประตูเข้าบริเวณกึ่งกลาง กำแพงด้านนอกก่อเป็นผนังสูง
ด้านในก่อเป้นแท่นหรือเชิงเทิน ใช้เดินตรวจตราได้ ต่อจากนั้นก่อเป็นใบเสมา
ใต้ใบเสมามีช่อง อาจใช้เป็นช่องปืนที่มุมกำแพงทั้งสี่ด้านมีป้อมหัวมุมยื่นออกมาเป็นรูปสี่เหลี่ยม
ตอนล่างของกำแพงมีช่องกุดทำเป็นวงโค้งยอดแหลม ภายในบริเวณป้อมไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นใด
สันนิษฐานว่าสมัยอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ลักษณะของป้อมได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
จากหลักฐานในศิลาจารึก สันนิษฐานได้ว่า เมืองนครชุมเป็นเมืองที่มีบทบาทหลังรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง
ฯ และน่าจะเจริญสูงสุดในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท)
|