อิทธิพลศิลปะแบบลพบุรีในสุพรรณบุรี
การพบจารึกที่ปราสาทพระขรรค์ ที่เมืองนครธม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ ซึ่งเป็นสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
๗ ได้ให้จารึกไว้เมื่อ ปี พ.ศ.๑๗๒๔ เป็นภาษาสันสกฤต มี ๑๗๙ บท ในบทที่ ๑๑๙
- ๑๒๑ ได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ให้จำหลักพระชัยพุทธมหานาถ
นำไปประดิษฐานไว้ในปราสาทหินต่าง ๆ ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ ลโวทยะปุระ
(ลพบุรี) สุวรรณปุระ (สุพรรณบุรี) สัมพุทชัฎฎนะ ชยราชบุรี (ราชบุรี)
ศรีชยสิงห์บุรี (ปราสาทเมืองสิงห์) ศรีชยวัชรบุรี นั้น ปรากฎหลักฐานในจังหวัดสุพรรณบุรี
พบแหล่งโบราณคดีในอิทธิพลของศิลปเขมรแบบบายน ที่บ้านเนินทางพระ ตำบลบ้านสระ
อำเภอสามชุก เนินโบราณสถานดังกล่าว ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำท่าคอย และแม่น้ำสุพรรณบุรี
จากการขุดแต่งเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญเป็นจำนวนมาก ดังนี้
รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
สลักจากหินทราย ประทับยืน มีสี่กร มีลักษณะเช่นเดียวกับศิลปะขอมแบบบายน ซึ่งพบที่ประตูผี
เมืองนครธม
เคียงทวารบาล
ทำด้วยหินทรายสีเทา ลักษณะคล้ายเคียงทวารศิลาที่โคปุระชั้นที่สาม ทางด้านทิศใต้ของปราสาทพระขรรค์
ที่เมืองนครธม และทวารบาลสำริดรูปแบบศิลปะบายน เก็บรักษาไว้ที่วัดมหาชัยมุณี
เมืองอมรปุระ ประเทศพม่า
พระพุทธรูปปางนาคปรก
สร้างขึ้นในศิลปะเขมรแบบบายน สกุลช่างไทย มีอายุอยู่ประมาณครึ่งแรกถึงกลางพุทธศตวรรษ
ที่ ๑๘
ประติมากรรมรูปปั้นต่าง ๆ
เช่น รูปบุคคล รูปสัตว์ พระพิมพ์และลวดลายพรรณพฤกษา
จากการพบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากที่เนินทางพระอำเภอสามชุก ซึ่งจัดอยู่ในศิลปะขอมแบบบายน
หรืออิทธิพลศิลปะแบบลพบุรี ทำให้ทราบว่าศาสนสถานแห่งนี่ คงเป็นศาสนสถานภายในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
ที่ได้รับอิทธิพลในช่วงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔ - ๑๗๖๓) และน่าจะร่วมสมัยกับศาสนสถานที่พบ
ในเขตเมืองโบราณบ้านไร่รถ อำเภอดอนเจดีย์ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของสุพรรณบุรี
ที่มีการตั้งชุมชนสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย หรือก่อนพุทธศตวรรษที่
๑๙
สมัยอยุธยาตอนต้น
สุพรรณภูมิ
พัฒนาของเมืองในระยะเริ่มแรก ชื่อสุพรรณภูมิ ปรากฎเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในจารึกสุโขทัยหลักที่
๑ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ฯ (ด้านที่๔ บรรทัดที่ ๒๐ - ๒๔ ) บอกเรื่องราวของสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหง
ฯ เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เมืองสุพรรณภูมินี้ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรง
ฯ ทรงเชื่อว่าเมืองเดียวกับเมืองโบราณอู่ทอง ซึ่งชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นเล่าว่าเป็นเมืองของท้าวอู่ทอง
ก่อนที่จะอพยพไปส้างกรุงศรีอยูธยา เมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓
ต่อมาได้พบศิลาจารึกหลักที่ ๔๘ เป็นศิลาจารึกลานทอง
พบที่วัดส่องคบ จังหวัดชัยนาท จารึกเมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๑ ตรงกับสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราช
(พ.ศ.๑๙๓๘ - ๑๙๕๒) แห่งกรุงศรีอยุธยา มีข้อความระบุชื่อเมืองสุพรรณภูมิไว้สองครั้ง
แสดงว่าเมืองสุพรรณภูมิที่ปรากฎชื่อในจารึกพ่อขุนรามคำแหง ยังพัฒนาต่อเนื่องมาถึงสมัยอยูธยา
และน่าจะเป็นเมืองที่มีความสำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้น
จากการขุดค้นทางโบราณดคีระหว่าง ปี พ.ศ.๒๕๐๗ - ๒๕๐๙ ณ บริเวณเมืองโบราณอู่ทอง
พบว่าเป็นเมืองสมัยทวารวดี มีอายุอยู่ประมาณ พ.ศ.๑๒๐๐ - ๑๖๐๐ ดังนั้นเมืองอู่ทองกับสุพรรณภูมิจึงมิใช่เมืองเดียวกัน
เพราะช่วงเวลานี้เก่ากว่าสมัยอยุธยาเกือบ ๓๐๐ ปี ยาวนานเกินกว่าที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทองจะอพยพผู้คนมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
เมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๓
ชื่อสุพรรณภูมิยังปรากฎในเอกสารเรื่องชินกาลมาลีปกรณ์
ซึ่งแต่งโดยพระรัตนปัญญาเถระพระภิกษุชาวล้านนา เมื่อปี พ.ศ.๒๐๖๐
ข้อความในเอกสารที่กล่าวถึงนี้ เป็นเอกสารที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น
ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า เมืองสุพรรณภูมิ เป็นเมืองเดียวกับเมืองสุพรรณบุรีที่ขุนหลวงพะงั่ว
เคยครองอยู่ก่อนขึ้นครองราชย์กรุงศรีอยุธยา ส่วนสาเหตุที่พงศาวดารสมัยอยุธยาไม่ได้ระบุชื่อเมืองสุพรรณภูมิไว้
น่าจะเป็นเพราะพงศาวดารเหล่านั้นเขียนขึ้นหลังจากได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น สุพรรณบุรีแล้ว
เอกสารที่เรียกว่าสุพรรณบุรี เป็นครั้งแรกคือ พงศาวดารฉบับวันวลิต
ที่เขียนโดยชาวฮอลันดา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อปี พ.ศ.๒๑๘๒ ส่วนเอกสารของไทยที่เรียกชื่อสุพรรณบุรีครั้งแรกคือ
พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ อักษรนิติ์
จากหลักฐานที่ได้จากภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหารพบว่า เมืองสุพรรณบุรีมีร่องรอยของบริเวณผังเมืองโบราณขนาดใหญ่ซ้อนกันสองเมือง
คือ เมืองที่เก่ากว่า
เป็นเมืองขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๑,๙๐๐ เมตร ยาว ๓,๐๐๐ เมตร ครอบคลุมพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำ
ซึ่งเป็นลักษณะของเมือง ที่มีแม่น้ำสุพรรณบุรีไหลผ่านกลางเมือง ส่วนเมืองที่สร้างทับซ้อนภายหลังปรากฎร่องรอยของคูเมือง
และกำแพงอยู่ชัดเจน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี ลักษณะตั้งเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ขนาดกว้าง ๙๐๐ เมตร ยาว ๓,๐๐๐ เมตร แนวคูด้านยาวไปอยู่ในแนวเหนือใต้ แต่เฉียงไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อย
มีป้อมปราการตั้งอยู่ในลักษณะทำป้อมลอยเป็นเกาะอยู่ในคูเมืองมีอยู่หกป้อม
อยู่ทางด้านทิศเหนือหนึ่งป้อม ทิศตะวันตกสามป้อมและทิศตะวันออกเฉียงเหนือหนึ่งป้อม
ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเรียกป้อมในลักษณะนี้ว่า หอโทน
ซึ่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นที่กรุงศรีอยุธยาเพื่อใช้รับศึกพม่า
ลักษณะป้อมกลางน้ำดังกล่าวนี้มีอยู่ที่เมืองพิษณุโลกฝั่งตะวันตก เมืองพิจิตรเก่า
และเมืองกำแพงเพชร บรรดาเมืองเหล่านี้เป็นเมืองในสมัยอยุธยาตอนต้น
เมืองสุพรรณภูมิหรือเมืองสุพรรณบุรี ได้พัฒนามาเป็นบ้านเมืองมาแต่ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา
เมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๓ เมื่อเจ้านครอินทร์ซึ่งครองเมืองสุพรรณภูมิอยู่เดิมได้ครองราชย์กรุงศรีอยุธยาแล้ว
เมืองสุพรรณภูมิก็ได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยูธยาในฐานะเมืองลูกหลวง
ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จขึ้นครองราชย์ (พ.ศ.๑๙๙๑ - ๒๐๓๑) ได้ยกเลิกระบบการปกครองเมืองลูกหลวงในส่วนภูมิภาคได้แบ่งการปกครองออกเป็นหัวเมืองชั้นเอก
ชั้นโท ชั้นตรี และชั้นจัตวา
ในพระไอยการตำแหน่งนายทหารหัวเมือง ได้กำหนดระดับชั้นของเมืองไว้สี่ชั้น เมืองสุพรรณภูมิจัดอยู่ในเมืองชั้นที่สี่
เป็นหัวเมืองชั้นจัตวา เมืองสุพรรณภูมิ ได้อยู่ในฐานะนี้สืบมาจนถึงสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย
สมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย
ในช่วงเวลาดังกล่าว เมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองที่อยู่ในเส้นทางเดินทัพ เพื่อทำสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับกรุงหงสาวดี
กำแพงเมืองสุพรรณบุรี
หลังจากสงครามเมื่อปี พ.ศ.๒๐๙๑ เสร็จศึก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ได้โปรดให้รื้อกำแพงเมืองสุพรรณบุรี
ด้วยทรงเห็นว่าหากข้าศึกตีเมืองสุพรรณบุรีได้ ก็จะใช้ประโยชน์ในการป้องกันตนเองจากกองทัพกรุงศรีอยุธยา
จึงเห็นสมควรให้รื้อกำแพงเมืองหน้าด่านทั้งสามเมืองคือ สุพรรณบุรี ลพบุรี
และนครนายกลงเสีย
สงครามยุทธหัตถี
หลังจากสมเด็จพระนเรศวร ทรงประกาศอิสรภาพ เมื่อปี พ.ศ.๒๑๒๗ ทางกรุงหงสาวดีได้ยกทัพมาโจมตีกรุงศรีอยุธยาหลายครั้ง
ซึ่งต้องใช้เส้นทางการเดินทัพผ่านเมืองสุพรรณบุรีเกือบทั้งสิ้น ทางกรุงศรีอยุธยาได้เคยใช้เมืองสุพรรณบุรีเป็นสนามรบ
ในสงครามยุทธหัตถีเกิดขึ้นในเขตแดนเมืองสุพรรณบุรี โดยสมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา
ณ ตำบลตระพังตรุ
สงครามคราวตีเมืองหงสาวดีและเมืองตองอู เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไปตีเมืองหงสาวดีและเมืองตองอู
พระยาสุพรรณบุรี เจ้าเมืองสุพรรณบุรีได้รวมไปในกองทัพด้วยในฐานะนายกอง และเมื่อเดินทัพกลับตองอู
สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงแวะพักทัพที่เมืองสุพรรณบุรีเป็นเวลานาน
รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
สมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ พระสุพรรณบุรีเจ้าเมืองสุพรรณบุรี
ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นเกียกกาย และได้ทำการสำเร็จหลายประการ
รัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา
สมเด็จพระเพทราชาเป็นชาวบ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี และเป็นต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง
ครองราชย์กรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เมืองสุพรรณบุรีคงถูกทำลายและร้างผู้คนไประยะหนึ่งจึงมาฟื้นตัวเมื่อต้นสมัยรัตนโกสินทร์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองสุพรรณบุรีจึงได้เริ่มกลับตั้งเป็นชุมชน
มีสภาพเป็นหมู่บ้านขนาดย่อม และค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับ
วรรณคดีที่เกี่ยวข้อง
ในสมัยรัตนโกสินทร์มีอยู่สามเรื่องคือ เสภาเรื่องขุนช้างชุนแผน
โคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ และกลอนนิราศสุพรรณของเสมียนมี
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นวรรณคดีสำคัญที่มีตำนานมีความสัมพันธ์เนื่องกับเมืองสุพรรณบุรี
สุนทรภู่ได้กล่าวถึงถิ่นฐานตัวละครในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ไว้ในโคลงนิราศสุพรรณ
และสมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรง ฯ ทรงนิพนธ์ไว้ในนิทานโบราณคดีเรื่อง ห้ามเจ้าไปสุพรรณ
มีความว่าเมืองสุพรรณบุรี เป็นเมืองเนื่องกับนิทานเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่ว่าขุนศรีวิชัยกับนางเทพทอง
พ่อแม่ขุนช้างอยู่ที่ตำบลท่าสิบเบี้ย
บ้านพันศรโยธากับนางศรีประจันต์ พ่อแม่นางนางพิมอยู่ที่ตำบลท่าพี่เลี้ยง
ขุนช้างไปครองบ้านหมื่นแผ้ว พ่อตาที่ตำบลรั้วใหญ่
ขุนช้าง พลายแก้วกับนางพิม เมื่อครั้งยังเป็นเด็กเคยเล่นด้วยกันที่สวนข้างวัดเขาใหญ่
เณรแก้วอยู่วัดป่าเลไลยก์
แล้วหนีไปอยู่วัดแค
บรรดาตำบลบ้าน และวัดเหล่านี้ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้
จากโคลงนิราศสุพรรณของสุนทรภู่ได้กล่าวถึงกลุ่มชนในเมืองสุพรรณ ว่ามีทั้งไทย
จีน มอญ กะเหรี่ยง และทวาย มีอาชีพทำสวน ทำไร่ ทำการประมง หรืออาชีพที่สืบเนื่องจากการประมง
ชื่อบ้านมักสัมพันธ์กับอาชีพในท้องถิ่น เช่น บ้านบางปลาร้า บ้านโคกคราม บ้านสวนขิง
บ้านขนมจีน บ้านโคกหม้อ ฯลฯ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาล เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๘ มณฑลนครชัยศรีประกอบด้วย เมืองนครชัยศรี
เมืองสุพรรณบุรี และเมืองสมุทรสาคร
เมืองสุพรรณบุรีในครั้งนั้น มี ๔ อำเภอ คือ อำเภอพิหารแดง (อำเภอท่าพี่เลี้ยง,อำเภอเมือง)
อำเภอบ้านทึง (อำเภอนางบวช) อำเภอสองพี่น้อง และอำเภอบางปลาม้า ต่อมาเมื่อมีประชากรเพิ่มขึ้นก็ได้ตั้งอำเภอเพิ่ม
จนปัจจุบันมี ๑๐ อำเภอ
- อำเภอเมือง ฯ
เดิมเป็นที่ตั้งเมืองสุพรรณบุรี เรียกว่าศาลแขวงสุพรรณบุรี เมื่อแรกตั้งเป็นอำเภอชื่ออำเภอวิหารแดง
แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอท่าพี่เลี้ยง และได้เปลี่ยนเป็นอำเภอเมือง เมื่อปี
พ.ศ.๒๔๘๒
- อำเภอสามชุก
แรกตั้งเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๗ เดิมชื่ออำเภอนางบวช เพราะที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านนางบวช
ขุนพรมสุภา (บุญรอด) เป็นนายอำเภอคนแรกใช้บ้านพักเป็นที่ทำการอำเภอ ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ประกาศยกฐานะ
อำเภอฝ่ายเหนือในบริเวณหมู่บ้านเขาพระคือ อำเภอเดิมบาง จึงได้ย้ายที่ตั้งอำเภอมาตั้งที่บ้านสามเพ็ง
ซึ่งมีท่าเรือสำหรับชาวบ้านป่านำสินค้าของป่าบรรทุกเกวียนมาฃื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
สามชุกเป็นดินแดนที่ตั้งถิ่นฐานของชาวกะเหรี่ยง และละวา และเป็นทตั้งของโรงน้ำตาลแห่งแรก
ในทางตะวันตกของภาคกลาง
- อำเภอสองพี่น้อง
เริ่มตั้งเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๙ ในระยะแรกที่ตั้งที่ทำการอำเภอใช้บ้านหลวงเทพบุรี
(เอี่ยม) ซึ่งเป็นนายอำเภอคนแรก ต่อมาหลวงเทพบุรีได้ยกที่ส่วนตัวที่บ้านปากคอก
ทางฝั่งตะวันตกของคลองสองพี่น้องให้ทางราชการสร้างที่ทำการอำเภอ ต่อมาเมื่อปี
พ.ศ.๑๕๐๗ ได้ย้ายที่ทำการอำเภอไปอยู่ที่บ้านโพธิ์อ้น ปัจจุบันเรียกบ้านอำเภอเก่า
เมื่อแรกตั้งอำเภอพื้นที่อำเภอทางด้านทิศเหนือครอบครุมพื้นที่ที่เป็นอำเภออู่ทอง
บางส่วนต่อมาจึงได้แยกพื้นที่ออกไปจัดตั้งเป็นอำเภอจระเข้สามพัน
- อำเภอบางปลาม้า
ตั้งเป็นอำเภอ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐ ที่ทำการอำเภอใช้ที่พักของขุนรจนา หรือปลัดจอน
นายอำเภอคนแรก เป็นเรือนแพตั้งอยู่ที่ปากคลองบางปลาม้า และได้มีการย้ายที่ทำการอำเภอหลายครั้ง
คือที่ตรงข้ามวัดลาดหอย ที่บ้านวังตาเพชร และสุดท้ายไปตั้งที่ฝั่งตำบลโคกคราม
- อำเภออู่ทอง
แรกตั้งเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นอำเภอจระเข้สามพัน โดยแยกตำบลหัวข่อย (ดอนมะเกลือ)
สระยายโสม หนองบัว จระเข้สามพัน บ้านดอนยุ้งทะลาย กระจันทร์ มาจากอำเภอสองพี่น้อง
แยกตำบลบ้านโข้ง ดอนคา หนองโอ่ง จากอำเภอท่าพี่เลี้ยง ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๕
ได้รับโอนหมู่บ้านหนองกระจิว กกม่วง จร้าใหม่ จากจังหวัดกาญจนบุรี
- อำเภอจระเข้สามพัน
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจระเข้สามพัน ตำบลจระเข้สามพัน ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภออู่ทอง
เพื่อให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ เนื่องจากอยู่ใกล้เมืองโบราณ ที่เรียกว่าเมืองท้าวอู่ทอง
และได้ย้ายที่ทำการอำเภอไปอยู่ที่คูเมืองอู่ทอง
เดิมอำเภออู่ทอง เป็นเมืองกันดารการเดินทางไปติดต่อจังหวัดต้องเดินเท้าข้ามทุ่งนาหนึ่งวันเต็ม
และเดินทางไปติดต่อกรุงเทพ ฯ ใช้เวลาไปกลับสี่วันเต็ม
- อำเภอเดิมบางนางบวช
เมื่อแรกตั้งอำเภอได้โอนท้องที่จากอำเภอนางบวช (สามชุก) จำนวน ๑๒ ตำบล จากอำเภอเชี่ยน
(อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท) ๒ ตำบล และจากอำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
๒ ตำบล แล้วยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๔ ชื่ออำเภอเดิมบาง ที่ทำการอำเภออยู่ที่บ้านท่ารวก
ตำบลเขาพระ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๗ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอสามชุก อำเภอเดิมบางจึงนำคำว่า
นางบวชมาต่อท้าย แล้วย้ายที่ตั้งอำเภอไปอยู่ที่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน
ในเขตตำบลเขาพระ
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ ได้แบ่งเขตอำเภอเดิมบางนางบวชออกเป็นกิ่งอำเภอด่านช้าง และได้ยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๒๔
- อำเภอศรีประจันต์
เมื่อแรกตั้งอำเภอได้แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งจากอำเภอท่าพี่เลี้ยงตอนเหนือ (อำเภอเมือง)
และอำเภอนางบวชตอนใต้ (อำเภอสามชุก) มารวมกัน แล้วยกฐานะเป็นอำเภอศรีประจันต์
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๔ และต่อมาได้โอนตำบลดอนปรุ ตำบลศาลาทุ่งแฝก จากอำเภอวิเศษชัยชาญ
อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทองมารวมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๐
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ ได้มีการเปลี่ยนชื่อตำบลและหมู่บ้านใหม่ ให้เหมาะสมกับท้องที่และประวัติศาสตร์
ได้เปลี่ยนตำบลที่มีองค์เจดีย์ยุทธหัตถี จากตำบลบ้านค่อย เป็นตำบลดอนเจดีย์
และเปลี่ยนชื่อตำบลขี้เหล็กเป็นตำบลหนองสาหร่าย
- อำเภอด่านช้าง
ได้แยกตำบลด่านช้าง ตำบลห้วยขมิ้น และตำบลองค์พระ แล้วยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภอด่านช้าง
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ ต่อมาได้โอนตำบลบ่อกรุมารวมเรียกตำบลหนองมะค่าโมง และยกฐานะเป็นอำเภอด่านช้าง
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔
- อำเภอดอนเจดีย์
ได้มีการแบ่งเขตอำเภอศรีประจันต์ มาเป็นกิ่งอำเภอดอนเจดีย์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕
และยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอดอนเจดีย์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๘
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ได้เสด็จมายังเจดีย์ยุทธหัตถี
ทรงริ่เริ่มการฟื้นฟูบูรณะ ได้กำหนดสงวนที่ดินบริเวณพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ไว้เป็นจำนวน
๓๗๖ ไร่ และได้ทรงกำหนดแบบก่อสร้างองค์พระสถูปเจดีย์เพื่อสร้างครอบองค์เดิม
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้เริ่มก่อสร้างพระบรมราชานุสรณ์ดอยเจดีย์ และแล้วเสร็จเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๐๒
- อำเภอหนองหญ้าไซ
ได้แบ่งเขตพื้นที่ออกจากอำเภอสามชุก และยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖
ต่อมาได้ยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๓
|