ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี



| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

มรดกทางพระพุทธศาสนา
พระธาตุตาดทอง หรือธาตุก่องข้าวน้อย
            ตั้งอยู่นอกบ้านตาดทองไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑ กิโลเมตร อำเภอยโสธร  ตามตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๒๑ เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ก่ออิฐถือปูน  ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอีสาน ผสมเรือนธาตุอย่างล้านนา มีซุ้มจรนำทั้งสี่ทิศ ฐานเป็นฐานเขียงซ้อนกัน ๔ ชั้น ต่อขึ้นไป เป็นฐานปัทม์ ลักษณะบัวหงาย  มีลูกแก้วอกไก่คั่นกลาง รองรับเรือนธาตุที่ก่อซุ้มจรนำทั้ง ๔ ทิศ เป็นซุ้มหลอก  มียอดซุ้มโค้งแบบหน้านาง สลักลายปูนปั้นพรรณพฤกษา ด้านข้างซุ้มทำลายตาเวนหรือดวงตะวันประดับด้วยกระจก  ส่วนบนของเรือนธาตุลักษณะคล้ายบัวหงาย ยื่นออกมารองรับกับฐานปัทม์ช่วงล่าง  ส่วนยอดทรงบัวเหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ช่วง  ที่ยอดธาตุส่วนล่างทั้ง ๔ มีกาบยื่นออกมาทำเป็นรูปจำลองอาคารซ้อนกันขึ้นไป  ส่วนยอดสุดมีแอวขันคั่นเพื่อลดความสูง  เมื่อมองดูจึงเกิดความพอเหมาะพอดีในด้านทัศนศิลป์โดยรอบองค์เป็นกลุ่ม
            ด้านหน้าขององค์ธาตุมีอุปมุง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส แบบศิลปกรรมอีสานลาว หลังคาโค้งมน ประดับลายปูนปั้น สันมุมทั้งสี่เป็นรูปพญานาคผงกหัวขึ้นในส่วนปลาย  ลำตัวทอดยาวไปตามส่วนโค้งของสันหลังคา  ส่วนยอดทำคล้ายธาตุจำลอง  ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป
            ประวัติความเป็นมาของพระธาตุแห่งนี้มีอยู่สองนัย  นัยหนึ่งมีที่มาจากตำนานก่องข้าวน้อย  อีกนัยหนึ่งมีที่มาจากการบูรณะพระธาตุพนม  บรรดาผู้ที่จะไปร่วมนำของมีค่าไปบรรจุที่พระธาตุพนม ได้เดินทางมาพักอยู่บริเวณใกล้บ้านตาดทอง ได้ข่าวว่าการบูรณะพระธาตุพนมเสร็จแล้ว  จึงได้พร้อมใจกันสร้างเจดีย์ครอบของมีค่าที่เตรียมมาดังกล่าวนั้น พร้อมกันนั้นชาวสะเดาตาดทอง ก็ได้นำถาดทองที่ใช้เป็นพานอัญเชิญวัตถุมงคล ไปบรรจุในพระธาตุพนม มารองรับวัตถุมงคลที่ชาวบ้านตั้งใจนำไปบรรจุในพระธาตุพนม  แล้วช่วยกันก่อเจดีย์บรรจุไว้

ธาตุบ้านสะเดา

            ตั้งอยู่ที่บ้านสะเดา อำเภอเมือง ฯ องค์พระธาตุก่อด้วยอิฐสององค์แรก  มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์  เป็นรูปแบบของธาตุอีสานทรงแปดเหลี่ยม มีช่วงฐานต่ำ  เหนือขึ้นมาเป็นส่วนแอวขันรองรับองค์เรือนธาตุ  ลักษณะคล้ายลาดบัวขนาดใหญ่ทรงแปดเหลี่ยม  และยอดบัวคล้ายบัวแปดเหลี่ยมทรงสูง เป็นยอดธาตุที่ซ้อนกับสองชั้น คั่นด้วยแอวขันขนาดเล็ก ช่วงล่างมีลายปูนปั้นเป็นรูปกลีบบัว  เหนือสุดขององค์ธาตุเป็นยอดฉัตร ด้านหน้าของธาตุมีร่องรอยแท่นวางของบูชา
            ธาตุองค์ที่สองตั้งอยู่ใกล้ธาตุองค์แรก  แต่มีขนาดเล็กกว่า  ปัจจุบันเหลือแต่เพียงส่วนฐาน  ตรงกลางมีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมคล้ายเป็นกรุ
            โบราณวัตถุ ที่บรรจุในกรุกลางฐานได้แก่ พระพุทธรูปไม้แกะสลัก  พระพุทธรูปบุเงิน  พระพุทธรูปสำริด พระพุทธรูปตะกั่ว  พระพุทธรูปดินเผาสีแดงชาดปิดทอง  พระพิมพ์ กล้องยาสูบ  และเครื่องถ้วยจีนจากโบราณวัตถุ และลักษณะของธาตุ สันนิษฐานว่า  สร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๓ - ๒๔  โดยฝีมือช่างพื้นเมือง

พระพุทธบาทบ้านหนองยาว
            ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาท บ้านหนองยาว ตำบลหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย  เป็นรอยพระพุทธบาทจำลองที่ทำขึ้นตามคตินิยมในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา  ในบริเวณเดียวกันได้พบพระพุทธรูปปางนาคปรก ทำด้วยหินทราย  พร้อมศิลาจารึกอักษรไทยน้อย  ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้กันแพร่หลายในกลุ่มไท - ลาวอีสาน  เมื่อร้อยปีก่อน  ข้อความในจารึกมีว่า  พระมหาอุดมปัญญา  ได้อาราธนารอยพระพุทธบาทมาแต่กรุงศรีอยุธยา

วัดมหาธาตุ

            ปูชนียสถานในวัดได้แก่ พระธาตุพระอานนท์ และหอไตรกลางน้ำ
            พระธาตุพระอานนท์  ออกแบบอย่างประณีต มีรูปแบบต่างจากธาตุอีสานทั่วไป  องค์พระธาตุก่ออิฐถือปูน  ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ยาวด้านละ ๘ เมตร สูง ๒๕.๓๐ เมตร ฐานสูง  ประกอบด้วยฐานเขียว ๓ ชั้น  แอวขันปากพานคอดกิ่ว  รองรับฐานบัวคว่ำบัวหงายท้องไม้มีลวดบัวลูกแก้วอกไก่คั่นกลาง  เรือนธาตุค่อนข้างสูง  แต่คั่นจังหวะให้ดูเล็กลงด้วยบัวคว่ำบัวหงาย หยักซ้อนกันขึ้นไปในช่วงล่าง  ซุ้มจรนำประดิษฐานรูปยืน (คือพระอานนท์) มียอดซุ้มโค้งแบบหน้านางตกแต่งลายปูนปั้นทางสีเหลือง  ส่วนยอดเป็นทรงดอกบัวเหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ชั้น  มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากทรวดทรงบัวเหลี่ยมของพระธาตุองค์อื่น  คือได้ยกกระเปาะยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน  แต่ชั้นฐานถึงส่วนยอดช่วงล่าง ได้เสริมยอดปลีทำเป็นรูปแบบจำลองอาคารซ้อนกันขึ้นไป  บนสุดเป็นยอดฉัตร
            ตามตำนานพื้นบ้านกล่าวว่า พระธาตุองค์นี้สร้างขึ้นโดยเสนาบดีเก่าจากกรุงศรีสัตนาคนหุต  ทั้งยังส่งอิทธิพลทางรูปแบบการก่อสร้างให้กับพระธาตุตาดทอง  พระธาตุหนองสามหมื่น
            ด้านหน้าองค์พระธาตุมีธาตุขนาดเล็ก  เป็นธาตุบรรจุอัฐิพระวิชัยราชขัตติยวงศา (อดีตเจ้าเมืองสิงห์ท่า)  ลักษณะธาตุได้รับอิทธิพลศิลปะจากหลวงพระบาง

            หอไตรกลางน้ำ
            เป็นอาคารไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านยาวยาวกว่าด้านกว้างอยู่ ๑ ช่วงเสา  เป็นอาคารทรงเตี้ย  หลังคาซ้อนลดหลั่นกัน  ประดับด้วยช่อฟ้าใบระกาหางหงส์  เป็นศิลปกรรมแบบลาว  สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย - ต้นสมัยรัตนโกสินทร์  ภายในหอไตรเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์ใบลาน เป็นจำนวนมาก

หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์

            อยู่ที่วัดสระไตรนุรักษ์บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล  เมื่อครั้งท่านเจ้าชาพระเถระผู้แตกฉาน ในธรรมพร้อมด้วยประชาชนส่วนหนึ่ง  ได้อพยพหลบหนีพระเจ้าสิริบุญสาร โดยได้รวบรวมทรัพย์สมบัติ และคัมภีร์ต่างๆ มาด้วย  ท่านเจ้าชาได้สร้างวัดขึ้นทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน  พร้อมขุดสระน้ำเพื่อสร้างหอไตรไว้เก็บคัมภีร์  สิ่งก่อสร้างในวัดประกอบด้วย หอไตร กุฎี  ศาลาโรงธรรม  สิมน้ำ  เป็นต้น
            หอไตร  มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบพม่า  สร้างโดยช่างลาวที่อพยพมาครั้งตั้งหมู่บ้าน  ตัวอาคารสร้างด้วยไม้  หันหน้าไปทางทิศตะวันตก กว้าง ๘.๓๐ เมตร ยาว ๑๐.๕๐ เมตร  หลังคามุงด้วยไม้ซ้อนลดหลั่นกัน ๔ ชั้น มีชายคายื่นออกมาทั้ง ๔ ด้าน  บานประตูแกะสลักลวดลายสวยงาม  รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ของช่อฟ้า กระจกประดับ  บัวเชิงชาย  หางหงส์ (ตัวหงา) มีลวดลายกนกซ้อนกัน ๔ ชั้น  ตรงกลางเป็นห้องทึบเป็นที่เก็บพรไตรปิฎก  มีทางเดินรอบนอก  พระไตรปิฎกผูกเป็นเรื่องราวบันทึกลงใบลาน  แยกเป็นหมวดหมู่ ทั้งภาษาไทยอีสาน ขอม บาลี ตัวหนังสือเป็นอักษรธรรม  อักษรไทยน้อย และอักษรขอม  มีคัมภีร์ใบลานอยู่ทั้งหมด ๑๙๘ มัด ๑,๕๕๓ ผูก

พระพุทธรูปโบราณวัดสิงห์ท่า


            ประดิษฐานอยู่ที่วัดสิงห์ท่า  บ้านสิงห์ ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง ฯ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  ก่ออิฐฉาบปูนลงรักปิดทอง  หน้าตักกว้างประมาณ ๓ เมตร
            พระพุทธรูปองค์นี้ตามตำนานกล่าวว่าได้ประดิษฐานอยู่ก่อนที่คนไท - ลาว เชื้อสายพระวอ พระตา จะอพยพเข้ามาอยู่  ชาวยโสธรจัดให้มีพิธีสรงน้ำสงกรานต์เป็นประจำทุกปี

พระพุทธรูปโบราณวัดศรีธาตุ

            ประดิษฐาน อยู่ที่วัดศรีธาตุ  บ้านสิงห์ ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง ฯ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย  ก่ออิฐฉาบปูนลงรักปิดทอง  หน้าตักกว้าง ๓ เมตร สูง ๓.๕๐ เมตร  มีศิลปะการสร้างคล้าย พระพุทธรูปโบราณวัดสิงห์ท่า

วัดพระธาตุคำบุ (พระธาตุเก่า)

            อยู่ที่บ้านดอนกลาง ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมือง ฯ มีเรียกกันหลายชื่อด้วยกัน ได้แก่ พระธาตุเก่า พระธาตุหลักโลก พระธาตุโลกบาล มีโบราณสถาน และโบราณวัตถุที่พบดังนี้
            เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม  มีลักษณะคล้ายส่วนบนของพระธาตุจอมศรี  บนยอดเขาภูศรีเมืองหลวงพระบาง และพระธาตุดำ ที่นครเวียงจันทน์  เป็นเจดีย์รูปแบบศิลปะลาว  ชาวยโสธรเชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ราชวงศ์ลาวรุ่นก่อนมาสร้างไว้
            พระพุทธรูปปางมารวิชัย  ก่ออิฐฉาบปูน  ประดิษฐานอยู่ห่างจากเจดีย์ประมาณ ๓ เมตร ทุกปีจะมีพิธีสรงน้ำสงกรานต์พระเจดีย์องค์นี้

พระธาตุหลักคำ
            ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุหลักดำ บ้านน้ำดำน้อย  ตำบลน้ำดำน้อย อำเภอเมือง ฯ เป็นเจดีย์สององค์ติดกัน มีประวัติเล่าสืบกันมาว่า พระครูหลักคำ  ซึ่งดำรงตำแหน่งสังฆปาโมกข์ประจำเมือง  จำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุในเมืองยโสธร  ต่อมาท่านไม่พอใจเจ้าเมือง จึงขนเครื่องบริขาร และคัมภีร์ใบลานลงเรือตามลำน้ำทวน มาสร้างวัดที่วัดบ้านน้ำดำน้อย  ท่านได้สงวนป่าไม้ไว้เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า ซึ่งยังคงสภาพมาจนถึงปัจจุบัน  ท่านได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุเครื่องลางของขลัง  และคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาไว้ภายใน  ส่วนเจดีย์องค์เล็กชาวบ้านได้สร้างขึ้นหลังจากท่านมรณภาพแล้ว เพื่อบรรจุอัฐิของท่าน

พระธาตุบ้านเวิน
            ประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านเวิน ตำบลผือฮี อำเภอมหาชนะชัย เป็นสถูปเก่าและชำรุดทรุดโทรมมาก มีตำนานกล่าวว่า  ในอดีตสมัยที่พระเรืองชัยชนะยกกำลังมาตั้งเมืองมหาชนะชัยที่บ้านเวินนั้น  ณ ตรงที่ตั้งเจดีย์แห่งนี้มีรูขนาดใหญ่  วันดีคืนดีจะมีนางนาคจากแม่น้ำชี แปลงร่างเป็นหญิงสาวสวยมายืมฟืมจากชาวบ้านไปทอผ้า  เมื่อชาวบ้านให้ยืมฟืมแล้วก็สะกดรอยตามหญิงสาวนั้นไป  เมื่อไปถึงรูดังกล่าวหญิงสาวนั้นก็หายตัวลงไปในรู  ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่า  หญิงสาวผู้นั้นอาจเป็นธิดาพญานาค  จึงได้ช่วยกันสร้างสถูปเจดีย์ปิดทับช่องทางขึ้นลงของพญานาคเสีย  แล้วนำพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ภายในสถูป  สมัยต่อมาได้มีการย้ายเมืองมหาชนะชัยไปอยู่ที่บ้านฟ้าหยาด  สถูปเจดีย์องค์นี้จึงถูกทิ้งร้างไว้  ในระยะต่อมาจึงได้มีชาวไท - ลาว จากลุ่มน้ำมูล อพยพเข้ามาตั้งชุมชนใหม่ เป็นบ้านเวินในปัจจุบัน

พระธาตุฝุ่น


            ตั้งอยู่กลางป่าห่างจากบ้านทรายมูลไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๓ กิโลเมตร  อยู่ในเขตอำเภอทรายมูล พระธาตุฝุ่นเป็นเจดีย์เก่าแก่  อยู่ในสภาพพังทลายไปมาก  ชาวบ้านได้สร้างอาคารมุงหลังคาคลุมเอาไว้  พร้อมทั้งได้สร้างพระพุทธรูปปูนปั้น ขนาดหน้าตักกว้าง ๑ เมตรเศษ ประดิษฐานไว้ทางด้านตะวันตกขององค์พระธาตุ  เพื่อเป็นที่สักการบูชา  ต่อมาได้มีการสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ขึ้นแทน  ตั้งอยู่ห่างจากพระธาตุเก่าประมาณ ๙ เมตร
            ประวัติความเป็นมาที่เล่าสืบกันมาประมวลได้ว่า  เมื่อชาวบ้านทรายมูลอพยพมาจากเวียงจันทน์  ก่อนอพยพ หัวหน้าผู้นำชาวบ้านได้ให้ทุกคนขุดเอาดินตรงที่ฝังสายรก (ภาษาอีสานเรียก สายแฮ)  คือดินจากบ้านเกิดคนละ ๑ กำมือ  เอาผ้าขาวห่อนำติดตัวมาด้วยทุกคน  เพื่อให้แม่พระธรณีจากบ้านเกิดช่วยคุ้มครอง ดูแลตลอดเวลาการเดินทาง  เมื่อเดินทางมาถึงจุดที่เหมาะสมที่จะตั้งชุมชนแห่งใหม่  คือบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพระธาตุแห่งนี้  จึงให้ทุกคนเอาดินที่นำติดตัวมา  กองรวมกันแล้วสร้างเจดีย์ครอบไว้  เพื่อเป็นการรำลึกถึงแม่พระธรณีบ้านเกิด  จัดให้มีการสักการบูชาเป็นประจำทุกปี  ดินที่ทุกคนนำมานั้นเรียกว่าดินฝุ่น  พระเจดีย์ที่สร้างขึ้นจึงเรียกว่าพระธาตุดินฝุ่น  ต่อมาชื่อได้กร่อนไปเป็นพระธาตุฝุ่น  ส่วนคำว่าดินฝุ่นนั้นรวมกันเรียกว่า ทรายมูล  คือเป็นดินทรายอันเป็นมรดกจากบ้านเดิม ตั้งชื่อว่า บ้านทรายมูล

วัดป่าดอนธาตุ

            ตั้งอยู่ในแนวป่าระหว่างบ้านบ่อบึงกับบ้านน้อยโพนจาน ตำบลสงยาง อำเภอมหาชนะชัย  ตามลักษณะและสภาพโบราณสถานน่าจะเป็นวัดร้าง  เพราะมีกองอิฐซึ่งน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างประเภทพระอุโบสถ หรือที่ทางอีสานเรียกว่าสิม  และมีเจดีย์ที่ปรักหักพังลงมา เหลือแต่เพียงส่วนฐานขึ้นไปถึงส่วนแอวขัน  มีศิลปะปูนปั้นเป็นลายก้านขด มีก้นหอยอยู่ด้านบน มีกาบซ้อนหอยลงสู่เบื้องล่าง  ศิลปะคล้ายหรือเหมือนกันกับธาตุบรรจุอัฐิของเจ้าพระยาวิชัยราชขัติยวงศา  ทั้งรูปแบบและขนาด

รอยพระพุทธบาทจำลองวัดป่าอัมพวัน

            วัดป่าอัมพวันตั้งอยู่ในอำเภอเมือง ฯ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยที่เมืองยโสธรมีเจ้าเมืองตามการปกครองหัวเมืองลาว  มีพระอุโบสถและมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท  รอยพระพุทธบาทสร้างด้วยหินทรายแดง  กว้างประมาณ ๘๐ เซ็นติเมตร  ยาวประมาณ ๓ เมตร ที่ขอบรอยมีลายแกะสลักเป็นลายก้านขด  ฐานด้านข้างเป็นรอยกลีบบัวซ้อนเหลื่อมกัน  ตัวมณฑปเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มียอดเรียวแหลมลดหลั่นจากเรือนมณฑปขึ้นไป
            ประวัติความเป็นมา กล่าวว่า วัดป่าอัมพวันสร้างโดยพระสุนทรราชวงศา (ศรีสุพรหม) กับอุปฮาดเงาะ  อุปฮาดเงาะได้รับหน้าที่เป็นนายกอง คุมไพร่พลและเสบียงไปสมทบกับกองทัพของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม  คราวไปปราบศึกฮ่อที่หนองคาย  มีความชอบได้รับโปรดเกล้า ฯ พระราชทานยศเป็นเจ้าอุปฮาด เจ้าอุปฮาดดีใจมากจึงได้พาญาติพี้น้อง และบ่าวไพร่ไปเลือกหินจากริมน้ำห้วยทวน  ข้างบ้านสิงห์โคก  นำมาสร้างรอยพระพุทธบาทจำลอง  แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนแท่นข้างโบสถ์ ชาวเมืองเรียกว่า หอพระบาท

รอยพระพุทธบาทจำลองวัดศรีธรรมาราม

            เดิมรอยพระพุทธบาทจำลองชิ้นนี้ ได้เคยประดิษฐานอยู่ที่วัดทุ่งสว่างชัยภูมิ  ต่อมาวัดดังกล่าวไม่มีสงฆ์อยู่ครอง  ทางวัดศรีธรรมารามจึงได้ขอเคลื่อนย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่วัดจนถึงปัจจุบัน

รอยพระพุทธบาทจำลองวัดพระพุทธบาทบ้านหนองยาง
            เป็นรอยพระพุทธบาทที่สลักจากหินทราย  ด้านบนฝ่าพระบาทสลักลายมงคล ๑๐๘ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในศาลาโถงวัดพระพุทธบาทยโสธร  จึงเรียกว่า รอยพระพุทธบาทยโสธร  ตามประวัติกล่าวว่าพระมหาอุตตมปัญญา และลัทธิวิหาริกได้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๙ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นโดยอิทธิพลวัฒนธรรมอีสาน (ล้านช้าง) หรือล้านนา  อายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๔ - ๒๕ ช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
รอยพระพุทธบาทจำลองวัดภูกลอย


            ประดิษฐานอยู่ที่วัดภูกลอย หรือวัดเทวัญคีรี อำเภอไทยเจริญ อยู่บนภูเตี้ย ๆ ทางด้านทิศตะวันออกเป็นหน้าผาชัน  ด้านทิศตะวันตกเป็นหินลาดต่ำลงไปจนจดลำธาร  ทิศเหนือ - ใต้เป็นหินแตก  รอยพระพุทธบาทเป็นรอยที่ติดอยู่บนโขดหิน  ลักษณะของรอยเหมือนคนเหยียบลงไปบนดินเหนียว  แล้วถอยเท้ายกขึ้นเหมือนรอยเท้าคนจริง ๆ แต่มีขนาดใหญ่กว่าเท้าคนธรรมดาทั่วไป  ทางวัดได้ก่อสถูปเจดีย์ครอบรอยพระพุทธบาทไว้  นับว่าเป็นโบราณสถานที่สำคัญของอำเภอไทยเจริญ

วัดทุ่งสว่างชัยภูมิ

            อยู่ในเขตตำบลในเมือง อำเภอเมือง ฯ จากพงศาวดารเมืองยโสธร ฉบับของพระยามหาอำมาตยาธิบดี มีความว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๘ เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์ได้สู้รบกับทางกรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาราชสุภาวดีเป็นแม่ทัพ  ยกกำลังไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองพานพร้าว  และเมื่อพระพิชัยสงครามซึ่งยกกำลังล่วงหน้าไปก่อน  เสียทีแก่ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์  พระยาราชสุภาวดีจึงให้ถอยกำลังมาตั้งอยู่ที่เมืองยโสธร  แล้วทำพิธีปฐมกรรมตัดไม้ข่มนาม  สถานที่ขุมนุมทำพิธีคือที่วัดทุ่งสว่างชัยภูมิแห่งนี้ ต่อมาอุปฮาดแพงรักษาการเจ้าเมืองยโสธร ได้รับพระบัญชาให้จัดกองทัพไปช่วยรบทางเมือง เสียมราฐ ประทายเพชร และพระตะบอง  ก่อนนำทัพไปรบก็ได้ทำพิธีที่เนินตรงวัดทุ่งสว่างชัยภูมิ เช่นกัน  เมื่อไปรบมีชัยชนะกลับมา  เห็นว่าพื้นที่โนนทุ่งนี้เป็นชัยภูมิดีเลิศ  จึงได้สร้างธาตุเจดีย์ แล้วยกขึ้นเป็นวัด ชื่อวัดชัยชนะสงคราม หรืออีกชื่อหนึ่งว่า วัดบูรพาทิศาราม  แล้วอัญเชิญรอยพระพุทธบาท จากวัดใต้ศรีมงคลมาประดิษฐานไว้ภายในพระเจดีย์ดังกล่าว  แต่ต่อมารอยพระพุทธบาทจำลองนี้ได้ย้ายไปไว้ที่วัดศรีธรรมาราม และองค์พระเจดีย์ได้มีการบูรณะเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔

พระอุโบสถวัดใต้ศรีมงคล

            วัดใต้เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองยโสธร  มีพระอุโบสถที่มีรูปแบบทางศิลปะล้านนาผสมล้านช้าง  กล่าวคือใต้หน้าบันลงมาระหว่างเสาสองต้น  จะมีลวดลายไม้แกะสลักห้อยลามลงมาตามเสาทั้งสอง แล้วห้อยย้อยลงตรงกลางเหมือนรวงผึ้ง  ส่วนเสาไปหาระเบียงก็ประดับลวดลายระหว่างเสาเช่นเดียวกัน  เสาเป็นรูปเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง  มีกลีบบัวสัตบุษย์หงายรองรับส่วนบน  ภายในวัดนี้ได้พบธรรมาสน์ และโฮงเทียนศิลปะลาวรุ่นเก่า  พระอุโบสถแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมดีเด่นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ที่ยังคงสภาพมาจนถึงปัจจุบัน

หอไตรวัดศรีธาตุ


            เป็นหอไตรตั้งอยู่กลางสระน้ำ มีระเบียงรอบยื่นมาติดเสาระเบียง  เดิมใช้เป็นที่เก็บหนังสือผูกใบลานต่าง ๆ รวมทั้งเอกสารพื้นเมืองที่เก่าแก่  ปัจจุบันมีสภาพทรุดโทรมมาก  แต่ยังคงคุณค่าสูงในทางสถาปัตยกรรม บานประตูเป็นลายเครือเถา  และสลักลวดลายสวยงาม

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |


 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์