ปราสาทเปือยน้อย หรือ กู่เปือยน้อย หรือ พระธาตุกู่ทอง เป็นปราสาทหินศิลปะขอมหรือลพบุรี ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่พบในจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียงในอีสานตอนบนตั้งอยู่ที่อำเภอเปือยน้อย ซึ่งเป็นอำเภอที่แยกไปจากอำเภอบ้านไผ่ และเปือยน้อยอยู่ห่างจากตัวจังหวัดขอนแก่นประมาณ ๗๙ กิโลเมตร แต่หากไปจากกรุงเทพ ฯ จะถึงเส้นทางที่จะแยกไปเปือยน้อย ก่อนจะถึงตัวอำเภอเมืองขอนแก่นไปคราวนี้ได้พบปราสาทที่ได้รับการบูรณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"สวยสมใจ" ที่อยากมาชมเพราะเมื่อก่อนนั้นตั้งอยู่ในบริเวณวัดธาตุกู่ทอง ทางวัดดูแลรักษาอยู่ทับหลังหินทรายและศิลปะโบราณวัตถุที่สำคัญ ๆ เจ้าอาวาสจะเก็บรักษาเอาไว้ ต้องไปขอชมจากท่านแต่ปัจจุบันปราสาทหินเปือยน้อยได้รับการบูรณะอย่างดีเยี่ยม อยู่ในพื้นที่ที่มีบริเวณกว้างขวางเป็นสัดส่วนของปราสาทมีการถากถางหญ้าจนโล่งเตียนงดงาม ทำให้ปราสาทดูเด่นเป็นสง่างาม และแถมในตอนที่ผมไปคือต้นปี๒๔๔๕ นี้ กรมศิลปากรยังไม่เก็บสตางค์ค่าเข้าชมปราสาท และควรเรียกเก็บอย่างยิ่งแต่การเก็บค่าเข้าชมโบราณสถาน หรือพิพิธภัณฑ์นั้นน่าจะเก็บเท่ากันไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างประเทศ แต่ควรจะลดราคาให้เฉพาะผู้สูงอายุ คือมีอายุสูงกว่า๖๐ ปีขึ้นไป ไม่ใช่ผมอายุเกิน ๖๐ ปี แล้วมาเรียกร้อง เพราะอยากเห็นบ้านเราที่คำว่าด้อยพัฒนากำลังจะหายไปทำอะไรให้เป็นสากลเหมือนต่างชาติที่เขาเจริญแล้วบ้างก็จะดี ผมออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ประมาณ ๐๖.๑๕ ไม่แวะที่ไหนเลย เว้นเข้าสุขาตามปั๊มอาหารเช้าชงกาแฟใส่กระติกไปกับมีขนมอีกนิดหน่อย เพราะวันนี้มีธุระที่ อบต.สระแก้วของอำเภอเปือยน้อยด้วยซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้รับความสะดวกแค่ไหน ทำเวลาไว้ก่อนแหละดีและข้อสำคัญคืออยากไปชมปราสาทเปือยน้อย ที่เขาบอกว่าตอนนี้ได้รับการบูรณะจนงดงามแล้วและเมื่อกลับจากเปือยน้อย ผมจะเดินทางต่อไปยังขอนแก่น ไปสกลนคร ไปหนองคายอีกปลายทางการเดินทางคราวนี้อยู่ที่หนองคาย จากกรุงเทพ ฯ ผ่านสระบุรี ไปสีคิ้วแล้วตัดเข้าถนนสาย๒๐๑ (เส้นนี้เรียกว่าอุตริไปตามแบบของผมไม่ใช่เส้นตรง) จนไปผ่านชัยภูมิแล้วไปตามถนนเส้นเดิมคือ๒๐๑ ไปจนถึงอำเภอโคกโพธิ์ไชย จึงแยกขวาเข้าถนนสาย ๒๒๙ จะไปผ่านทางแยกซ้ายไปอำเภอมัญจาคีรีแต่เราแยกขวามาทางอำเภอชนบท ต่อไปยังอำเภอบ้านไผ่ที่เป็นชุมทางสำคัญ ที่วิ่งอุตริมาตามเส้นทางนี้ก็เพื่อจะได้ผ่านชัยภูมิผ่าน "ชนบท" ให้คุณหญิงทั้งหลายได้จับจ่ายผ้าไหมชนบทอันลือชื่อเสียให้เต็มที่เที่ยวกลับจะได้ไม่ต้องย้อนเข้ามาอีก และผ้าไหมชนบทในปัจจุบันมีชื่อเสียงมากจนทำให้อำเภอชนบทเจริญรุ่งตามไปด้วย อีกเส้นทางหนึ่ง คือมาจากสระบุรี แล้วเกาะถนนสาย ๒ เรื่อยไป (เดี๋ยวนี้มีเส้นทางเลี่ยงเมืองก่อนเข้าโคราชแล้ว) เกาะสาย ๒ จะไปผ่านอำเภอพล ต่อไปอีกคืออำเภอบ้านไผ่ ระยะทางใกล้กว่าเล็กน้อยแต่หากไปเส้นอ้อมโลกของผมผ่านจุดท่องเที่ยวหลายจุด ถนนดีทุกสาย เมื่อถึงอำเภอบ้านไผ่แล้ว ก่อนจะถึงสี่แยกบ้านไผ่ (หมายถึงมาจากกรุงเทพ ฯ ตามถนนสาย๒ จะพบว่ามีถนนแยกขวา (หากมาจากชนบทต้องมาเลี้ยวขวาเสียก่อนแล้วจะพบถนนแยกซ้ายกลับทางกัน)ให้เลี้ยวขวาตรงนี้ ป้ายบอกว่าไปมหาสารคาม วิ่งตรงไปจนผ่านตลาดบ้านไผ่ จนพบสี่แยกให้เลี้ยวขวาตรงโรงพยาบาลเข้าถนนสาย ๒๓ ป้ายบอกไปบรบือ วิ่งไป ๑๑ กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย๒๓๐๑ ไปอีกประมาณ ๘ กิโลเมตรจึงเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย ๒๒๙๗ อีก ๑๕ กิโลเมตร จะพบปราสาทเปือยน้อยอยู่ทางขวามือ ส่วนทางซ้ายมือคือสวนสาธารณะ สระวงค์ ที่ผมต้องบอกเส้นทางกันละเอียดอย่างนี้เพราะจะหาป้ายบอกว่าไปอำเภอเปือยน้อยหายากมาก(ไม่ทราบว่าวันนี้มีหรือยัง) ตอนที่ผมไปผมต้องดั้นด้นและถามทางเขาไปด้วย "เส้นทางนั้นอยู่ที่ปาก"ตอนแยกจากสาย ๒๓ มาจนถึง กิโลเมตร ๑๔ มีวัดบ้านลาน มีจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ควรแก่การแวะเข้าชม อำเภอเปือยน้อยเป็นอำเภอเล็ก ประเภทมีตลาดเช้า สายหยุด คือแม่ค้าหยุดขายกลับบ้านหมดมีร้านค้าไม่กี่แถว ร้านอาหารที่หวังว่าจะไปชิมเป็นมื้อเที่ยงแล้วเอามาเล่าให้ฟังนั้นขั้นชวนชิมหาไม่ได้เลย มีแต่ร้านพอกินแก้หิวแต่รสชาติพอใช้ได้ ไม่ถึงกับเหมือนเอาปากชนหินเรียกว่าพออร่อยหากเราช่วยเขาปรุง คำขวัญ ของเปือยน้อย เขาบอกว่า "เมืองปราสาทหิน ถิ่นกำเนิดผูกเสี่ยว เที่ยวงานบุญกู่เชิดชูวัฒนธรรม" ดังนั้นเมื่อบูรณะปราสาทหินแล้ว เขาก็เริ่มมีงาน จะมีในขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๕ เช่นในปี ๒๕๔๕ จะมีในวันที่ ๒๘ - ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๕ ปี ๒๕๔๖ จะมีวันใดก็เปิดดูปฏิทินดูเรียกว่างาน "ศิวะ ราตรี" หรือ "กินข้าวแลง การแสดงโปงลาง" ปีที่ผ่านมานี้ผมยังไม่มีโอกาสได้ไปหากปี ๒๕๔๖ อาจจะได้ไปและต้องหาทางพักใกล้ ๆ เปือยน้อยเช่นที่ บ้านไผ่ แต่หากลูกหลานไปด้วยช่วยขับรถให้ก็คงมานอนขอนแก่นได้เพราะไม่ไกลเลย แต่ตอนนี้ตาชักจะเฒ่าไปตามวัย สมัยก่อนเมื่อสัก ๑๕ ปีที่แล้วนั่งก๊งกับพรรคพวกอยู่ที่หัวหินนึกขึ้นได้ตอนสองทุ่มว่าพรุ่งนี้เงินเดือนออก ผมจะต้องเซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินเดือนให้แก่หน่วยทหารทุกหน่วยในค่ายเทพสตรีศรีสุนทร คือพรุ่งนี้การเงินหน่วยต่าง ๆ มารับเช็คไม่มีเช็คไปรับเงินมาจ่ายเงินเดือนในค่าย ฯ คงเกิดการจลาจลแน่ ผมรีบร่ำลาพรรคพวกแล้วขับรถกลับอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราชตอนสองทุ่ม ขับมาตลอดคืน แถมสมัยนั้น "ผกค. ยังชุมอยู่ ด่านตรวจมากมายตามรายทางแต่ละด่านตรวจอย่างละเอียด บอกว่าเป็นนายพล เขาก็ชักไม่เชื่อเพราะนายพลอะไรขับรถเองไม่มีคนขับ ไม่จำเป็นผมไม่ชอบมีคนขับ (แม้กระทั่งบัดนี้ ซึ่งหากมีต้องจ้างขับ)ไปถึงทุ่งสงเช้าพอดี เรียกฝ่ายการเงินให้นำเช็คมาเซ็น เรียบร้อยแล้วห้ามมีการปลุกเด็ดขาดนอนกันยันเที่ยงไปเลย นี่คือเมื่อ ๑๕ ปีที่ผ่านมาแล้ว แต่วันนี้ขืนขับรถจากเปือยน้อยกลับขอนแก่นยามวิกาลอาจจะได้ลงไปนอนข้างทาง ตาสู้แสงไฟไม่ไหวแล้ว ชาวบ้านเรียกปราสาทหินว่า "ธาตุกู่ทอง" องค์ปราสาทหันหน้าสู่ทิศตะวันออก สร้างด้วยหินทรายจำหลักลายสวยงาม มีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบเป็นเขตปราสาท สร้างด้วยศิลาแลง องค์ปราสาทได้รับการบูรณะเป็นอย่างดีทับหลังหินทราย ได้นำมาติดตั้งไว้ที่เดิมอย่างเรียบร้อย หน้าบันฯ ก็น่าชมผมบรรยายโบราณวัตถุไม่ถูกว่าอะไรงามอย่างไรบอกได้คำเดียวว่างดงาม คุ้มค่าต่อการไปชมและภูมิใจในความเป็นไทยที่แม้ว่าชนชาติไทยไม่ได้สร้างไว้ขอมสร้างไว้ แต่เราก็สามารถรักษาและบูรณะ ให้คงความงดงามดั้งเดิมไว้ได้ ชาติที่สร้างขึ้นนั้นเคยเจริญรุ่งเรืองแต่รักษาชาติไว้ไม่ได้ต้องสิ้นชาติสิ้นเผ่าพันธุ์ คนเขมรทุกวันนี้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ขอม เหมือนคนอิตาลีไม่ใช่โรมันคนอิยิปต์ปัจจุบันไม่ใช่คนเผ่าเดียวกับพระนางคลีโอพัตรา เพราะสิ้นชาติกันไปหมดแล้ว จบการชมปราสาทหินเปือยน้อย ซึ่งก่อนมาได้ไปติดต่อธุระที่ อบต.สระแก้ว ที่ใกล้ ๆอำเภอเปือยน้อย ได้รับความสะดวกดี ก็ขอชมเชยเพราะถือว่าหายากที่เข้าไปติดต่ออบต.แล้วจะสะดวกอย่างนี้ มื้อกลางวันที่เปือยน้อย หาร้านอาหารถูกใจไม่ได้เลย เพราะมีแต่ร้านเล็ก ๆ ประเภทขายก๋วยเตี๋ยวได้ลองวิ่งเลยปราสาทไปก่อน จนผ่านทางแยกเข้าตัวอำเภอ เลยไปอีก เยื้องกับหลักกิโลเมตร๑๕ ทางซ้ายมือมีร้านเล็ก ๆ ชื่อร้าน "น้องเปียร์" ประเภทโชห่วย มีขายตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันสากกระเบือมีไก่ย่างปิ้งไว้น่ากินเหมือนกัน บอกว่าวันหนึ่งปิ้งย่างไม่กี่ตัว ไปถึงเลยเที่ยงแล้วได้แต่ปีกไก่ย่างมาสัก๑๐ ไม้ เรียกว่าเหมาหมด สังส้มตำ รสดี ไก่ย่างนั้นเข้าขั้นอร่อย มีน้ำยาให้แต้มพอใช้จัดการไปเอาไข่ไก่มา ๒ ฟอง บอกว่าช่วยทอดไข่เจียวได้ไหม เขาก็รับไปทอดให้บอกว่าก๋วยเตี๋ยวทำมาอย่างไม่ต้องใส่เส้น กินเป็นเกาเหลา สรุปแล้วผมไม่ยอมเสียปากจัดการจนได้อาหารค่อนข้างอร่อย จบแล้ววิ่งกลับมาบ้านไผ่(แวะซื้อกินเชียง)ไปต่อขอนแก่นต่อไป ที่ขอนแก่นพักที่ โซฟีเทล ซึ่งผมมาพักประจำทุกปี แต่พักเท่านั้นไม่กินอาหารไม่ว่ามื้อไหนทั้งสิ้นไปหากินตามร้านในเมือง หรือตามแหล่งที่จะไปเที่ยว ถ้ามื้อเช้ามานั่งข้างถนนพึ่งค้นพบไว้เมื่อปีที่แล้ว ปีนี้เขาขยายออกมาหน่อย คือมีโต๊ะเพิ่มมากขึ้นอีก๒ ตัว รวมเป็น ๓ ตัว หนุ่มสาวผัวเมียช่วยกันทำเรียกว่าตัวเป็นเกลียว เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าไปกินอะไรเข้า ออกจากโรงแรมโซฟีเทล ยามเช้าจะมาตามถนนสายที่ผ่านถนนที่แยกเข้าตลาดสด เรียกถนนสายนี้ว่าถนนหน้าเมืองหามาจากถนนสาย ๒ เลย พอเลี้ยวขวาเข้าขอนแก่น (ตามป้าย) จะตรงมาเรื่อยจนผ่านหลักเมืองมาผ่านโรงแรมโฆษะ โรงแรมเจริญธานีปริ๊นเซส แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนสายนี้ชื่อหน้าเมืองวิ่งเรื่อยมาจะผ่านธนาคารกรุงเทพฯ ทางขวามือ เยื้อง ๆ กัน ยามเช้าจะมีรถเข็นคันแรกขายหมูปิ้งปีกไก่ปิ้ง เครื่องในไก่ปิ้ง ปลาดุกย่าง หมูส้ม ข้าวนึ่งร้อน ๆ ในกระติ๊บ รถเข็นคันนี้เขาขายแค่แปดโมงเช้าเพราะทำงานเป็นนักการโรงเรียนด้วย ช่วยกันสองคนผัวเมีย เขาจำผมได้เพราะซื้อกันปีละครั้งปีนี้เขาบอกว่าอยากได้ชื่อร้านรถเข็นของเขา มองสาวปิ้งหมูแล้วบอกว่าชื่อร้าน"จุ๋มจิ๋ม" ก็แล้วกัน ซื้อหมูปิ้ง ไก่ปิ้ง แล้วเลยต่อไปอีกหน่อย ฝั่งขวามือปากซอยหน้าเมือง ๑๑ คือร้านตะเกียง เดี๋ยวผมจะพามาชิมอาหารเย็น ร้านตะเกียงอยู่ติดกับโรงแรมมายเฮาส์หากเลยต่อไป ทางฝั่งซ้ายคือปากซอยกสิกรสำราญ ตรงข้ามกับร้านสเต็กเฮาส์ มีรถเข็น๒ ผัวเมีย มีโต๊ะนั่งอยู่ ๓ ตัว รถเข็นคันนี้คือแหล่งอาหารเช้าของผมกินกันทุกปีพอประจำโต๊ะ สั่งไข่กะทะ "๑๒ บาท" อย่าไปหาราคานี้ทั่วประเทศไทย ไม่มี สั่งกาแฟสั่งขนมปังหมูยอไส้กุนเชียง "๖ บาท" กาแฟร้อนโฉ่ หอม ชงอร่อย แก้วละ ๘ บาทสั่งเสร็จงัดเอาหมู่ปิ้ง ไก่ปิ้ง มาเคี้ยวให้เกิดความสนุกเสียกก่อนที่กาแฟไข่กะทะจะยกมาร้อนโฉ่ หอมฉุยตั้งแต่ยกมาเลยทีเดียว ถนนหน้าเมือง สายที่มีธนาคารกรุงเทพฯ ร้านรถเข็นหมูปิ้ง เยื้องธนาคารกรุงเทพฯเลยไปทางฝั่งขวาคือโรงแรมมายเฮาส์ อยู่ที่ปากซอยหน้าเมือง ๑๑ ร้านตะเกียงอยู่ปากซอยนี้เลยไปอีกปากซอยกสิกรสำราญ รถเข็นกาแฟ ไข่กะทะ ขนมปังอบไส้หมูยอ และกุนเชียงถูก อร่อย ทุกครั้งที่ผมไปอำเภอเมืองขอนแก่นอย่างน้อยปีละครั้ง ผมจะไปหาพระอาจารย์แจ้งที่วัดวุฒนารามวัดนี้อยู่หลังสถานีรถไฟ เข้าไปในวัดถามหาพระอาจารย์แจ้ง คนรู้จักหมด กุฏิของท่านอยู่หลังวัดจากกุฏิไม้ผุ ๆ เตี้ย ๆ เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ที่ผมได้รู้จักกับท่าน และสนิทสนมคุ้นเคยกันมาตลอดปัจจุบันบรรดาท่านที่ได้รับความเมตตาจากท่าน (ไม่ใช่ใบ้หวย) ได้ช่วยกันปลูกกุฏิหินอ่อนทั้งหลังถวายท่านและหน้ากุฏิท่านก็สร้างศาลา สร้างพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งผมคงจะมีส่วนช่วยท่านสร้างและวัดกำลังสร้างศาลาการเปรียญ เสร็จไปเยอะแล้ว อาจารย์แจ้งตาทิพย์ เขาเรียกกันอย่างนี้อยากรู้อะไร มีทุกข์อะไรก็ถามท่านดู ท่านหลับตา ๒-๓ วินาที แล้วท่านจะบอกให้รวมทั้งวิธีการแกไขด้วย แต่ต้องถามท่านว่าทุกข์อย่างนี้แล้จะแก้อย่างไร อีกองค์หนึ่ง องค์นี้ไม่ได้ไปหาทุกปี ปีนี้มีโอกาส รู้จักท่านมาร่วม ๒๐ ปีเช่นกันไปทางเส้นทางที่จะไปอำเภอมัญจาคีรี วิ่งจากทางแยกจากถนนสาย ๒ ไปประมาณ ๗.๒กิโลเมตร จะพบโรงเรียน ทางซ้ายชื่อโรงเรียนบ้านเหล่านาดี ให้เลี้ยวซ้ายเข้าตรงนี้เรื่อยไปประมาณ๔ กิโลเมตรแต่ต้องเลี้ยวอีกหลายเลี้ยว สงสัยหรือหาป้ายนำทางไม่เจอ ถนนชาวบ้านรู้จักหมดป่าสามัคคีสันติธรรม ถามหาวัดของหลวงพ่อมหาบุญทัน ชาวบ้านจะรู้จักมากกว่าถามหาชื่อวัดเพราะวัดป่าในขอนแก่นนั้นมีมากเหลือเกิน ถามหาหลวงพ่อง่ายกว่า ไปถึงเวลาฉันของท่านพอดีท่านฉันมื้อเดียว มีท่านมหาบุญทัน ทัตโต แห่งวัดป่าสามัคคีสันติธรรม ตำบลบ้านค้อกำลังฉันอยู่ในศาลา แต่ศาลารับแขกนั้นมีอีกหลังหนึ่ง ใครไปหาต้องไปรอที่ศาลาหลังนั้นส่วนคณะผมถือว่าลูกศิษย์เก่าแก่ เห็นมาตั้งแต่ท่านมีศาลาเล็ก ๆ หลังเดียว เอนกประสงค์จนเดี๋ยวนี้ท่านสร้างวัดของท่านขนาดมหึมา งดงามกลางป่า มีเรือนรับรองที่จะรับรองพระชั้นผู้ใหญ่ได้ไปพบท่านก็ดีใจเพราะไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว ท่านจัดการให้ลูกศิษย์ยกอาหารมาให้แล้วสั่งลูกศิษย์ว่าให้นายพลกินให้หมด (จะได้พุงแตกตายปะไร) อาหารน่ากินเหลือประมาณผัดกระเพราหมู น้ำพริกปลาร้า จิ้มด้วยดอกกระเจียวต้ม ไส้กรอกอีสาน ไม่รู้ว่าใครมาถวายอยากซื้อมากินอีกขนมหวานคือวุ้นกะทิ และลอดช่อง ทั้งที่ไข่กะทะยังอยู่ในพุง แต่ปรากฏว่ากินกันแทบหมดที่ลูกศิษย์ยกมาให้ จากนั้นจึงไปรอที่ศาลา ท่านมหาบุญทันจะพูดอะไรเขาจะคอยจับคำกัน จับเอาไปทำไมท่านก็เดาเอาก็แล้วกันแต่คณะของผมท่านแยกมารับรองอีกแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับตู้จำหน่ายวัตถุมงคล และเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อคูณปริสุทโธ กำลังจะถ่ายวิชาให้ท่าน โดยที่ท่านเองก็ไม่เคยพบหลวงพ่อคูณมาก่อนเลยก็ขอให้สืบทอดเอาไว้เถอะ ได้ช่วยทุกข์ชาวบ้านทั้งหลาย มื้อเย็นวันแรก ชิมอาหารทะเล หลังสถานีรถไฟ สามย่านซีฟู๊ด อร่อยราคาสูง มื้อเย็นวันที่สอง ชิมอาหารเย็น ร้านตะเกียง ถนนหน้าเมือง ตามที่บอกเส้นทางไปรถเข็นไข่กะทะให้แล้วร้านนี้เมื่อก่อนเคยมาชิมไข่กะทะเขาในตอนเช้า ปีนี้เขาบอกว่าเลิกแล้วเพราะไม่มีเด็กช่วยขายแต่กลางวันและมื้อเย็นเท่านั้น เจ้าของร้านสาวเป็นบัณฑิตยเกษตรบางเขน รับราชการอยู่พักหนึ่งแล้วลาออกมาขายอาหารและเปิดเบอร์เกอรี่ อยู่ในร้านเดียวกัน เรียกว่าเป็นเจ้าของร้านสาวที่อร่อยทั้งคาวและหวาน ขาหมู หม่านโถว ทำแปลกเพราะแกะเนื้อจากขาหมูจัดใส่จานมาให้เลย ราดน้ำพะโล้ที่เข้มข้นรองจานด้วยผักเอาหม่านโถว วางบนซ้อนแล้วตักน้ำพะโล้ราด วางขาหมูลงไป เหยาะน้ำส้มลงไปนิดหนึ่งจึงส่งเข้าปากอร่อยเด็ดนัก แกงส้มชะอมทอด รสเข้มข้น ซดร้อน ๆ อร่อยดี ไปแก้เลี่ยนขาหมูได้ด้วย เป็ดอบใบตำลึง เนื้อเป็ดนุ่มนวล น้ำเข้มข้น รสเข้ม ปลาเนื้ออ่อนราดพริก ทอดกรอบทั้งตัวแล้วราดพริก เผ็ดนิด หวานหน่อย อร่อยนัก อ้อส่วนที่เป็นอ้อส่วน ไม่ใช่หอยนางรมผัดแป้งเละ ๆ ข้าวผัดกุ้งก็อร่อย ยกมาพร้อมแตงกวาสด ใบหอมอวบเขียว บางคนก็ขอข้าวต้มกุ้งแทน ปิดท้ายด้วยไอศกรีม กับไปชี้ขนมในตู้เบอร์เกอรี่ที่หน้าร้าน จบแล้วยังติดใจ ซื้อขนมใส่ถุงหิ้วกลับไปอีก จะเอาไปกินกลางทางตอนไปสกลนคร
----------------------------------