สิ่งสำคัญและเอกลักษณ์วัฒนธรรม
บ่อน้ำทิพย์ดอยคะม้อ ตั้งอยู่บนยอดดอยคะม้อ
ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาสูงชัน ยอดเขาแหลมแตกต่างจากยอดเขาบริเวณใกล้เคียง บนยอดดอยคะม้อมีความกว้างประมาณ
๑๒ เมตร ยาว ประมาณ ๓๐ เมตร บ่อน้ำทิพย์มีปากบอกว้างประมาณ ๓ เมตร ความลึกไม่ปรากฎ
เมื่อลงไปในบ่อลึก ๓ วา จากปากบ่อ แล้วมองกลับไปทางปากบ่อจะเห็นว่าดัวบ่อมีลักษณะรูปร่างคล้ายนิ้วมือ
ดอยคะม้อตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอำเภอเมือง ฯ ในเขตตำบลมะเขือแจ้ อำเภอเมือง
ฯ อันเป็นส่วนหนึ่งของป่าสวนแห่งชาติ ป่าแม่ธิ - แม่ตีบ - แม่สาร ตามหลักฐานทางธรณีวิทยา
บริเวณนี้เคยเป็นภูเขาไฟที่ดับมานานแล้ว มีลักษณะเหมือนหม้อคว่ำ ชาวเมืองแต่โบราณเรียกว่า
ดอยคว่ำหม้อ
ภายหลังเพี้ยนมาเป็นดอยคะม้อ เป็นดอยที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อน เป็นต้นน้ำของห้วยแม่ตีบ
การเดินทางขึ้นยอดดอยคะม้อ ซึ่งอยู่สูงจากเชิงเขาประมาณ ๓๐๐ เมตร มีทางลาดจากเชิงเขาจำนวน
๑,๗๔๙ ขึ้น ทำให้การเดินทางสดวกขึ้นมาก
มีตำนานเล่าต่อกันมาว่า เมื่อครั้งพุทธองค์ได้เสด็จจาริกไปโปรดสัตว์ในที่ต่าง
ๆ ได้แวะมาฉันภัตตาหารบนยอดดอยแห่งนี้ ก่อนจะฉันภัตตาหาร พระพุทธองค์ทรงบิณฑบาตร
แล้วนำขึ้นไปยังดอยลูกหนึ่ง อยู่ทางตอนเหนือของดอยคะม้อ ดอยลูกนั้นได้ชื่อว่า
ดอยห้างบาตร อยู่ในเขตตำบลห้วยทราย อำเภอบ้านธิ บนดอยห้างบาตร มีรอยบาตรประทับอยู่บนแผ่นหิน
เมื่อพระพุทธองค์ฉันภัตตาหารแล้วไม่มีน้ำจะเสวย จึงทรงตั้งพระอธิฐานถึงพุทธบารมี
แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงบนแผ่นหิน เมื่อยกหัวแม่มือขึ้น ก็มีน้ำพุ่งขึ้นมาให้เสวย
แล้วจึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมื่อตถาคตเสด็จดับขันธปรินิพานแล้ว ธาตุของตถาคตจะไปตั้งอยู่กลางเมืองหริภุญชัย
ในสมัยพญาอาทิตยราชแล้วคนทั้งหลาย จะมาตักเอาน้ำแห่งนี้ไปสรงพระธาตุของตถาคต
ความสำคัญของบ่อน้ำทิพย์ดอยคะม้อ คือ
- ใช้เป็นน้ำสรงองค์พระธาตุหริภุญชัย ในประเพณีสรงน้ำพระธาตุ ฯ ที่มีขึ้นเป็นประจำทุกปี
ตรงกับวันเพ็ญเดือนหก (วันวิสาขบูชา) ตรงกับวันเพ็ญเดือนแปดเหนือ ชาวบ้านเรียกว่า
ประเพณีเดือนแปดเป็ง จะมีพิธีตักน้ำจากบ่อทิพย์ก่อนสรงพระธาตุ ฯ สามวัน และจะจัดขบวนแห่น้ำทิพย์มาสรงน้ำพระธาตุ
ฯ เป็นประจำทุกปี
- ใช้น้ำในบ่อน้ำทิพย์ในพิธีบรมราชาภิเษก และงานพระราชพิธีต่าง ๆ นับเป็นหนึ่งในสิบแปดแห่งของน้ำศักดิ์สิทธิที่ได้รับจากแหล่งน้ำต่าง
ๆ ของประเทศ เพื่อมาตั้งทำน้ำพระพุทธมนต์ ณ มหาเจดีย์สถานที่เป็นมหานครโบราณ
อุโมรถไฟถ้ำขุนตาน ตั้งอยู่ที่บ้านขุนตาน
ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา ห่างจากตัวจงหวัดลำพูนประมาณ ๔๐ กิโลเมตร เป็นอุโมงค์ที่เจาะทะลุผ่านเข้าไปในดอยงาช้าง
ของเทือกเขาขุนตาน ที่เป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ ขวางกั้นเส้นทางจากจังหวัดลำปางไปยังจังหวัดลำพูน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เริ่มดำเนินการในกิจการรถไฟ
เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๐ โดยเริ่มจากกรุงเทพ ฯ สู่บางปะอิน จังหวัดอยุธยา ต่อมาได้สร้างทางรถไฟต่อไปยังอำเภอแก่งคอย
จังหวัดสระบุรี และต่อมาได้สร้างทางแยกจากสถานีชุมทางบ้านพาชีไปยังภาคเหนือ
เปิดใช้การถึงสถานีปากน้ำโพ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘ และในปีเดียวกันนี้ได้เริ่มสำรวจ
เพื่อเจาะอุโมงค์รถไฟที่ดอยงาช้าง เทือกเขาขุนตาน ใช้เวลาทำการสำรวจอยู่สองปี
การเจาะอุโมงค์ขุนตาน เริ่มเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐ โดยมีวิศวกรชาวเยอรมัน เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างจากตัวเมืองลำปาง
ที่เป็นหัวงาน การเดินทางสู่บริเวณที่ก่อสร้าง ต้องใช้วิธีเดินเท้าหรือขี่ม้า
การขนอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการก่อสร้างต้องใช้แช้างและเกวียนบรรทุกไป ส่วนที่เป็นโขตเขตต้องใช้วิธีนำผ่านไปด้วยรอก
การขุดเจาะเป็นด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง เครื่องมือเครื่องใช้ทุ่นแรงมีไม่เพียงพอ
ต้องใช้แรงงานคนเป็นส่วนใหญ่ กรรมวิธีในการขุดเจาะเริ่มด้วยการเจาะเล็ก ๆ
เข้าไปก่อนโดยใช้หรือใช้แรงคนตอกสกัด เมื่อได้รูลึกเข้าไปตามที่ต้องการ แล้วจึงเอาดินระเบิดไดนาไมต์ฝังในรูนั้น
จากนั้นก็ใส่เชื้อประทุแก๊บเข้าไป เพื่อทำหน้าที่จุดระเบิด โดยมีสายชนวนต่อยาวออกไปเพื่อความปลอกภัยของผู้จุดระเบิด
การขุดเจาะอุโมงค์รถไฟขุนตาน ใช้วิธีเจาะที่ทันสมัยเช่นเดียวกับการเจาะอุโมงค์ใหญ่
ๆ ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน มีการขุดเป็นสองช่องอยู่ข้างบน และข้างล่าง เพื่อสะดวกในการขุดดิน
และหินออกจากอุโมงค์ และทำการขุดอุโมงค์จากปลายอุโมงค์ทั้งสองด้านเข้าไปบรรจบกันตรงกลาง
เมื่อขุดเจาะเข้าไปลึก ๆ ไม่มีอากาศเพียงพอต่อการหายใจ ก็ใช้วิธีการสูบอากาศจากภายนอกเข้าไปช่วยด้วยเครื่องสูบลมที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำ
การขนดินและหินที่ขุดเจาะออกจากอุโมงค์ ส่วนใหญ่ใช้แรงงานคน เป็นอุโมงค์ขนาดเล็กไม่ยาวมาก
การขุดเจาะอุโมงค์รถไฟขุนตานใช้เวลา ๘ ปี อุโมงค์ทะลุกันได้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๘
มีปริมาณหินที่ขุดเจาะออกมาประมาณ ๖๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ได้นำเอาหินจำนวนนี้มาถมลำห้วยบริเวณปากอุโมงค์
จนกลายเป็นที่ตั้งของตัวสถานีรถไฟขุนตานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อเสร็จการขุดเจาะแล้วงานก่อสร้างขึ้นต่อไปเป็นการบุผังอุโมงค์คอนกรีดเสริมเหล็ก
เพื่ความแข็งแรงและป้องกันน้ำรั่วซึม ซึ่งต้องใช้เวลาทำอยู่ ๓ ปี เสร็จเมื่อปี
พ.ศ.๒๔๖๑ และต้องใช้เวลาอีก ๓ ปี กว่าที่จะการเดินรถไฟสายเหนือ จะไปสุดทางที่จังหวัดเชียงใหม่ได้
การวางรางรถไฟจากลำปางไปยังปากอุโมงค์ทางด้านทิศใต้ เป็นด้วยความยากลำบาก
เนื่องจากภูมิประเทศแถบปางหละ
มีสภาพเป็นป่าเปลี่ยว แม้ว่าจะมีระยะทางเพียง ๘ กิโลเมตร แต่เป็นโขดเขาสูงชันลดเสี้ยวไปตามหุบเหว
ชะง่อนเผาและป่าทึบ ช่วงระหว่างปางหละกับปากอุโมงค์ขุนตานต้องผ่านเหวลึกสามแห่ง
ต้องใช้วิธีทำสะพานทอดข้ามเหวลึกดังกล่าว
อุโมงค์รถไฟขุนตาน ใช้เวลาก่อสร้าง ๑๔ ปี นักเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
มีความยาม ๑,๓๖๒ เมตร ปากอุโมงค์ด้านทิศเหนือสูงกว่าปากอุโมงค์ด้านทิศใต้
๑๔ เมตร ทั้งนี้เพื่อให้น้ำสามารถระบายออกไปทางปากอุโมงค์ด้านทิศใต้ได้ ณ
จุดนี้เป็นจุดที่ทางรถไฟพาดผ่านสูงที่สุดในประเทศไทย อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล
๕๗๘ เมตร และเป็นช่วงที่ลาดชันที่สุดของทางรถไฟทั่วประเทศ เมื่อนับจากสถานีแม่ตานน้อย
จังหวัดลำปาง ถึงสถานีขุนตานจังหวัดลำพูน ความยาว ๘ กิโลเมตร มีระดับต่างกัน
๒๐๐ เมตร
ถนนสายเชียงใหม่ - ลำพูน (สายเก่า)
ถนนสายนี้มีความผูกพันกับแม่น้ำปิงห่าง
ต้นยาง และต้นขี้เหล็กอย่างแนบแน่น เดิมแม่น้ำปิงห่างจะไหลผ่านทางด้านทิศตะวันออกของเวียงกุมกาม
และทิตะวันตกของตัวเมืองหริภุญชัย ระยะทางจากเวียงกุมกามถึงตัวเมืองหริภุญชัยประมาณ
๒๕ กิโลเมตร ต่อมาแม่น้ำปิงได้เปลี่ยนทางเดิน ทำให้แม่น้ำปิงเดิมที่ไหลผ่านเวียงกุมกามและเมืองหริภุญชัย
กลายเป็นแม่น้ำปิงห่าง
เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำ ระหว่างเมืองเชียงใหม่กับเมืองลำพูน มีการตั้งหมู่บ้านตลอดแนวแม่น้ำและมีวัดอยูอตลอดแนวประมาณ
๓๐ วัด ทำให้เกิดเส้นทางคมนาคมทางบกเลียบแนวแม่น้ำห่าง เป็นเส้นทางบกที่สำคัญของการติดต่อระหว่างเชียงใหม่กับเมืองลำพูนมาแต่เดิม
และมีการพัฒนาเส้นทางมาตามลำดับ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการสร้างถนนอย่างเป็นทางการ
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๘ โดยพระยาทรงสุรเดช (อั้น บุนนาค) ข้าหลวงใหญ่มณฑลลาวเฉียง
เริ่มสร้างถนนสายนี้ตั้งแต่เชิงสะพานนวรัฐ เลียบแม่น้ำปิงที่วัดกู่ขาว จนถึงตัวเมืองลำพูน
ถนนสายนี้ส่วนหนึ่งสร้างบนผนังดินธรรมชาติของแม่น้ำปิงห่าง ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๘
- ๒๔๕๔ ทางราชการได้นำต้นไม้ยางมาให้ชาวบ้านช่วยกันปลูกตลอดสองข้างทาง ส่วนในเขตตัวเมืองลำพูนได้ปลูกต้นขี้เหล็ก
ทำให้มีต้นไม้ปลูกอยู่สองข้างถนนสายนี้ตลดอเส้นทางประมาณสองพันต้น มีระยะห่างดันประมาณสิบวา
นับเป็นเอกลักษณ์ของถนนสายนี้
|