ภาษาและวรรณกรรม
ภาษา จังหวัดนครนายกมีประชากรอยู่หลายกลุ่ม
ปัจจุบันทุกกลุ่มใช้ภาษาไทยเป็นหลัก คงมีอยู่เพียงบางกลุ่มที่ยังใช้ภาษาท้องถิ่นของตน
เช่น ไทยพวน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตอำเภอปากพลี
คงใช้ภาษาพูดอยู่ในกลุ่มกันเอง แต่ภาษาเขียนใช้อักษรไทยน้อย และอักษรธรรม
กล่าวคือ เดิมชาวพวนใช้อักษรไทยน้อยเขียน (ธาร) นิทานพื้นบ้าน ส่วนอักษรธรรมใช้เขียนหนังสือธรรมะโดยตรง
เพื่อใช้ในการเทศนาตามงานบุญสำคัญ ๆ
ในเขตอำเภอองครักษ์มีไทยอิสลามอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ในชีวิตประจำวันจะใช้ภาษาไทย แต่ในพิธีการทางศาสนาจะใช้ภาษาอาหรับ โดยมีโรงเรียนปอเนาะสอนภาษาอาหรับให้แก่เยาวชน
ในกลุ่มลาวเวียงที่อพยพมาจากเวียงจันทน์ได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตอำเภอเมือง
ฯ อำเภอปากพลีและอำเภอบ้านนา ในแต่ละกลุ่มยังใช้ภาษาถิ่นของตนอยู่บ้าง
จารึก
จารึกชิ้นแรกที่พบในเขตจังหวัดนครนายกคือ จารึกเมืองโบราณดงละคร
พบเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นจารึกอยู่ด้านนอกบนเศษภาชนะดินเผา เป็นชิ้นส่วนของปากภาชนะดินเผาที่ทำด้วยความประณีตเนื้อละเอียด
ผิวขัดมันสีดำอย่างดี เป็นจารึกด้วยอักษรปัลลวะเป็นภาษาบาลี ตัวอักษรมีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๒ - ๑๓ ในสมัยทวาราวดี ข้อความในจากรึกเป็นส่วนหนึ่งของ คาถาเยธัมมา
ฯ ซึ่งเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมอย่างย่อในพระพุทธศาสนา
ตำนาน
จังหวัดนครนายกมีตำนานเกี่ยวกับวีรบุรุษ บุคคลและสถานที่อยู่หลายเรื่องด้วยกันคือ
ตำนานเจ้าพ่อขุนด่าน
ขุนด่านเป็นชื่อตำแหน่ง ชื่อจริงคือ หาญ เป็นบุตรชายขุนพิจิตร ไพรสณฑ์ ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา
แห่งกรุงศรีอยุธยา ทางราชการได้ให้ขุนพิจิตร ฯ หัวหน้าหมู่บ้านทางทิศตะวันตก
แขวงเมืองนครนายก เป็นหัวหน้า คอยตรวจตราเขตแขวงเมืองนครนายก ติดกับแขวงเมืองปราจีนบุรี
ที่เขมรมักลอบเข้าไปลักเสบียงและลอบรังแกคนไทยอยู่เสมอ
เมื่อพม่ายกทัพมารุกรานไทย หัวหน้าที่ชาวบ้านเรียกว่าขุนด่าน จะใช้ม้าเร็วส่งข่าวไปยังเมืองหลวง
เมื่อขุนพิจิตร ฯ นายด่านคนเก่าถึงแก่กรรม หมื่นหาญผู้เป็นบุตร
ก็ได้รับแต่งตั้งจากกรุงศรีอยุธยา ให้เป็นขุนหาญพิทักษ์ไพรวัน
เป็นนายดาบแทนบิดา
ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา นักพระสัตถาหรือพระยาละแวก เจ้าเมืองเขมร
ได้ยกกำลังเข้ามาดัดตลบหลังไทย โดยยกกำลังเข้ามาตีเมืองปราจีนบุรี แล้วเลยไปเมืองนครนายก
เพื่อกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สมบัติไปเขมร
เมื่อทราบข่าวศึก ขุนหาญ ฯ จึงให้ม้าเร็วส่งข่าวไปให้ทางกรุงศรีอยุธยาทราบ
ส่วนตัวขุนหาญ ฯ ได้รวบรวมกำลังออกไปซุ่มโจมตีกองทัพพระยาละแวกตรงทางผ่าน
เมื่อกองทัพพระยาละแวกยกทัพผ่านมาถึง ขุนหาญ ฯ ก็ยกกำลังเข้าโจมตีกองทัพพระยาละแวกเสียหาย
และเมื่อกองทัพจากกรุงศรีอยุธยายกมาช่วย กองทัพเขมรก็แตกพ่ายกลับไป
เมื่อเสร็จศึกแล้ว พระยาศรีไสยณรงค์ แม่ทัพจากกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ให้รางวัลและประกอบพิธีมงคลสมรสให้ขุนหาญ
ฯ กับนางสาลิกา บุตรสาวขุนไวยารักษ์
เมื่อขุนหาญ ฯ ถึงแก่กรรม ชาวบ้านได้ร่วมใจนกันสร้างศาลบรรจุอัฐิของท่านไว้ ณ
บริเวณหุบเขาชะโงก ตำบลพราหมณี อำเภอเมือง ฯ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดี เป็นที่เคารพบูชาสืบต่อกันมา
ตำนานเขานางบวช
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อประมาณ ๑,๐๐๐ ปีมาแล้ว เจ้าเมืองกัมพูชา
มีโอรสนามว่า เจ้าประจิตร
เมื่ออายุได้ ๑๖ พรรษา ได้ออกจากเมืองพิมาย พบหญิงคนหนึ่งท้องแก่กำลังดำนา
จึงเข้าไปทักทาย และเห็นว่าเด็กในท้องคงเป็นผู้มีบุญแล้วอาศัยบ้านหญิงท้องแก่นี้อยู่
จนนางคลอดบุตรเป็นหญิงชื่อว่า อรพิน
เมื่อนางอรพินโตเป็นสาว เจ้าประจิตรก็มาสู่ขอเป็นคู่ครอง โดยได้กลับไปเตรียมสินสอดทองหมั้นที่เมืองของตน
และได้ให้ทหารคนสนิทอยู่เฝ้านางไว้
ข่าวความงามของนางอรพิน ได้แพร่ออกไปถึงหูเจ้าเมืองพิมาย
จึงให้นำตัวนางเข้าเฝ้าเจ้าเมือง แต่เจ้าเมืองทำอะไรนางไม่ได้ เพราะนางมีว่านพิษติดตัวอยู่
ผู้ใดเข้าใกล้จะร้อน เมื่อความทราบถึงเจ้าประจิตร ฯ จึงได้เข้าไปช่วยพานางหนีออกจากวัง
ทหารเจ้าเมืองพิมายยกกำลังออกติดตามจนทัน เกิดการต่อสู้กัน เจ้าประจิตรพานางหนีไป
โดยได้เดินลัดเลาะไปตามเชิงเขาท่ามกลางสัตว์ร้ายอยู่หลายวัน หลายเดือน จนวันหนึ่งได้เดินทางมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง
เจ้าประจิตรและนางอรพิน เกิดพลัดกันระหว่างที่ข้ามแม่น้ำ ต่างคนต่างพยายามเรียกหากันแต่ไม่พบ
จนนางอรพินได้มาถึงวิหารแห่งหนึ่งบนภูเขา นางจึงอธิษฐานแปลงร่างเป็นชาย แล้วบวชอยู่ในวิหารบนยอดเขานั้น
เวลาได้ล่วงเลยไปนานในที่สุด เจ้าประจิตรได้ทราบเรื่อง จึงเดินทางมาพบแล้วให้ลาสึก
จากนั้นจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อภูเขานั้นว่า เขานางบวช
ตำนานเมืองดงละคร
ดงละครเป็นชื่อบ้านและชื่อตำบลแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง ฯ ดงละครเป็นแหล่งโบราณคดีที่ชาวบ้านท้องถิ่นเรียกว่า
เมืองลับแล
มีตำนานอยู่หลายเรื่องที่เกี่ยวข้องคือ
ตำนานที่หนึ่ง
มีอยู่ว่า เชื้อพระวงศ์เจ้านายฝ่ายเขมร ที่สืบเนื่องมาจากพระเจ้าประทุมสุริวงศ์
ผู้สร้างพระนครธมนั้นสาบสูญสิ้นสุดลง เมื่อเจ้าผู้หญิงเป็นราชินีขึ้นครองแผ่นดิน
เพราะไม่มีเจ้าผู้ชายจะสืบวงศ์ พระยาเขมรทั้งปวงยอมให้พระนางหาชายไว้ใกล้ชิดได้ตามพระทัย
มีการป่าวร้องให้หาชายที่รูปงามมาให้เลือกทุกบ้านทุกเมือง ได้ชายรูปงามในเขมรสองคน
เอามาเลี้ยงไว้ใกล้ชิด
ต่อมาได้ชายไปจากแผ่นดินเขมรเก่า ซึ่งถวายเป็นแผ่นดินไทยฝ่ายใต้คนหนึ่ง พระนางชอบพระทัย
แต่ชายสองคนที่มาอยู่ก่อนหึงหวงไม่ยอมให้อยู่ พระนางจึงได้มาขอผู้ปกครองฝ่ายไทยสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่งคือเมืองนครนายก
อยู่ในแผ่นดินฝ่ายใต้ใกล้กับเมืองเขมร เมื่อสร้างเสร็จแล้วพระนางก็เสด็จมาอยู่ที่เมืองนครนายก
กับชายผู้นั้นบ้าง กลับไปอยู่เมืองพระนครธมบ้างจนสวรรคต โดยไม่มีราชบุตรสืบวงศ์ต่อไป
จากตำนานเรื่องนี้มีผู้สันนิษฐานว่า เมืองนครนายกดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นเมืองดงละคร
ตำนานที่สอง
เรื่องมีอยู่ว่า หนุ่มชาวบ้านคนหนึ่งมีอาชีพตัดฟืนหาเถาวัลย์ขาย วันหนึ่งเข้าไปหาของป่าพบเถาวัลย์มากมาย
จึงสาวตามเถาวัลย์ไปเรื่อย ๆ จนหลงเข้าไปในเมืองลับแล หาทางกลับออกมาไม่ได้
เขาได้พบหญิงสาวสวยในเมืองนั้น และได้อยู่กินจนมีลูกด้วยกัน เมืองลับแลนั้นอุดมสมบูรณ์เจริญรุ่งเรือง
ผู้คนมีศีลธรรม ถือปฏิบัติเคร่งครัดโดยเฉพาะศีลข้อมุสา ฯ
วันหนึ่งภรรยาไม่อยู่เขาต้องดูแลลูก เมื่อลูกร้องกวน ปลอบไม่ฟัง จึงออกปากหลอกลูกว่า
"แม่มาแล้ว เพื่อให้ลูกหยุดร้อง เมื่อภรรยากลับมาและรู้เรื่องเข้า เห็นว่าสามีทำผิดกฎเกณฑ์ของเมือง
จึงจำใจให้สามีออกไปจากเมือง โดยภรรยาได้มอบห่อผ้าให้สองห่อ พร้อมกับกำชับให้แก้ห่อผ้าได้เมื่อถึงบ้านเรือนตนแล้ว
ฝ่ายชายคนนั้นเมื่อออกจากเมืองมาถึงหนองน้ำแห่งหนึ่ง อยากรู้ว่าภรรยาของตนให้อะไรมาจึงแก้ห่อผ้าออกดูเห็นเป็นทรายจึงเททิ้งเสีย
แล้วฉุกใจคิดถึงคำกำชับของภรรยา จึงนำห่อผ้าที่เหลือมาเปิดที่บ้าน พบว่าในห่อเป็นทองคำ
จึงได้นำทองคำนั้นไปขายเลี้ยงตัวและมารดาไปตลอดชีวิต และได้สร้างวัดขึ้น ณ
บริเวณที่ตนแก้ห่อผ้าพบทรายแล้วเททิ้ง เรียกชื่อวัดนั้นว่า วัดหนองทองทราย
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของดงละคร
ตำนานที่สาม, ผีละครเมืองลับแล
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ในวันดีคืนดี ซึ่งโดยมากจะเป็นวันเพ็ญขึ้น ๑๔
- ๑๕ ค่ำ จะมีเสียงพิณพาทย์ ลาดตะโพน แว่วมาตามสายลม บ้างก็ว่าเสียงมาจากทางทิศตะวันออก
บ้างก็ว่าเสียงมาจากทิศใต้ และบ้างก็ว่าเสียงมาจากทิศเหนือ เล่าลือกันว่าเป็นผีในดงละคร
ถ้าผู้ใดมาร้องละครจะเป็นไข้ตาย เพราะผีจะเอาไปอยู่ด้วย หากมีผู้ร้องละครแล้วมีคนห้าม
ผีก็จะเอาคนห้ามไปแทน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าร้องละคร กลายเป็นที่มาของชื่อดงละคร
ตำนานศาลเจ้าพ่อองครักษ์
ศาลเจ้าพ่อองครักษ์ตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำนครนายก ในตำบลทรายมูล อำเภอองครักษ์
เป็นแม่น้ำสามแยกมาจากนครนายก แล้วแยกไปคลองรังสิตทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งแยกไปแม่น้ำบางปะกง
มีเรื่องเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสจังหวัดปราจีนบุรี
โดยเสด็จผ่านมาทางแม่น้ำนครนายก และได้ประทับแรมอยู่ ณ บริเวณที่ตั้งศาลเจ้าพ่อองครักษ์ปัจจุบัน
ระหว่างประทับแรมนั้นนายทหารราชองครักษ์ผู้หนึ่งได้ป่วยและเสียชีวิต
บางตำนานกล่าวว่า นายทหารราชองครักษ์ผู้นี้ถูกช้างทำร้ายจนเสียชีวิต ชาวบ้านจึงเรียกว่า
เจ้าพ่อช้างเหยียบ (ปัจจุบันยังมีหัวกะโหลกช้างอยู่ในบริเวณศาล)
เพื่อเป็นที่ระลึกแก่ราชองครักษ์ผู้นั้นจึงได้สร้างศาลขึ้นเป็นอนุสรณ์ แต่เนื่องด้วยบริเวณหน้าศาลเป็นวังน้ำวน
น้ำไหลเชี่ยวมาก เป็นที่หวั่นเกรงของชาวเรือ และเชื่อกันว่ามีจระเข้เจ้าพ่ออยู่ในวังน้ำ
ถ้าจะนำเรือผ่านบริเวณดังกล่าว จะต้องทำพิธีเซ่นไหว้ด้วยมะพร้าววอ่อน จึงจะนำเรือผ่านได้ปลอดภัย
|