ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น
การแต่งกายพื้นเมือง
ประกอบด้วยเครื่องนุ่ง และเครื่องห่ม เชื่อกันว่าการแต่งกายในสมัยพญางำเมือง
และพญาเม็งรายสืบมาจนถึงสมัยราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน โดยใช้ผ้าฝ้ายที่ทอขึ้นเองในท้องถิ่น
ผู้ชายนิยมสักหมึกคือ
การสักยันต์ด้วยหมึกดำ เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มจะสักตั้งแต่เอวลงมาถึงเข่าหรือต่ำกว่เข่าเล็กน้อย
ผ้านุ่งเรียกว่า ผ้าต้อย
มีสองขนาดคือขนาดสั้น และขนาดยาว ขนาดสั้นเรียกว่า นุ่งแบบเด็ดหม้าย
หรือเก็นม้าม
เพื่อแสดงให้เห็นยลายสักหมึกได้ชัดเจน ขนาดยาวจะนุ่งแบบโจงกะเบน สำหรับส่วนบนจะเปลือยอก
เวลามีงานหรือโอกาสพิเศษจะมีผ้าพาดบ่าเรียกว่า ผ้าเช็ด
ในฤดูหนาวจะมีผ้าตุ้ม
ใช้คลุมตัวทั้งชายและหญิง
การแต่งกายของผู้หญิง ไม่ต่างจากผู้ชายมากนัก ผู้หญิงนิยมเกล้าผมมวยสูง กลางศีรษะมักนิยมหรือเสียบดอกไม้ประดับ
การเปลือยอกของผู้หญิงเป็นเรื่องธรรมดา ในอดีตจะมีเพียงผ้าสีอ่อน ซึ่งมีวิธีใช้หลายอย่างเช่นพันผ้าไว้ใต้ทรวงอกหรือปิดอก
ใช้คล้องคอปล่อยชายผ้าไว้ด้านหน้า หรือคล้องทิ้งชายไปด้านหลัง ใช้ห่มแบบสไบเรียกว่า
สะหว้ายแหล้ง
หรือเบี่ยงซ้าย
นุ่งผ้าซิ่นลายขวางยาวกรอมเท้าเรียกว่า ซิ่นต่อตีนต่อเอว
ซิ่นประกอบด้วยสามส่วนคือหัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนชิ่น ผ้าที่นำมาใช้ทำเป็นเครื่องแต่งกาย
จะทอด้วยมือ ผ้าของล้านนายังเป็นสิ่งที่สื่อถึงความสุนทรีย์ ผ้าทอยังใส่ศิลปะความงดงามของฝีมือและจิตใจ
รวมทั้งวิถีชีวิตตลอดจนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เข้าไปในผลงานนั้นด้วย
ปัจจุบันชาวพะเยาได้ฟื้นฟูการแต่งกายพื้นเมืองขึ้น ซึ่งมีหลายรูปแบบตามกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรล้านนาในอดีต
เป็นการประยุกต์รูปแบบของเสื้อผ้าในยุคดั้งเดิม มาแต่งโดยรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของชาวพื้นเมืองไว้
มีลักษณะดังนี้
เครื่องแต่งกายหญิง
มีการกำหนดไว้ สี่แบบคือ
แบบที่ ๑
เสื้อคอกลม แขนกระบอกต่อแขนต่ำ ผ่าอกตลอด ผูกเชือกหรือติดมะต่อมแต๊บ มีกระเป๋าสองข้าง
ผ้านุ่งจะเป็นผ้านุ่งลายขวางต่อตัน ต่อเอวสีดำ เฉพาะช่วงเอวจะต่อด้วยผ้าฝ้ายขาว
อีกประมาณฝ่ามือ ปัจจุบันเป็นซิ่นตืนรวดคือ จะทอทั้งเชิงเอวครั้งเดียวกัน
ไม่มีการเย็บต่อเหมือนเดิม เชิงจะมีลวดลายสลับสีอีกด้วย
แบบที่ ๒
เสื้อคอกลม ตัวหลวม แขนกระบอกต่ำ แขนต่ำ ผ่าครึ่งอกติดมะต่อมแต๊บ (กระดุมแป๊ะ)
แบบที่ ๓
เสื้อคอกลม ตัวหลวม เข้ารูปเล็กน้อย จับเกล็ดเอวด้านหน้า และด้านหลัง ข้างเกล็ด
ผ่าอกตลอด ติดกระดุมอัด แขนเสื้อเป็นแขนกระบอกสั้น หรือกระบอกยาว การต่อแขนและคอโดยการตัดเว้าตรงปุ่มไหล่แบบเสื้อปัจจุบัน
แบบที่ ๔
เสื้อคอกลม มีระบายตรงสาบเสื้อ ปลายแขนและชายนิยมใช้ผ้าป่านขาว หรือแพรสี
เสื้อชั้นในเป็นเสื้อคอกระเช้า
เครื่องแต่งกายชาย
กำหนดไว้สองแบบคือ
แบบที่ ๑
เสื้อคอกลม แขนสั้น หรือแขนยาว ผ่าหน้าตลอด ผูกเชือก มีกระเป๋าปะทั้งสองข้าง
ผ้าเป็นสีขาวตุ่นของใยฝ้าย หรือสีแบบย้อมคราม หรือม่อฮ่อม
แบบที่ ๒
เสื้อคอกลมผ่าครึ่งอก ติดมะต่อมหอยสองเม็ด มีกระเป๋า หรือไม่มีก็ได้ กางเกงคล้ายกางเกงจีน
ทั้งขาสั้น (ครึ่งแข้ง) และขายาวถึงข้อเท้า เรียกว่า เตี่ยวสะดอ ตัดเย็บด้วยผ้าฝ้ายทอมือ
การกินอยู่
เนื่องจากจังหวัดพะเยาประกอบด้วย คนไทยหลายเผ่าพันธุ์ การกินอยู่ จะมีทั้งส่วนที่เหมือนกัน
และแตกต่างกัน เช่น คนเมืองและไทลื้อ นิยมบริโภคข้าวหนียวเป็นหลัก ส่วนไทยใหญ่นิยมบริโภคข้าวเจ้า
อาหารหลักของคนเมืองส่วนใหญ่ จะมีรสจัดปานกลาง รสชาดกลมกล่อม แบ่งเป็นประเภทต่าง
ๆ เช่น
แกงผักชนิดต่าง ๆ
ที่นิยมคือ แกงแค แกงอ่อม แกงโฮะ ชื่อแกงอ่อม พบในจารึกสมัยพญางำเมือง
ลาบ เป็นอาหารหลัก
และนิยมแลี้ยงในงานพิธีสำคัญ ๆ นิยมทำลาบหมู ลาบควาย ลาบวัว ลาบไก่ และลาบปลา
ผักบางชนิดทีใช้กับลาบ เป็นสมุนไพรที่ดี เช่น ดีปลีสด และใบบัวบก เป็นต้น
น้ำพริกผักนึ่ง
สามารถปรุงได้หลายชนิด เช่น น้ำพริกปลา น้ำพริกฮ้า น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกต่อ
น้ำพริกแดง น้ำพริกเป็นอาหารพื้นบ้านที่นิยมกันทั่วไป
อาหารประเภททอดและย่าง
เช่น เนื้อทอด ใส่อั่ว (ไส้กรอก) ไก่ย่าง ปลาย่าง กบย่าง หมูย่าง
อาหารประเภทรนึ่ง
เช่น ห่อนึ่ง อาจเป็นห่อนึ่งไก่ ห่อนึ่งปลา
อาหารประเภทปิ้ง
เช่น ปลาแอ้บ
อาหารหลักของไทยใหญ่ ที่มีชื่อเสียงและนิยมทั่วไปคือ แกงฮังเล ซึ่งทำจากเนื้อหมู
นิยมใช้เลี้ยงแขกในงานพิธีสำคัญ ๆ อีกชนิดหนึ่งคือ น้ำพริกอ่อง ส่วนใหญ่ทำจากเนื้อหมูสับ
กิริยามารยาท
โดยทั่วไปจะมีกิริยามารยาทที่อ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติและให้ความสำคัญต่อแขก
ผู้มาเยือนเป็นอย่างสูง มีความโอบอ้อมอารี จิตใจงาม ผู้หญิงจะให้เกียรติผู้ชายมาก
มองโลกในแง่ดี
ประเพณี
มีตั้งแต่การเกิด การบวช ปีใหม่ ทานข้าวสลาก สืบชะตา
ประเพณีการเกิด
เมื่อเด็กคลอดออกมาถึงพื้นเรียกว่า ตกฝาก
จะมีการจดเวลาไว้เพื่อให้โหรทำนาย เมื่อรกตามออกมาจะใช้ผิวไม้เฮี้ย (ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง)
ตัดสายรก เอารกที่ตัดแล้วใส่เกลือ ขมิ้นผง แล้วห่อด้วยใบตองไปฝังไว้ใต้บันได
เอาใบหนาดและหนามพุทราคลุมไว้ หรือเอาใบหนาดห้อยตามชายคาเรือน กันผีร้าย
การทำดังกล่าว เพื่อป้องกันผีรบกวนทารก การเอารกฝังไว้ใต้บันได เนื่องจากสมัยเป็นเมืองขึ้นพม่า
พม่าเกรงว่าคนมีบุญจะมาเกิด และกู้อิสระภาพ จึงให้เอารกฝังใต้บันได จะได้เสื่อม
มารดาต้องอยู่เดือน (อยู่ไฟ) ถ้าลูกเป็นหญิงอยู่ไฟ ๒๓ วัน ถ้าเป็นผู้ชายจะอยู่ไฟ
๒๘ วัน
ประเพณีการบวช
ทางเหนือเรียก ปอยหลวง
เด็กชายที่จะบวชต้องมีอายุตั้งแต่เจ็ดปีขึ้นไป จนถึงยี่สิบปี เรียกว่า บวชพระ
เพราะนิยมเรียกสามเณรว่า พระ สามเณรที่อายุน้อยเรียกว่า พระน้อย ผู้ที่จะบวชต้องมีอายุเจ็ดปีขึ้นไปจนถึง
๒๐ ปี เรียกว่า บวชพระ เพราะนิยมเรียกสามเณรว่า พระ เณรที่มีอายุน้อย เรียกว่า
พระน้อย ถ้าสามเณรอายุมาก เรียกว่า พระโคร่ง
หรือสามเณรโคร่ง หากลาสิกขาออกไปจะถูกเรียกว่า น้อย
ส่วนการเป็กข์ นิยมทำกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป เรียกว่า
อุปสมบท หรือเป็กข์ เมื่อเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว จะเรียกขานว่า ตุ๊
เวลาสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ ชาวบ้านจะเรียกว่า หนาน
งานบวชนาคจะมีวัน ดาปอย เป็นการเตรียมงานเมื่อกุลบุตร จะบรรพชาหรือจะอุปสมบท
พ่อแม่ผู้ปกครองจะไปตกลงกับเจ้าอาวาส เพื่อขออนุญาตให้มี พระอุปัชฌาย์สำหรับการบรรพชาครั้งนี้
จากนั้นจะมีการแผ่นาบุญ โดยให้คนใกล้ชิดสองสามคน นำผ้าสบงจีวรใส่พานขึ้นไปตามบ้านญาติมิตร
เพื่อบอกนาบุญ ผู้ที่ได้รับการบอกนาบุญ จะยกพานขึ้นจรดหน้าผาก พร้อมกล่าวคำอนุโมทนาสาธุ
วันดาปอย คือ วันก่อนที่จะทำการอุปสมบทหรือบรรพชาหนึ่งวัน เจ้าภาพจะเตรียมการเกี่ยวกับเครื่องบวช
เช่น ผ้าไตร บาตร หรือเครื่องอัฐบริขาร ให้พร้อม และต้องเตรียมอาหารไว้รับแขกที่จะมาร่วมอนุโมทนา
มีดอกไม้ ธูป เทียน จตุปัจจัยในพานนาคเรียกว่า ฮอยปอย
นาคจะรับและให้พรตอบแทน บางแห่งจัดทำพิธี รับขวัญนาคโดยจัดทำต้นผึ้ง
เชิญอาจารย์ที่เป็นมัคนายก หรือหนาน เป็นผู้ประกอบพิธี ทำขวัญนาค
เพื่ออบรมกล่อมเกลาจิตใจให้ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระคุณของมารดา
บิดาที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูตนมาจนเติบใหญ่
ทางเหนือเรียกผู้ที่จะบรรพชาอุปสมบท หรือนาคว่า ลูกแก้ว
โดยจะไปโกนผมที่วัด ญาติพี่น้องจะพาลูกแก้วไปแต่งตัวด้วยผ้านุ่งสีขาว นุ่งห่มโจงกระเบน
สวมชฎา แต่งหน้า ทาปาก ทาคิ้ว ประดับแหวน ประดับสร้อย ของมีค่าจำนวนมาก ในขบวนแห่นาคจะใช้รถบ้าง
ม้าบ้าง หรือขึ้นขี่คอคน บางแห่งให้นั่งบนหลังช้างไปตามบ้านญาติ เพื่อผูกข้อมือรับขวัญ
งานปอย ถือกันว่าเป็นงานมงคลที่ยิ่งใหญ่ เจ้าภาพจัดเลี้ยงเพื่อบำเพ็ญทานตามฐานะ
บางรายอาจจัดมหรสพให้มีวอ รำวง ดนตรี ลิเก หรือภาพยนต์ เป็นการเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้น
ผู้ที่ไปร่วมทำบุญจะได้ร่วมกินอาหารและได้ชมมหรสพต่าง ๆ
วันรุ่งขึ้นก็จะพานาคไปทำพิธีบวชในอุโบสถ บวชเสร็จแล้วต้องอยู่กรรม ประมาณ
สาม - สี่วัน เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่พ่อ โดยการใช้ลูกประคำตกหมากนับ
ประเพณีปีใหม่
หมายถึง ประเพณีสงกรานต์ ไม่ได้ถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันสำคัญ แต่ถือเอาวันพระยาวัน
คือ วันเถลิงศกเป็นวันสำคัญ วันนี้ต่อจากวันเนา ตรงกับวันที่ ๑๕ เมษายน
วันสงกรานต์ สำเนียงล้านนาออกเสียงว่า สังขานต์
หรือวันสังขานต์ล่อง ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ยังไม่ถือว่าเป็นวันปีใหม่ เป็นวันทำความสะอาดบ้านเรือน
ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า จะหยุดการทำงานทั้งหมด ในตอนเช้าตรู่ของวันนี้จะได้ยินเสียงปืนยิงขึ้นฟ้า
เสียงพลุ ดังมาจากบ้านต่าง ๆ ถือกันว่า ขับไล่ตัวสังขานต์ ตอนสายจะนำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่นอนหมอนมุ้งไปทำความสะอาด
จากนั้นจะดำหัว
หรือสระผม โดยใช้ส้มป่อย ถือว่าเป็นการแก้เสนียดจัญไร และอาถรรพณ์
เมื่อดำหัวเสร็จแล้ว จะทัดดอกไม้หรือใบไม้ ที่เป็นนามปี ในตำราบอกว่า บางปีก็ดำหัวก่อนสังขานต์ล่อง
บางปีก็ดำหัวพร้อมสังขานต์ล่อง บางปีก็ดำหัวหลังจากสังขานต์ล่องแล้ว คนส่วนมากจึงดำหัวในวันสงกรานต์เท่านั้น
ส่วนเวลาก็ตามสะดวก
การทำพิธีดำหัวเพื่อขอขมา และขอพรในวันพระยาวัน
การดำหัวในวันนี้ไม่เหมือนการดำหัวในวันสังขานต์ล่อง ซึ่งเราดำหัวให้แก่ตนเอง
สำหรับวันนี้เราไปดำหัวผู้อื่น คือไปดำหัวผู้ที่มีพระคุณ หรือที่เคารพนับถือ
เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ญาติผู้ใหญ่ เป็นต้น เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที
และขออโหสิกรรมจากท่าน ท่านจะให้พรแก่เรา
วันเนา
ตรงกับวันที่ ๑๔ เมษายน ดวงอาทิตย์สถิตอยู่ที่สองราศี จึงได้ชื่อว่าวันเนา
ถือว่าเป็นวันที่ไม่เป็นมงคล วันนี้ทั้งวันจะเป็นวันห่อธรรมดา (วันสุกดิบ)
ทุกครอบครัวจะประกอบอาหารทั้งคาวหวาน พยายามทำอย่างดีเพราะเป็นของที่จะไปถวายพระ
และเลี้ยงญาติพี่น้อง ตกตอนบ่ายคนทั้งหลายจะถือขันคนละใบ พากันไปยังเกาะทรายตามแม่น้ำ
เพื่อนำทรายมาก่อเจดีย์ทรายในวัด วันสุดท้ายต้องเป็นวัดประจำหมู่บ้านของตน
ในวันนี้ตามประเพณียังไม่มีการสาดน้ำกัน หลังจากก่อเจดีย์ทรายแล้ว มีเทศน์ธรรมอานิสงส์ปีใหม่
เมื่อฟังเทศน์จบ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ หลังจากนั้นอาจารย์วัดก็กล่าวคำเวนทาน
พระสงฆ์ให้พร นำน้ำขมิ้นส้มป่อยไปประพรมนก หรือสัตว์ที่เตรียมปล่อย แล้วจึงปล่อยไป
จากนั้นเอาด้ายสายสิญ์จ ที่ล้อมรอบเจดีย์ทรายของตนกลับบ้าน นำไปผูกข้อมือให้ลูกหลานต่อไป
ก่อนจะกลับก็สรงน้ำพระพุทธรูป ดำหัวเจ้าอาวาส แล้วเตรียมสิ่งของไปดำหัวพ่อแม่
หรือผู้ที่เคารพนับถือต่อไป
วันพระยาวัน
ตรงกับวันที่ ๑๕ เมษายน ถือเป็นวันสำคัญยิ่งกว่าวันทั้งหลาย เป็นวันเถลิงศกจุลศักราช
เรียกว่า เริ่มวันปีใหม่ของปี เป็นวันศกใหม่ ใครจะทำงานมงคลใด ๆ ได้ทั้งสิ้น
ชาวบ้านจะนำสำรับกับข้าว คาวหวานไปถวายพระที่วัดแต่เช้า และนำไปให้บิดามารดา
หรือผู้ที่เคารพนับถือต่าง ๆ
ในวันนี้ผู้คนจะไปตักบาตรที่วัดกันทุกคน ทางวัดจะมีพานข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน
ขันใส่ข้าวสุกและขนม หรืออาหารอื่น ๆ เมื่อไปถึงวัดแล้วก็จุดธูปเทียน ถือข้าวตอกดอกไม้บูชาพระพุทธรูป
แล้วนำดอกไม้ธูปเทียนมาใส่ขันแก้วทั้งสาม ซึ่งมักจะตั้งไว้กลางวิหาร เป็นพานใหญ่สูงประมาณศอกครึ่ง
ทำเป็นมุมสามมุม แต่ละมุมมีความหมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เมื่อพระสงฆ์ลงมาสู่วิหาร อาจารย์วัดจะนำไหว้พระและสมาทานศีลห้า อาจารย์วัดจะกล่าวคำ
เวนทาน พระสงฆ์ให้พร
แล้วศรัทธาหยาด (กรวด) น้ำ เป็นเสร็จพิธี
วันปากปี
เป็นวันถัดจากวันพระยาวัน ตรงกับวันปากของปี ในตอนเช้าชาวบ้านจะพากันไปวัด
พร้อมกับนำสะตวงใส่เครื่องบูชาพระเคราะห์ทั้งเก้าคือ นพเคราะห์ หรือเรียกว่า
เข้าเก้าพุ้น เครื่องบูชาเคราะห์เหล่านี้จะไปวางไว้ต่อหน้าพระประธาน เจ้าอาวาส
และอาจารย์วัดทำพิธีกรรม เชื่อกันว่าเมื่อได้ทำพิธีแล้ว ครอบครัวจะปราศจากเคราะห์ตลอดปี
ตอนบ่ายจะไปทำพิธีรดน้ำดำหัวพ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้ที่เคารพนับถือ
ประเพณีทานข้าวสลาก
หรือการกิ๋นก่วยสลาก หมายถึง ประเพณีทานสลากภัต จะเริ่มประมาณวันเพ็ญ เดือนสิบสองเหนือ
(คือเดือนสิบใต้) และสิ้นสุดในเดือนสิบเอ็ดใต้
การทานข้าวสลาก ในจังหวัดพะเยาจะเริ่มที่วัดป่าแดงบุนนาค ซึ่งถือว่าเป็นปฐมอารามในจังหวัดพะเยา
ก่อนแล้ววัดอื่น ๆ จึงจะจัดได้
ประเพณีสืบชะตา
ตามตำนานในคัมภีร์สืบชะตากล่าวว่า พระสารีบุตร มีสามเณรรูปหนึ่งชื่อ
ดิสสะ อายุเจ็ดปี มาบวชเพื่อศึกษากับท่านเป็นเวลาหนึ่งปี วันหนึ่งพระสารีบุตรสังเกตเห็นลักษณะของสามเณรเห็นว่า
จะมีชีวิตอยู่ได้อีกเจ็ดวันก็จะมรณภาพ พระสารีบุตรจึงเรียกสามเณรมาบอกความจริงให้ทราบ
ดังนั้นจึงให้สามเณรกลับไปร่ำลาโยมพ่อ แม่ และญาติ สามเณรก็ได้เดินทางกลับบ้านด้วยความเศร้าหมอง
ระหว่างทางที่สามเณรเดินทางผ่านไปนั้น ได้พบปลาน้อยใหญ่ในสระน้ำ ซึ่งกำลังแห้งเขิน
กำลังดิ้นรนเพราะน้ำไม่เพียงพอ สามเณรเห็นว่าเราจะตายแล้ว ก็ควรโปรดสัตว์คือ
ปลาเหล่านั้นให้พ้นจากความตาย แล้วสามเณรจึงช้อนปลาน้อยใหญ่ทั้งหมดไว้ในภาชนะคือ
บาตรของตน แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำใหญ่ ระหว่างทางพบเก้ง ติดแร้วของนายพรานสามเณรก็ได้ปลดปล่อยเก้งตัวนั้น
เมื่อเดินทางไปถึงบ้านได้บอกเรื่องที่ตนจะตายให้ญาติ มีบิดามารดาเป็นต้น ทุกคนต่างก็ร่ำไห้สงสารสามเณรยิ่งนัก
แต่เมื่อเลยกำหนดหนึ่งวันสองวันตามลำดับ จนล่วงกำหนดไปเจ็ดวัน สามเณรก็ยังไม่ตาย
กลับมีผิวพรรณผ่องใสยิ่งขึ้น ญาติจึงบอกให้สามเณรกลับไปหาพระสารีบุตร สามเณรได้กราบเรียนให้ทราบ
ถึงเรื่องการนำปลาไปปล่อยในน้ำ และปล้อยเก้ง จากแร้วของนายพราน การกระทำเพื่อยืดชีวิตสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้
ได้เป็นพลังให้พ้นจากความตายได้
ด้วยตำนานนี้ ทำให้ชาวล้านนาไทย นิยมการสืบชะตาเป็นประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน
ประเพณีสืบชะตาแบ่งออกเป็นสามประเภทคือ ประเพณีสืบชะตาคน ประเพณีสืบชะตาบ้าน
และประเพณีสืบชะตาเมือง
ประเพณีสืบชะตาคน
นับเป็นประเพณีสำคัญ ที่ชาวล้านนาไทยนิยมทำกันในหลายโอกาส เช่น เนื่องในวัดเกิด
วันได้รับยศศักดิ์ตำแหน่งหน้าที่ วันขึ้นบ้านใหม่ หรือย้ายที่อยู่ใหม่
การสืบชะตาคน จะมีเครื่องพิธีคล้ายคลึงกัน สถานที่จะทำในห้องโถง หากเป็นวัดจะจัดในวิหาร
หรือที่หน้าวาง คือ ห้องรับแขกของเจ้าอาวาส ถ้าเป็นบ้านก็จะจัดทำบนเติ๋น คือ
ห้องรับแขก หากเป็นวัดก็จะมีพระภิกษุ สามเณรรวมทั้งอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย
ถ้าเป็นบ้านก็ต้อนรับญาติมิตรแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน
ประเพณีสืบชะตาบ้าน
มีความเชื่อว่าบ้านที่ตั้งมาตามฤกษ์ยาม วันดีวันเสียนั้น มีเวลาที่ราหูมฤตยู
เข้ามาทับเบียดเบียนทำให้ชะตาบ้านขาดลง เป็นเหตุให้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านประสบความเดือดร้อน
ชาวบ้านถือว่าอุบาทว์ตกลงสู่บ้าน หรือชาวบ้านถือเป็นเรื่องขีดบ้านขีดเรือน
โดยจะร่วมพิธีขจัดปัดเป่า เรียกว่าสืบชะตาบ้าน
ในแต่ละหมู่บ้านจะมีศาลเทพารักษ์ประจำบ้านที่สิงสถิตของอารักษ์ (อาฮัก) บางแห่งเรียกเจ้านายบ้าง
หอเสื้อบ้านบ้างนับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์รองลงมาจากวัด
หอเสื้อบ้านมักจะอยู่กลางบ้าน ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม
ประเพณีสืบชะตาเมือง
การทำพิธีสืบชะตาเมืองของชาวล้านนาไทยมีมาแต่สมัยโบราณ ถือว่าการตั้งเมืองมีดวงชะตาที่เรียกกันว่า
ดวงชะตาเมือง บางครั้งดาวพระเคราะห์ที่เป็นบาปเคราะห์เข้ามาทับดวงเมือง
ทำให้เมืองนั้นชะตาตก ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นจะได้รับความเดือดร้อนและเคราะห์ร้ายต่าง
ๆ นานา ดังนั้น ผู้ใหญ่ในเมืองนั้นจะร่วมทำพิธีสืบชะตาเมืองขึ้นเพื่อสืบอายุเมืองต่อไปไม่ให้ขาดลง
|