มรดกทางวัฒนธรรม
แหล่งโบราณคดี
พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์
ตั้งอยู่ในถ้ำพระยานคร บนไหล่เขาลูกหนึ่งในทิวเขาสามร้อยยอด ในเขตอุทยาน ฯ
เขาสามร้อยยอด ตำบลสามร้อยยอด กิ่งอำเภอสามร้อยยอด การที่ได้ชื่อว่าถ้ำพระยานคร
เนื่องจากพระยานคร เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชท่านหนึ่งเป็นผู้ค้นพบ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างศาลาจตุรมุข
กว้าง ๒.๕๕ เมตร ยาว ๘ เมตร ไว้ ณ ถ้ำพระยานคร พระราชทานนามว่าพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์
และโปรดเกล้า ฯ ให้จารึกพระปรมาธิไธย ย่อ จ.ป.ร. ไว้ที่บริเวณผนังด้านเหนือของพลับพลา
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๓
ในปี พ.ศ.๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสถ้ำพระยานคร
และได้โปรดเกล้า ฯ ให้จารึกพระปรมาธิไธยย่อ ป.ป.ร. ไว้บริเวณผนังถ้ำด้านตะวันตกของพลับพลา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จประพาสถ้ำพระยานคร เป็นการส่วนพระองค์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๑
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๕
บ้านหว้ากอ
อยู่ในเขตตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง ฯ ในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชายทะเลเล็ก
ๆ มีสภาพเป็นป่ารกทึบชุกชุมด้วยไข้ป่า
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงคำนวณว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในวันอังคาร เดือนสิบ ขึ้นค่ำ ปีมะโรง
จ.ศ.๑๒๓๐ ตรงกับวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๑๑ ที่บ้านหว้ากอ เมืองประจวบ ฯ
จะเห็นดวงจันทร์จับดวงอาทิตย์ จากทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้วออกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
เป็นเวลานาน ๖ นาที ๔๕ วินาที ต่อมาได้เกิดปรากฎการณ์ดังที่ทรงคำนวณไว้ทุกประการ
ต่อมาสมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงทราบว่าที่บ้านหว้ากอยังมีฐานก่ออิฐถือปูน
จากเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นเหลืออยู่จึงโปรดให้รักษาไว้เป็นหลักฐานสืบต่อไป
ปัจจุบันฐานก่ออิฐถือปูนดักงล่าวได้ถูกทำลาย จนเหลือเพียงแนวอิฐที่วางเป็นแนวระนาบ
สันนิษฐานว่าสร้างไว้สำหรับเป็นที่ตั้งกล้องโทรทรรศน์ และตั้งเครื่องวัดที่สำคัญ
เช่น เครื่องวัดความเข้มของสนามแม่เหล็กโลก เครื่องวัดความชื้นของบรรยากาศและอุณหภูมิของอากาศ
เครื่องตั้งเวลา ฯลฯ ซากฐานอิฐดังกล่าวที่พบมีอยู่ห้าแห่งด้วยกันคือ
- แห่งที่ ๑ อยู่หน้าบริเวณสำนักงานของอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า
ฯ ณ หว้ากอ เป็นเสาหินสี่เหลี่ยมกว้างประมาณ ๑ ฟุต ตั้งอยู่บนฐานอิฐถือปูน
เป็นฐานสำหรับตั้งเครื่องมือวิทยาศาสตร์
- แห่งที่ ๒ อยู่ใกล้บริเวณรั้วของสำนักงานอุทยานวิทยาสาสตร์ ฯ มีความกว้าง
ยาวประมาณ ๒ x ๒ ฟุต
- แห่งที่ ๓ อยู่ใกล้บริเวณลำห้วยของคลองหว้าโทน จุดนี้ได้มีการเคลื่อนย้ายแล้วครั้งหนึ่ง
เนื่องจากผู้พบในช่วงแรกเข้าใจว่าเป็นวัดร้าง
- แห่งที่ ๔ อยู่ใกล้กับแห่งที่ ๓ ห่างไปทางเหนือเล็กน้อย
- แห่งที่ ๕ อยู่ทางด้านเหนือของสำนักงานอุทยานวิทยาศาสตร์ ฯ ประมาณ
๙๐๐ เมตร จุดนี้มีแท่นอิฐถือปูนจำนวนมาก
โบราณสถานรวม ๕ แห่งนี้ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓
ถ้ำคีรีวงศ์
ตั้งอยู่บนเขาหินปูน อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ ๑ กิโลเมตร อยู่ที่บ้านถ้ำคีรีวงศ์
ตำบลธงชัย อำเภอบางสะพาน
ภายในถ้ำแบ่งออกเป็นสองคูหา คูหาแรกค่อนข้างยาวในแนวเหนือ - ใต้ ยาวประมาณ
๒๔ เมตร กว้างประมาณ ๗ เมตร บริเวณติดกับผนังถ้ำทางด้านทิศตะวันตก มีพระพุทธรูปปูนปั้น
ปางไสยาสน์ยาวประมาณ ๓.๕ เมตร ประดิษฐานอยู่ ผนังถ้ำโดยรอบมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย
และปางสมาธิประดิษฐานอยู่ ๑๙ องค์ และมีพระพุทธบาทจำลองทำจากดินเผา และไม้อีกอย่างละหนึ่งองค์
บริเวณผนังถ้ำทางด้านทิศตะวันตก เหนือองค์พระพุทธไสยาสน์ สูงจากพื้นประมาณ
๒ เมตรเศษ ตามความโค้งของผนังถ้ำ มีพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร. ปรากฎอยู่
คูหาที่สอง อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่
ด้านข้างทั้งสองด้านของพระประธานมีเจดีย์ทรงกลมขนาดเล็ก เดิมภายในถ้ำมีพระพุทธรูปสำริดอยู่เป็นจำนวนมากประดิษฐานอยู่
ลักษณะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ปางห้ามสมุทร สมัยอยุธยา บนเพดานถ้ำในคูหาที่สอง
มีร่องรอยการสกัดผนังถ้ำเป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง และบริเวณเหนือพระเศียรพระประธานมีร่องรอยของการสกัดหินเป็นหลุมกลม
ๆ หลายหลุม
ป้อมยันทัพพม่า
อยู่ที่บ้านจวนบน ตำบลกุยบุรี อยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดกุยบุรี มีลักษณะก่อด้วยอิฐและหินก้อนใหญ่
ขนาดกว้าง ๑๖ เมตร สูงประมาณ ๕ เมตร สันนิษฐานว่าเป็นป้อมที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา
เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสกัดทัพของพม่า ที่เดินทางมาทางเมืองกุยบุรี ซึ่งอยู่ใกล้กับด่านสิงขรและเป็นช่องทางข้ามเทือกเขาต่อแดนไทยกับพม่า
เมืองกุยบุรีจึงเป็นเมืองที่อยู่ในเส้นทางเดินทัพในการสงครามระหว่างไทยกับพม่า
มาแต่สมัยอยุธยา
ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงนำทัพหัวเมืองปักษ์ใต้รวม
หกเมืองได้แก่ เมืองไชยา เมืองชุมพร เมืองคลองวาฬ เมืองกุยบุรี เมืองปราณบุรี
และเมืองเพชรบุรี โดยได้ชุมนุมทัพที่ตำบลบางสะพาน เพื่อเดินทัพผ่านด่านสิงขรไปปราบปรามเมืองตะนาวศรีที่เป็นกบฎ
ในปี พ.ศ.๒๓๐๒ พม่าใช้เส้นทางด่านสิงขรจะเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา โดยตีเมืองทวายแล้วจะยกเข้ามาตีเมืองมะริด
เมืองตะนาวศรี เมื่อฝ่ายไทยทราบข่าวจึงยกทัพออกไปตั้งรับที่ตำบลแก่งตุ่มแตก
และตั้งค่ายอีกแห่งหนึ่งที่ตำบลหว้าขาว
แต่ต้านทานพม่าไม่ได้ ทัพพม่าได้ยกเข้ามาทางเมืองกุยบุรี เมืองปราณบุรี เมืองชะอำ
เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี และเมืองสุพรรณบุรี แต่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาไม่สำเร็จ
ในปี พ.ศ.๒๓๐๗ พม่ายกทัพมาตีเมืองทวาย เมืองมะริด และเมืองตะนาวศรี เจ้าเมืองทวายหนีเข้ามาที่เมืองชุมพร
พม่าได้ตามมาตีเมืองชุมพร แล้วยกมาตีเมืองปะทิว เมืองกุยบุรี และเมืองปราณบุรี
แตกทั้งสามเมือง
เขาถ้ำม้าร้อง
ตั้งอยู่ที่บ้านม้าร้อง ตำบลพงศ์ประศาสน์ อำเภอบางสะพาน เขาถ้ำม้าร้อง เป็นที่พักคนเดินทางระหว่างภาคกลางกับภาคใต้ในสมัยโบราณ
ภายในเขาถ้ำม้าร้อง มีถ้ำสำคัญคือถ้ำบ่อน้ำทิพย์ ชาวบ้านเชื่อว่าน้ำในบ่อเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
มีน้ำขังอยู่ตลอดปีใช้ในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในสมัยก่อน ได้มีการอัญเชิญมาจากถ้ำนี้
ร่วมในพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ ๕ รอบ เมื่อปี
พ.ศ.๒๕๓๐
ถ้ำแกลบ
อยู่ที่บ้านดอนจวง ตำบลปากแพรก อำเภอบางสะพานน้อย เป็นถ้ำหินปูนเป็นสถานที่หลบซ่อนหนีภัยระหว่างสงครามไทยกับพม่า
ตั้งครั้วสมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
บ้านหนองตลาด
อยู่ในเขตตำบลกุยบุรี อำเภอกุยบุรี เดิมเป็นเนินดินมีพื้นที่ประมาณ ๓ ไร่เศษ
เป็นเนินดินที่อยู่กลางทุ่งนาและป่าละเมาะ สูงจากพื้นที่โดยรอยประมาณ ๒ เมตร
ทางทิศใต้ห่างออกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร มีคลองกุยที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำกุยบุรี
ทางด้านทิศตะวันออกของเนิน มีหนองน้ำขนาดใหญ่ชื่อ หนองตลาด
เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว พบเศษภาชนะดินเผาเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการตัดคลองผ่านเนินดินทางด้านทิศตะวันออก
ภาชนะที่พบส่วนใหญ่เป็นภาชนะดินเผา เนื้อไม่แกร่ง มีทั้งแบบผิวเรียบ และแบบที่มีการตกแต่งผิวด้วยลายเชือกทาบและลายขูดขีด
นอกจากนี้ยังพบหินขัดและเปลือกหอยนางรมจำนวนหนึ่ง
บริเวณห่างจากแหล่งโบราณคดีไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ ๖๐๐ เมตร
ที่บ้านหนองเตาปูน มีเนินดินทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๕๐ เมตร ชาวบ้านเรียกว่า
เนินมะค่า บนเนินดินพบเศษภาชนะดินเผาเนื้อไม่แกร่งจำนวนหนึ่ง
ทั้งสองแห่ง
ชิ้นส่วนภาชนะดินเผาที่พบจากแหล่งโบราณคดีดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นภาชนะที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
น่าจะเป็นแหล่งชุมชนในสมัยอยุธยา
บ้านปรือน้อย
ตั้งอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขาบ้านปรือน้อย ตำบลปากน้ำปราณบุรี อำเภอปราณบุรี
จากการปรับพื้นที่ได้พบโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น เศษภาชนะดินเผา ส่วนใหญ่เป็นเครื่องลายครามของจีน
อยู่ในสภาพสมบูรณ์เรียงซ้อนกันเป็นแถว เหมือนตั้งใจนำมาฝังไว้ นอกจากนั้นยังพบเศษเงินพดด้วง
เครื่องใช้โลหะจำพวกตะเกียง กระโถน เครื่องประดับสัตว์ประเภท ตาบโค ตาบม้า
กระดึง ฯลฯ สันนิษฐานว่าแหล่งโบราณคดีแห่งนี้น่าจะเป็นแหล่งโบราณสมัยอยุธยา
ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดเขาน้อย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนในแถบนี้ การที่ชุมชนแห่งนี้ร้างไปอาจมีสาเหตุจากสงคราม
เนื่องจากเมืองปราณบุรีอยู่ในเส้นทางเดินทัพ
บ้านหนองกา
อยู่ในเขตตำบลปราณบุรี อำเภอปราณบุรี มีลักษณะเป็นเนินดินขนาดเล็ก กว้างประมาณ
๓ เมตร สูงประมาณ ๑ เมตร พบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากอยู่ลึกลงไปประมาณ ๕๐ เซนติเมตร
โบราณวัตถุที่พบส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนภาชนะดินเผา ประเภทเครื่องเคลือบ เครื่องลายคราม
และเครื่องเคลือบสี นอกจากนี้ยังพบภาชนะที่ทำจากโลหะผสม เช่น ขันน้ำ เป็นต้น
จากโบราณวัตถุที่พบโดยเฉพาะภาชนะจากดินเผา สันนิษฐานว่าแหล่งโบราณคดีนี้เป็นแหล่งชุมชนในสมัยอยุธยา
และน่าจะเกี่ยวข้องกับการทำสงครามระหว่างไทยกับพม่า เพราะตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในเส้นทางเดินทัพของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้พื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านหนองก่า ยังมีชื่อสถานที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สงครามอยู่หลายแห่งเช่น
ช่องขุนด่าน หนองล้างเลือด บ้านหน้าป้อม
เป็นต้น โดยเฉพาะช่องเขาล้างเลือดนั้น เป็นช่องเขาที่ใช้เป็นเส้นทางผ่านของเกวียนมาแต่โบราณ
เมืองปราณหรือเมืองปราณบุรี
เป็นเมืองเก่า ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ปรากฎชื่อคู่กับเมืองกุยซึ่งเป็นหัวเมืองชั้นจัตวา
ในปี พ.ศ.๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า
ฯ ให้รวมเมืองปราณไปขึ้นกับแขวงเมืองเพชรบุรี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๙ ได้โปรดเกล้า
ฯ ให้รวมอำเภอเมือง ฯ อำเภอปราณบุรี และอำเภอกำเนิดนพคุณ ตั้งขึ้นเป็นเมืองใหม่พระราชทานนามว่า
เมืองปราณบุรี มีฐานะเป็นเมืองจัตวาขึ้นอยู่กับมณฑลราชบุรี มีที่ว่าการเมืองอยู่ที่เกาะหลัก
อำเภอประจวบคีรีขันธ์ เมืองปราณเดิมที่บริเวณปากน้ำปราณบุรี ให้มาขึ้นกับเมืองปราณบุรีใหม่
ในปี พ.ศ.๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองปราณบุรี
ที่เกาะหลักเป็นเมืองประจวบคีรีขันธ์
ในปี พ.ศ.๒๔๕๙ เมื่อทางราชการสร้างทางรถไฟสายใต้ แต่ไม่ได้เข้าไปถึงตำบลปากน้ำปราณบุรี
จึงได้ย้ายที่ทำการอำเภอไปอยู่บริเวณจุดที่ทางรถไฟผ่าน ซึ่งอยู่ในเขตตำบลบ้านเมืองเก่า
พ.ศ.๒๕๒๑ ย้ายที่ตั้งที่ว่าการอำเภอมาอยู่ที่ตำบลเขาน้อย ริมถนนเพชรเกษมที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
บ้านป่าร่อน
จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๑ พบว่าบ้านป่าร่อน ตำบลบางสะพาน อำเภอบางสะพาน
มีสภาพภูมิประเทศเป็นเนินดินสูงต่ำสลับกัน พบโบราณวัตถุจำนวนมากกระจายอยู่บนเนินดิน
มีพื้นที่ประมาณ ๒๐ ไร่ ส่วนใหญ่เป็นเศษภาชนะดินเผาทั้งแบบเนื้อแกร่ง และเนื้อไม่แกร่ง
และเครื่องเคลือบลายคราม มีทั้ง หม้อ โอ่ง ไห และถ้วยชามขนาดเล็ก นอกจากนั้นยังพบเศษหินกะเทาะจำนวนมาก
ซึ่งคงนำมาใช้ในกระบวนการทำเหมืองแร่ สันนิษฐานว่า เป็นแหล่งชุมชนซึ่งอาจมีกิจกรรมเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ทองคำ
บ้านหลักเมือง
อยู่ในเขตตำบลพงศ์ประศาสน์ อำเภอบางสะพาน พบหลักหินแท่งสี่เหลี่ยม กว้าง ๓๘
เซนติเมตร สูง ๗๒ เซนติเมตร หนา ๒๗ เซนติเมตร ชาวบ้านเล่าว่าหลักหินนี้ในสมัยโบราณใช้เป็นหลักผูกช้าง
และเชื่อว่าบริเวณนี้เป็นเมืองเก่า ซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่ท่ามะนาว บนฝั่งขวาของแม่น้ำรำพึง
ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ท่ากาหลอ บริเวณริมฝั่งขวาของลำน้ำบางสะพานใหญ่ ปัจจุบันคือ
บ้านหลักเมือง โบราณวัตถุที่พบได้แก่ ระฆังหิน ซึ่งตั้งอยู่ในศาลคู่กับหลักหิน
พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อไม่เแกร่ง จำนวนเล็กน้อย
ห่างออกไปจากหลักหินไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๒๐๐ เมตร พบเศษอิฐและถ้วยชามจำนวนหนึ่ง
จากโบราณวัตถุที่พบสันนิษฐานว่า บริเวณบ้านหลักเมือง เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชุมชนในสมัยอยุธยา
ด่านสิงขร
ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาตะนาวศรีตอนใต้ ในเขตตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง ฯ ด่านสิงขรมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า
ช่องสันพราน
หรือช่องสันพร้าว
มีลักษณะเป็นช่องทางลัดมาแต่สมัยโบราณ และเป็นช่องทางเดินทัพของไทยและพม่าหลายครั้ง
ปัจจุบันมีจุดตรวจด่านสิงขร เมื่อผ่านจุดตรวจเข้าไปประมาณ ๖ กิโลเมตร จะถึงหินกอง
ซึ่งเป็นจุดปักปันดินแดนระหว่างไทยกับพม่า โดยใช้กองหินเป็นเครื่องหมาย เล่าสืบต่อมาว่าสมัยโบราณผู้เดินทางผ่านเส้นทางนี้
มีธรรมเนียมนำก้อนหินมาวางไว้คนละก้อน แทนเครื่องบูชาเทวดาอารักษ์ เพื่อคุ้มครองให้การเดินทางปลอดภัย
ต่อมาได้มีผู้สร้างศาลขึ้นที่บริเวณนี้เรียกว่า ศาลเจ้าพ่อหินกอง เป็นศาลไม้เก่า
เดิมมีสองหลัง หันหลังชนกัน คือหันไปทางพม่ากับไทย ต่อมาได้มีผู้สร้างศาลในเขตไทยอีกหนึ่งหลัง
กล่าวกันว่าเดิมที่ตั้งด่านสิงขรอยู่ลึกเข้าไปในพรมเดนพม่าอีกมาก ยังปรากฎชื่อของหมู่บ้านด่านสิงขร
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตประเทศพม่า เหตุที่กำหนดให้บริเวณด่านสิงขร เข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทย
จนกลายเป็นจุดเขตแดนในปัจจุบัน เนื่องมาจากการทำสนธิสัญญากำหนดเขตแดนระหว่างไทยกับมณฑลตะนาวศรี
ลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๑๐
เมืองกุย หรือเมืองกุยบุรี
เป็นเมืองเก่าตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น จากกฎหมายตราสามดวง ซึ่งเป็นหลักฐานที่รวบรวมพระราชกำหนดเก่ามาแต่โบราณ
ระบุชื่อเมืองกุยอยู่ในกลุ่มหัวเมืองจัตวา
เมืองกุยเป็นเมืองหน้าด่านเป็นเส้นทางเดินทัพของพม่า ที่เข้ามาทางด่านสิงขร
จึงมีคำกล่าวขานกันมาว่า ชาวเมืองกุย เป็นนักรบที่เก่งกล้า และชำนาญการรบแบบกองโจร
นอกจากนี้เมืองกุยยังมีความสำคัญในการแจ้งข่าวการเดินทัพของพม่า ไปยังหัวเมืองต่าง
ๆ เพื่อให้เตรียมตัวรับศึกสงคราม
เมืองกุยมีความอุดมสมบูรณ์ มีชุมชนหนาแน่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
มีการย้ายเมืองบางนางรม มาตั้งอยู่ที่เมืองกุย ต่อมาเมื่อเมืองบางนางรมได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า
เมืองประจวบคีรีขันธ์ แต่ยังคงตั้งที่ว่าการเมืองอยู่ที่เมืองกุยบุรี จนถึงปี
พ.ศ.๒๔๔๑ จึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอเมือง ฯ ไปอยู่ที่เกาะหลักจนถึงปัจจุบัน
เวลานั้นเมืองกุยมีฐานะเป็นตำบลกุยบุรี ขึ้นกับอำเภอเมือง ฯ จนถึงปี พ.ศ.๒๕๐๓
จึงได้รับการยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอกุยบุรี และได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอกุยบุรี
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๖
|