บนถนนสายนี้นอกจากประสาทพิมายแล้วยังมีประสาทอื่นๆ อีกเช่น
ประสาทเมืองต่ำ,
ประสาทเขาพนมรุ้ง และยังมีลำน้ำเล็กๆ ขวางอยู่คือ
ลำน้ำเค็ม
เชื่อกันว่าเป็นลำน้ำที่ใช้ลำเลียงหินทรายจากที่ใกล้เคียงมาสร้างประสาท
ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร
สำหรับหินทรายที่ใช้ในการก่อสร้างปัจจุบันยังไม่ทราบว่ามาจากที่ไหนบ้าง
เนื่องจากแหล่งตัดหินทรายที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากประสาทหินพิมายถึง
70 กิโลเมตร ที่บ้านมอจะบก อ.สี่คิ้ว
นครราชสีมา ซึ่งจะเห็นได้ตลอด 2
ข้างทางของถนนมิตรภาพ
ทำให้เราไม่แน่ใจว่าหินที่สร้างประสาทจะมาจากที่นี่เพราะระยะทางไกลเกินไป
น่าจะนำไปสร้างประสาทหินเล็กๆ ใกล้แถบนั้นมากกว่า
ถัดจากลำน้ำเค็มจะมีท่าน้ำอยู่เรียกว่า ท่านางสระผม
ถัดจากท่าน้ำจะเป็นถนนตัดตรงขึ้นมาอีกจนถึงประตูเมืองทางทิศใต้
ถือว่าเป็นประตูเมืองที่สำคัญที่สุดอยู่ทางด้านหน้าเรียกว่า ประตูชัย
ซึ่งทำด้วยศิลาแลงทั้งหมด ประตูถูกสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
7
ซึ่งถ้าเราเห็นสิ่งก่อสร้างจากศิลาแลงให้ทำนายได้เลยว่า 90%
เป็นศิลปะบายน จากการขุดแต่งโดยกรมศิลปากรเมื่อกว่า
10 ปี จะพบประติมากรรมเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
, นางปรัชญาปรมิตา
ซึ่งเป็นศิลปะร่วมแบบบายน นอกจากนี้ยังพบพระพิมพ์แบบมหายาน
ในประสาทหินพิมาย จุดแรกที่สร้างคือ อาคารที่อยู่หน้าประสาท
เรียกว่า คลังเงิน ซึ่งเป็นคำที่ชาวบ้านใช้เรียกภายหลัง
เนื่องเพราะชาวบ้านได้พบเหรียญเงินสมัยอยุธยาที่นี่
ภายหลังจึงรู้ว่าที่นี่คือ พลับพลาเปลื้องเครื่อง
เหมือนกับโรงช้างเผือกที่ประสาทพนมรุ้ง
ที่คลังเงินพบทับหลังชิ้นหนึ่ง
จำหลักภาพที่ตีความได้ว่าเป็น พิธีอัศวเมศ ในอินเดียสมัยก่อน
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินขึ้นเสวยราชย์
ต้องมีการทดสอบเมืองขึ้นว่ายังจงรักภักดีอยู่หรือไม่โดยการปล่อยม้าไปยังเมืองเหล่านั้น
ถ้าเมืองไหนเปิดประตูรับม้าแสดงว่ายังอ่อนน้อมจงรักภักดีอยู่
แต่ถ้าปิดประตูแสดงว่าแข็งเมืองก็จะมีกองทัพตามม้าเข้าไปโจมตีเมืองนั้นทันที
ถ้าม้าไปครบทุกเมืองแล้วก็จะกลับมายังราชธานี แล้วทำการบูชายัญม้าเพื่อให้
ขึ้นสวรรค์ไป
จากคลังเงินก็มาถึงสะพานนาคซึ่งเป็นสะพานที่อยู่ด้านหน้า
มีแผนผังเป็นรูปกากบาทที่ขอบสะพานจะมีนาคเลื้อยอยู่โดยรอบ
นาคจะมีรัศมีเชื่อมเป็นแผ่นเดียวกันเป็นศิลปะแบบนครวัด เป็นนาค
7
เศียร
ที่สำคัญคือมีรัศมีเชื่อมต่อกันโดยรอบจะถือว่าเป็นศิลปะแบบนครวัด
สะพานนาคหมายถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์
สมัยโบราณหลังฝนหยุดตกก็จะเห็นรุ้งกินน้ำ
คนโบราณถือว่ารุ้งกินน้ำเป็นสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์
สะพานนาคนี้เปรียบเสมือนรุ้งนั่นเอง ก่อนข้ามสะพานมา จะมีสิงโตยืนอยู่
2 ตัว (สิงโตไม่ใช่สัตว์พื้นเมืองของเอเชียอาเนย์
ในป่าแถบนี้จะไม่พบสิงโตเลย
ดังนั้นถ้าเห็นสิงโตที่ไหนแสดงว่าเป็นการรับอิทธิพลมาจากภายนอก
ไม่อินเดียก็จีน)
การที่สิงโตปรากฏในเขมรก็เพราะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียแล้วมาปรับให้เป็นสิงโตแบบเขมร
ลักษณะของสิงโตที่เห็นมีวิวัฒนาการเจริญสูงสุดตรงกับสมัยพญานาคที่เป็นแบบนครวัด
สิงโตช่วงแรกจะนั่งบน
2
ขาหลังอย่างแท้จริง แต่สมัยนครวัด สิงโตจะยืนตรงบน
2 ขาหน้าและครึ่งนั่งครึ่งยืนบน 2
ขาหลัง ยืนลักษณะนั่งก็ไม่ใช่ ยืนก็ไม่เชิง เป็นนั่งแบบยงโย่ยงหยก
เป็นเอกลักษณ์ของสิงโตแบบนครวัดที่งามที่สุดของวัฒนธรรมเขมร
การนำรูปสิงโตมาตั้งไว้ทั้ง 2 ข้าง หมายถึงทวารบาล
(ผู้เฝ้า ผู้พิทักษ์รักษาประตูทางเข้า
หรือบันไดทางขึ้น)
เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ถัดจากสะพานนาคเป็นกำแพงล้อมประสาททำด้วยหินทรายทั้งหมด
ซึ่งเป็นหินทราย
2
สี คือ
-หินทรายสีเทา
-หินทรายสีชมพู
ช่างสมัยก่อนจะรู้ว่าหินทรายสีเทามีคุณสมบัติในการรับน้ำหนักดีกว่าสีชมพู
จึงใช้สีเทาในส่วนที่ต้องรับน้ำหนักมาก เช่น ทำเป็นเสา,
คาน, กรอบประตู-หน้าต่าง
แต่ถ้าเป็นผนัง, หลังคา จะใช้หินทรายสีชมพู
เมื่อมีการซ่อมประสาทใหม่ในปี 2507
นาย เบอนาร์ด ฟิลิป โกลิเยร์ ชาวฝรั่งเศส
ได้ทำการซ่อมประสาทเป็นครั้งแรก
นายโกลิเยร์ กล่าวว่า
การซ่อมประสาทหินสามารถซ่อมได้เฉพาะหินสีเทาเท่านั้น
เพราะว่าการซ่อมต้องรื้อประสาทออกทั้งหลังแล้วประกอบเข้าไปใหม่
แต่หินทรายสีชมพูถ้านำออกมาจะแตกเป็นผงไม่สามารถนำกลับ
เข้าไปใหม่ได้
จึงต้องใช้ปูนซีเมนต์เข้าไปฉาบแล้วระบายสีชมพูแทน
จึงไม่ได้มีการซ่อมตรงส่วนนี้ทั้งหมด อาคารที่โกลิเยร์ไม่แตะเลย คือ โคปุระ,
กำแพง,
ปรางค์หินแดง และระเบียงคด
ต่อมานักวิชาการชาวไทยบอกว่าสามารถซ่อมได้
เลยซ่อมโคปุระด้านหน้าโดยใช้หินต่างขนาดกันมาใส่แทน
ชื่อ พิมาย ได้ปรากฎบนศิลาจารึกที่พบที่ประสาทพิมาย
เดิมเรียกเมืองนี้ว่า วิมายะปุระ
(พระผู้ปราศจากมายา)
คือพระพุทธเจ้า
ดังนั้นประสาทหินนี้จึงสร้างขึ้นเพื่อถวายพระพุทธเจ้าพระนามว่า พระวิมายะ
ซึ่งมีจารึกที่กรอบ
ประตู เสนาบดีไตรโลกยวิชัยได้สถาปนารูป กมรเตงชุกตวิมาย
ขึ้นให้เป็นมหาศักราชหรือ
1108
ทำให้เห็นว่าประสาทหินพิมายต้องสร้างขึ้นก่อนแล้ว
ถ้าถามความเป็นมาของเมืองพิมายจากชาวบ้านแล้ว
ก็จะมีนิทานปรัมปราเป็นเรื่องรักสามเส้า เกี่ยวกับ ท้าวปาจิตกับนางอรพิม
ต่อมามีกษัตริย์ชราองค์หนึ่งนามว่า ท้าวพรหมทัต
ได้ยินกิตติศัพท์ของนางอรพิมว่างามมาก จึงลักพาตัวไปซ่อนไว้ตามเมืองต่างๆ
ในที่สุดก็มาซ่อนที่เมืองนี้
ท้าวปาจิตเที่ยวตามหาจนรู้ว่ามาอยู่ที่เมืองนี้แต่เข้าไปไม่ได้
ก็ตะโกนเรียกอยู่หน้าเมืองว่า
พี่มาแล้ว
พี่มาแล้ว
นานเข้าเพี้ยนจนเป็น พิมาย
พิมาย มาจากคำว่า วิมาย เป็นภาษาสันสกฤต พ กับ ว
เปลี่ยนแทนกันได้ อย่างเช่น วิมาย เป็น พิมาย,
วัชระ เป็น เพชระ ฉะนั้นคำว่าพิมายจึงมาจากศิลาจารึกที่สลักบอกไว้คือ
วิมายปุระ ,ปุระคือบุรี
หรือเมือง เมืองวิมายเพี้ยนเป็นพิมาย ซึ่งเป็นศาสนสถานที่อยู่กลางเมืองพิมาย
เรียกว่าประสาทหินพิมาย ถือได้ว่าเป็นประสาทหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มีอาณาเขตกว้างขวางที่สุด และตั้งอยู่กลางเมืองพิมาย
ซึ่งถือว่าเป็นเมืองวัฒนธรรมเขมรที่อยู่ในภาคอีสาน เมื่อเทียบความสวยแล้ว
ประสาทหินพนมรุ้งจะสวยกว่าเพราะสร้างด้วยหินทรายสีชมพูทั้งหลัง
และประสาทหินพนมรุ้งเป็นศาสนบรรพตที่งามที่สุดในประเทศไทย
แต่จะเป็นลักษณะเดียวกันคือเป็นศาสนสถาน แต่พนมรุ้งสร้างในศาสนาฮินดู
เพื่อถวายพระอิศวรหรือพระศิวะ แต่พิมายสร้างเป็นพุทธสถานถวายพระพุทธเจ้าที่มีชื่อว่า
วิมาย
ทางเดินที่เราเห็นยกสูงในปัจจุบันนี้
คาดว่าสมัยก่อนจะมีหลังคามุงอยู่ล้อมรอบ เพราะพบหลุมเสาอยู่
2
ข้างทางเดิน ถัดจากทางเดินคือระเบียงคด
เป็นทางยาวขวางกั้นอยู่ จะหักมุมฉากล้อมรอบอาคาร สร้างด้วยหินทรายทั้ง
2 ชนิด คือ สีเทาและสีชมพู
ช่างสมัยโบราณจะใช้หินทราบสีเทาสร้างเสา, คาน,
กรอบประตู-หน้าต่างและทับหลัง
ส่วนสีชมพูสร้างในส่วนของผนังหลังคา
ในสมัยก่อนการก่อหินหรืออิฐจะได้รับอิทธิพลจากอินเดียด้วยการเหลื่อมหินเข้าหากันตรงกลางทีละนิดจนบรรจบกันหมด
เรียกว่า การสันเลื่อม แต่จะเกิดข้อเสียอย่างหนึ่งคืออาคารจะค่อนข้างแคบ
และไม่สามารถขยายให้กว้างได้เนื่องจากมีหลังคาเป็นตัวบังคับอยู่
แต่ในสมัยก่อนต้องการที่จะให้จุคนได้มากๆ
ดังนั้นจึงต้องขยายจากแนวกว้างออกไปแทนจึงกลายเป็นระเบียงคด
ซึ่งเป็นวิวัฒนาการชั้นหลังของประสาทเขมร โดยจะมีศิลปะแบบคลาสิกเรียกว่าแบบบาปวน
นครวัด บายน จะมีระเบียงคดล้อมรอบเสมอ
ในประสาทหินพิมายจะมีประสาทสำคัญๆ
ที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจนอยู่
3
องค์ คือ
-
ประสาทหลังใหญ่ตรงกลาง เรียกว่า ประสาทประธาน
ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด ตัวประสาทมีวิมาน,
อันตราละมุขสัน และมณฑปเชื่อมต่อกันอยู่
ด้านซ้ายเรียกว่าปรางค์หินแดง ใช้หินทรายสีชมพูในการสร้าง
ส่วนขวามือเป็นปรางค์ศิลาแลงทั้งหลัง เรียกว่า ปรางค์พรหมทัต
อาคารทั้ง
2
หลังต่อกัน ส่วนสำคัญที่สุดคือ
วิมานด้านหลังจะมีห้องที่ไว้รูปเคารพด้านใน ที่พิมายเป็นประสาทที่สร้างถวายพระพุทธเจ้า
รูปเคารพจะเป็นพระพุทธรูป ซึ่งพระพุทธรูปในเขมรร้อยละ 90
เป็นปางนาคปรก
นั่งเหนือขนดนาคมีเศียรนาคแผ่พังพานอยู่เบื้องหลัง ที่พิมายนี้เป็นพระพุทธรูปจำลองทำด้วยปูนซีเมนต์
ส่วนองค์จริงย้ายไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์พิมาย
องค์ประกอบด้านนอกประสาทมีองค์ประกอบ
4
ส่วนที่สำคัญคือ
-
หน้าบัน (Pediment)
ที่กรอบหน้าบันเป็นลักษณะตัวพญานาค โค้งไปโค้งมาที่ปลายเป็นนาค 5
เศียร มีรัศมีเชื่อมติดต่อเป็นแผ่นเดียวกัน
เป็นศิลปะแบบนครวัด ตัวหน้าบันจะเป็นภาพเล่าเรื่องรูปศิวนาฏราช (พระอิศวรทรงฟ้อนรำ)
บางคนสงสัยว่าที่ประสาทแห่งนี้สร้างถวายพระพุทธศาสนาทำไมมีรูปพระอิศวร
แต่นักวิชาการบางคนมองว่า อาจเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรก็ได้
แต่ถ้าดูดีๆ ทางขวามือจะมีภาพฤาษีอยู่ตนหนึ่ง และมีโคหมอบอยู่
ซึ่งโคเป็นพาหนะของพรอิศวรนั่นเอง
จึงสรุปได้ว่าเป็นรูปพระศิวะทรงฟ้อนรำและเป็นภาพเล่าเรื่องจึงเป็นแบบนครวัด
-
ทับหลัง (lintel)
สี่เหลี่ยมผืนผ้าข้างล่างลงมาของปราสาทคือทับหลัง แต่ที่ประสาทนี้ไม่มีแล้ว
ภาพถ่ายล่าสุดที่มีอยู่คือสมัยรัชกาลที่ 4
ก็ไม่พบทับหลังแล้ว น่าจะหายไปก่อนหน้านี้
-
เสาประดับกรอบประตู (colonet)
เป็นศิลปะนครวัด ทรง 8
เหลี่ยม ปัจจุบันเหลือแต่ฐาน
-
เสาติดผนัง (pilaster)
เป็นศิลปะบาปวนยังคงสมบูรณ์ เป็นลายก้านต่อดอกแบ่งเป็น 3
ส่วน คือ ก้าน, กะเปาะ และดอกไม้
ที่ก้านมี 2 ขีด แบ่งก้านลายเป็น 3
ส่วน เป็นเอกลักษณ์แบบบาปวน
แต่บริเวณนี้มีศิลปะนครวัดเป็นส่วนใหญ่ และแบบบาปวนเป็นส่วนน้อย
เลยกลายเป็นศิลปะผสมนครวัดแบบบาปวน เป็นนครวัดตอนต้น
การเรียกศิลปะ
2
สมัยผสมกัน สมัยเก่า+สมัยใหม่
เวลาเรียกให้เรียกรูปแบบหลัง หรือรูปแบบล่าสุดเป็นหลัก
แล้วเติมคำว่าตอนต้นลงไป เพราะยังมีของเก่าผสมอยู่ ดังนั้นจึงเรียกว่า
Early ankor Wat style หรือ Transitional
Period (Bapuan
& Ankor Wat) ถ้าไม่มีแบบบาปวนผสมอยู่เลยก็เป็นแบบ
Typical Ankor Wat Style (แบบนครวัดแท้)
การตัดสินว่าประสาท หรืออาคารแหงนั้นสร้างขึ้นสำหรับศาสนาใด
ให้ดุจากภาพสลักชั้นในเป็นเกณฑ์
ปรางค์หินแดง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างภายหลังสมัยบายน
หินทรายที่นำมาสร้างประสาทเป็นหินทรายที่ไปรื้อมาจากอาคารที่สร้างขึ้นก่อนนำมาสร้างใหม่
สังเกตได้จากอิฐจะมีลายสลักอยู่
ซึ่งแต่ละก้อนจะไม่สามารถต่อกันเป็นรูปอะไรได้เลย
แต่เดิมที่นี่พบรูปนางปรัชญาปรมิตตา
ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความเฉลียวฉลาดในพุทธศาสนานิกายมหายาน
ส่วนปรางค์พรหมทัตเป็นประสาทที่สร้างด้วยศิลาแลง
ราวพุทธศตวรรษที่
18
ศิลปะแบบบายน ข้างในเป็นประติมากรรม ชาวบ้านเรียก ท้าวพรหมทัต
แต่ความจริงแล้วเป็นรูปเหมือนพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ประสาทหินพิมายถูกซ่อมแซมด้วยวิธีที่เรียกว่า อนาสติโลซิส
เป็นหลังแรกของประเทศไทย
คำศัพท์ที่น่ารู้