มรดกทางพระพุทธศาสนา
![](buriram36.jpg)
สถาปัตยกรรม
โบสถ์วัดถนนหัก
ตั้งอยู่ที่วัดถนนหัก ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความเรียบง่ายและสมถะ
สร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของชาวบ้าน สันนิษฐานว่าเดิมเป็นโบสน์ไม้ทั้งหลัง
ต่อมาได้ปรับปรุงเป็นก่ออิฐถือปูน วัสดุมุงหลังคาเดิมน่าจะเป็นกระเบื้องไม้
ช่อฟ้าใบระกา เพียงยกชั้นหลังคาให้ซ้อนกันขึ้นไป เพื่อให้ดูแตกต่างจากอาคารทั่วไป
เสาภายในเป็นเสาไม้เหลี่ยม แต่งบัวที่หัวเสา พื้นก่อด้วยอิฐพื้นเมือง ภายหลังจึงเทคอนกรีต
มีช่องหน้าต่างเล็ก ๆ อยู่ทุกช่องเสา เป็นหน้าต่างบานลูกฟัก มีการแกะสลักลวดลายที่อกเสา
ซึ่ลูกกรงไม้กลึงแบบลูกมะหยุด ด้านหน้าโบสถ์ซึ่งหันไปทางทิศตะวันออก มีบานประตูลูกฟักแบบโบราณ
มีการแกะสลักที่อกเลาเช่นเดียวกับหน้าต่าง มีร่องรอยปูนปั้นที่ซุ้มประตู
ภายในโบสถ์มีภาพเขียนระบายสีซึ่งยังดูสดใสอยู่มาก เป็นภาพพุทธประวัติ มีอยู่หลายตอน
เช่น ตอนผจญมาร เป็นต้น
![](buriram37.jpg)
กุฏิวัดถนนหัก
ตั้งอยู่ที่วัดถนนหัก ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๗ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นอาคารชั้นเดียว
ใต้ถุนสูง วางผังเป็นแบบเรือนหมู่ภาคกลาง ลักษณะของหลังคาเป็นแบบปั้นหยา โครงสร้างทั้งหมดเป็นไม้เนื้อแข็ง
มีซุ้มหลังคาคลุมบันได
ช่องลมใช้แผ่นไม้ฉลุติดตั้งเหนือหน้าต่าง ติดตั้งระหว่างช่วงเสาในระดับยอดฝา
และมีการติดระบายไม้ที่ป้านลมและเชิงชายหลังคาด้วย
![](buriram38.jpg)
โบสถ์วัดขุนกอง
ตั้งอยู่ที่วัดขุนกอง อำเภอนางรอง ลักษณะทางสถาปัตยกรรมคือ หลังคามีมุขประเจิด
มุงสังกะสี หน้าจั่วไม้กระดาน แนวนอนมีลายฉลุที่ปลายบ้านลม และระบายชายมุขประเจิด
อาคารโบสถ์ก่ออิฐถือปูน ใช้อิฐก้อนใหญ่ ฐานมีร่องรอบศิลาแลง ซึ่งอาจนำมาจากศาสนสถานอื่น
![](buriram39.jpg)
โบสถ์วัดโพธิ์ย้อย
ตั้งอยู่ที่วัดโพธิ์ย้อย ตำบลปะคำ อำเภอปะคำ มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมคือ เป็นโบสถ์ฝาไม้แนวตั้ง
เสาเหลี่ยมตีปะยึดตรึงด้วยตะปู พื้นคอนกรีตมีบันไดด้านข้างทั้งด้านหน้าและด้านหลังโบสถ์
โบสถ์หลังเก่ามีหลังคาซ้อนสี่ชั้น ช่อฟ้า มีลักษณะน้อมตัวลงทำนองอ่อนน้อมถ่อมตน
ประติมากรรมในทางพุทธศาสนา
พระพุทธรูปประทับยืน
เป็นพระพุทธรูปสำริด สูง ๑.๑๐ เมตร พระกรทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้า พระกรขวาอยู่ในท่าแสดงธรรม
พระเมาลีเป็นรูปกรวย เม็ดพระศกเป็นรูปก้นหอยเล็ก ๆ พระขนงโก่งต่อกันคล้ายปีกกา
พระอุณาโลมอยู่กลางพระนลาฏ ห่มจีวรคลุมบางแนบพระองค์ เป็นพระพุทธรูปสำริดสมัยทวาราวดี
ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในประเทศไทย
พระโพธิสัตว์ประทับยืนในท่าสมภังค์
เป็นพระโพธิสัตว์สำริดสูง ๑.๓๗ เมตร มีสี่กร พระกรหน้าทั้งสองข้างยื่นออกไปข้างหน้า
แสดงท่าคล้ายท่าแสดงธรรม พระกรซ้ายด้านหลังยกขึ้นในท่าคล้ายถือของ ส่วนพระกรขวาด้านหลังหักตรงข้อศอก
พระเกศาทำเป็นวงซ้อนกันสี่ชั้น ทรงภูษาสั้นบางแนบพระองค์ มีเข็มขัดเส้นเล็กแนบเอว
พระโพธิสัตว์ประทับยืนในท่าตริภังค์
เป็นพระโพธิสัตว์สำริดสูง ๔๗ เซนติเมตร ทรงชฎามงกุฎ ทรงภูษาสั้น มีเข็มขัดผ้าเส้นเล็ก
ๆ คาดทับอยู่เหนือพระโศณี และผูกชายเป็นโบที่ด้านหน้า ชายผ้าห้อยอยู่ทางด้านขวา
ริ้วชายผ้าทำเป็นเส้นบาง ๆ
ใบเสมาบ้านปะเคียบ
ทำด้วยหินทรายและศิลาแลง บางชิ้นแกะสลักเป็นรูปสถูปแบบหยาบ ๆ แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม
กลุ่มแรกอยู่ในบริเวณวัดทรงศิรินาวาส ปัจจุบันได้นำไปใช้ทำใบเสมาของอุโบสถที่สร้างขึ้นใหม่
กลุ่มที่สองชาวบ้านได้ขนมาจากที่ต่าง ๆ รวมกับของเดิมที่มีอยู่แล้วในบริเวณที่เรียกว่า
สวนศิลาจารึก กลุ่มที่สาม ทำด้วยศิลาแลงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ทางทิศตะวันตก
เข้าใจว่าคงอยู่ที่นี้มาแต่เดิม นอกจากนั้นยังมีการนำใบเสมาบางส่วนไปทำใบเสมาอุโบสถที่สร้างใหม่ของวัดสุพลศรัทธาราม
บ้านโนนสูง ตำบลบ้านแพ ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้เคียงกัน
ศาสนสถาน
![](buriram40.jpg)
วัดกลาง
เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี อยู่ในเขตตำบลในเมือง อำเภอเมือง ฯ ได้รับการสถาปนาเป็นวัดหลวง
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๓
วัดกลางสร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๓๐๐ เศษ ในปี พ.ศ.๒๓๑๙ เจ้าพระยาจักรีเคยนำทัพมาหยุดพักแรมใกล้
ๆ กับวัดกลางภายในวัดมีสระโบราณเรียกว่า สระสิงห์โต
เป็นสถานที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของขุนนางเจ้าเมืองในสมัยนั้น โดยนำน้ำในสระนี้ไปกระทำพิธีในพระอุโบสถหลังเก่า
เมื่อครั้งพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาห้ารอบในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐ จังหวัดบุรีรัมย์ได้นำน้ำจากสระนี้ ทูลเกล้า
ฯ ถวายเพื่อใช้ในพระราชพิธีนั้นด้วย
พระอุโบสถวัดกลางในปัจจุบันถือว่าใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะและรูปทรงคล้ายพระอุโบสถในภาคกลาง มีความสมส่วนงดงาม กุฏิแต่ละหลังมีมุขสามมุข
สองชั้น เป็นอาคารแบบทรงไทย รวมถึงอาคารเรียนพระปริยัติธรรมด้วย
วัดท่าสว่าง
ตั้งอยู่ที่บ้านท่าสว่าง ตำบลกระสัง อำเภอกระสัง ได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัดในพระพุทธศาสนา
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๙ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งหลัง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๖
เดิมชื่อ วัดกระสัง
ตั้งอยู่ที่บริเวณสระน้ำหนองกก ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วัดท่าสว่าง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ มีการก่อสร้างทางรถไฟต่อจากจังหวัดนครราชสีมาไปยังจังหวัดอุบล
ฯ ผ่านหมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้หมู่บ้านมีความเจริญขึ้น ทางราชการจึงยกฐานะหมู่บ้านกระสังเป็นตำบลกระสัง
และต่อมาได้ยกฐานะตำบลกระสังเป็นอำเภอกระสัง
ในปี พ.ศ.๒๔๙๒ ได้เริ่มขุดสระน้ำภายในวัดโดยใช้กำลังเงินของวัดเองและใช้แรงงานจากชาวบ้านซึ่งเข้ามาร่วมขุดโดย
ได้รับค่าจ้างเพียงเล็กน้อย จนได้สระน้ำขนาดใหญ่ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน การพัฒนาวัดด้วยการสร้างศาลาการเปรียญ
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้าน และได้ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมทั้งฝ่ายนักธรรมและฝ่ายเปรียญธรรม
การพัฒนาวัดได้กระทำมาอย่างต่อเนื่องจากท่านเจ้าอาวาสหลายท่านจนวัดมีสิ่งต่าง
ๆ ครบถ้วนสำหรับวัดและสำหรับเอื้ออำนวยต่อสังคม สามารถตั้งสำนักศาสนศึกษา
จัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม แผนกบาลี และแผนสามัญศึกษา
วัดโพธิย้อย
ตั้งอยู่ที่บ้านปะคำ ตำบลปะคำ อำเภอปะคำ เป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดบุรีรัมย์แห่งหนึ่ง
เดิมวัดโพธิย้อยเป็น แหล่งชุมชนพุทธศาสนามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๕
ปัจจุบันยังเป็นแหล่งค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดบุรีรัมย์ มีโบสถ์ที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่แปลกออกไป
จากที่เคยพบเห็นโดยทั่วไป
![](buriram41.jpg)
วัดเขาอังคาร
ตั้งอยู่บนเขาอังคาร ในเขตอำเภอติดต่อกัน คืออำเภอนางรอง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
และอำเภอละหานทราย ที่ตั้งวัดมีร่องรอยโบราณสถานเก่าแก่ พบใบเสมาสมัยทวารวดีที่สำคัญหลายชิ้น
วัดเขาอังคารเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงาม มีโบสถ์ ศาลาและอาคารต่าง ๆ งดงามแปลกตา
ภายในโบสถ์มีจิตรกรรมฝาผนังแสดงเรื่องในชาดกเป็นภาษาอังกฤษ
ใบเสมาเขาอังคาร
เป็นใบเสมาที่แกะด้วยหินทราย มีจำนวน ๑๕ แผ่น มีขนาดสูง ๑.๐๘ - ๒.๑๐ เมตร
ฐานกว้าง ๒๓ - ๙๐ เซนติเมตร หนา ๑๕ - ๓๒ เซนติเมตร แผ่นที่สมบูรณ์แกะสลักเป็นภาพทิพยบุคคลในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
ประทับยืนในท่าตริภังค์บนแท่นสี่เหลี่ยม ด้านบนเป็นฉัตร สองข้างเป็นพัดโบก
ทรงภูษาสั้น มีชายพกด้านขวา เป็นลักษณะศิลปกรรมแบบทวาราวดีท้องถิ่นอีสาน
ส่วนแผ่นอื่น ๆ มีการแกะสลักเป็นสองแบบ แบบหนึ่งเป็นรูปทิพยบุคคล มีการสร้างต่อเติมทำให้ลักษณะเปลี่ยนไปหลายประการ
แต่ยังคงเค้าเดิมให้เห็นว่าส่วนใหญ่ประทับยืนอยู่เหนือดอกบัว ทรงภูษาสั้น
มีชายพกด้านขวา อีกแบบหนึ่งสลักเป็นรูปสถูป
และดอกบัวธรรมจักรตามแบบศิลปสมัยทวารวดี มีบางแบบที่ด้านหนึ่งแกะสลักเป็นรูปสถูปดอกบัว
อีกด้านหนึ่งเป็นรูปทิพยบุคคล สันนิษฐานว่า ใบเสมารูปสถูปดอกบัวธรรมจักรมีมาแต่เดิม
ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเจริญขึ้นในดินแดนแถบนี้ จึงได้มีการนำใบเสมาเก่ามาสลักเป็นรูปทิพยบุคคลเพิ่มเติม
![](buriram42.jpg)
วัดหงษ์
เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ที่วัดศีรษะแรด
ตำบลมะเฟือง อำเภอพุทไธสง มีตำนานแสดงประวัติพระเจ้าใหญ่ วัดหงษ์ และบ้านศีรษะแรด
ซึ่งได้พบในวาระเดียวกัน
พระเจ้าใหญ่เป็นพระพุทธรูปสำริดปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ๑.๖๐ เมตร สูงจากฐาน
๒.๐๐ เมตร มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐ ช่างที่สร้างอาจเป็นช่างสกุลลาว
โดยดูจากพระเกศที่มีลักษณะเฉพาะในภาคอีสานและในประเทศลาวเท่านั้น ในวันเพ็ญเดือนสาม
จะมีเทศกาลนมัสการพระเจ้าใหญ่เป็นประจำทุกปี
พระเจ้าใหญ่วัดหงษ์
ประดิษฐานอยู่ที่วัดหงษ์ บ้านศีรษะแรด ตำบลมะเฟือง
อำเภอพุทไธสง มีตำนานพื้นเมืองแสดงประวัติของ พระเจ้าใหญ่ และวัดหงษ์
รวมทั้งบ้านศีรษะแรดซึ่งได้พบในวาระเดียวกัน
พระเจ้าใหญ่เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๑.๓๗ เมตร สูง
๒.๒๐ เมตร สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างพร้อมกับเมืองพุทไธสง คือเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๒๐๐
ช่างที่สร้างอาจเป็นช่างสกุลลาว โดยดูจากพระเกศที่มีลักษณะเฉพาะในภาคอีสาน
และในประเทศลาวเท่านั้น
|