ขนบธรรมเนียมประเพณี
วัฒนธรรมการแต่งกาย สตรีชาวจันทบุรีในอดีต
นิยมนุ่งผ้าโจงกระเบน ห่มผ้าแถบ บางทีก็ห่มแบบตะเบงมาร เด็กก็นุ่งผ้าโจงกระเบนเช่นกัน
และนิยมสวมเสื้อกันมาก
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระยะทางเสด็จประพาสจันทบุรี เมื่อปี
พ.ศ.๒๔๑๙ ทรงกล่าวถึงการแต่งกายของผู้หญิงที่อยู่บริเวณบ้านสระบาป มีความตอนหนึ่งว่า
"ผู้หญิงที่นี่เห็นสวมเสื้อมากเหมือนพวกลาวทรงดำ ใช้ผ้าสีน้ำเงินตัดเป็นเสื้อกระบอกดุมจีนบ้าง
เสื้อเอวบ้าง"
ผ้าที่ใช้เป็นผ้าพื้นที่ทอในเมืองจันทบุรี ดังที่ทรงกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
"ผ้าพื้นนั้นออกจากเมืองปีหนึ่งเพียง ๒๐๐ ผืน ๓๐๐ ผืน ราคาผืนละกึ่งตำลึง
แต่ใช้ในพื้นเมืองมากด้วย ราษฎรในพื้นเมืองนุ่งผ้าพื้นทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครนุ่งผ้าลายเลย"
การแต่งการมีการพัฒนามาเป็นนุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อคอกระเช้า ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นนุ่งผ้าซิน
สวมเสื้อคอกระเช้า เวลาอยู่ที่บ้าน
การแต่งกายของผู้ชายเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ชาวไร่จะนุ่งผ้าขาวม้า ผ้าโสร่ง กางเกงขาก๊วย
ไม่นิยมสวมเสื้อ นิยมใช้ผ้าขาวม้าคาดพุง พาดบ่า คล้องคอ ตามแต่ชอบ เมื่อออกงานนิยมสวมเสื้อคอกลม
และยังคงใช้ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือพาดบ่า ปัจจุบันเปลี่ยนมานุ่งกางเกงขาสั้นและกางเกงขายาวตามสมัยนิยม
ประเพณีของท้องถิ่น
พอประมวลได้ดังนี้
ประเพณีตักบาตรเทโว
ของชาวตำบลบางกะจะ อำเภอเมือง ฯ เริ่มด้วยการนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มารับบิณฑบาต
โดยเดินจากวัดโบสถ์บางจะกะถึงวัดพลับ เนื่องจากการเดินจากวัดโบสถ์มีพื้นที่ลาดเอียงไปจนถึงวัดพลับ
โดยสมมติว่าพระพุทธเจ้า
เสด็จลงมาจากสวรรค์
มีการอัญเชิญพระพุทธรูปหนึ่งองค์ประดิษฐานอยู่บนล้อเลื่อนมีบุษบกและมีบาตรตั้งอยู่หน้าพระพุทธรูป
มีคนลากรถบุษบกนำหน้า พระสงฆ์เดินตาม ชาวบ้านจะเตรียมข้าวสาร อาหารแห้ง ยืนเรียงรายทั้งสองฟากเส้นทางเพื่อรอใส่บาตร
บางปีมีชาวบ้านแต่งตัวเป็นพระอินทร์เดินนำขบวน ตามด้วยนางฟ้าโปรยข้าวตอกดอกไม้แก่ผู้มาตักบาตร
ตามท้ายด้วยขบวนกลองยาว เสร็จการตักบาตร แล้วบางคนก็จะจำศีลที่วัด และพูดคุยกับพระสงฆ์
ประเพณีทอดกฐินตก
ของชาวบ้านสามฝ่าน อำเภอท่าใหม่ ช่วงเวลาที่ทำการทอดกฐินคือเริ่มวันขึ้นสิบห้าค่ำ
เดือนสิบเอ็ด ถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนสิบสอง แต่ถ้าวัดไม่มีผู้มาจองกฐินในปีนั้นก็จะถือว่ากฐินตก
ชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้วัด จะประชุมกำหนดนัดหมายที่จะจัดกฐินสามัคคีขึ้น
พิธีการจะมีการสมโภชกฐิน นิมนต์พระสงฆ์ให้สวดมงคลคาถาในเวลาเย็น ตอนกลางคืนจะมีมหรสพ
รุ่งเช้ามีการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ เสร็จแล้วจะนำเครื่องกฐินไปทำพิธีสงฆ์ในโบสถ์
เสร็จพิธีการทอดกฐินแล้วมีการโปรยทานสำหรับเด็ก ๆ และผู้ยากจนที่บริเวณโบสถ์หรือที่ลานวัด
เป็นอันเสร็จพิธี
ประเพณีนมัสการรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูด
หรือพระบาทพลวง เป็นเทศกาลเดือนสาม ที่ปฏิบัติกันมาช้านาน แต่เดิม เริ่มขึ้นไปนมัสการในวันขึ้นหนึ่งค่ำถึงขึ้นสิบห้าค่ำ
เดือนสาม แต่มาระยะหลัง ได้เปิดเวลาให้นมัสการมากขึ้น ก็ได้เปิดนมัสการนานขึ้นเป็น
๓๐ วัน ๔๕ วัน และตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๘ เป็นต้นมาได้เปิดให้นมัสการ ๖๐
วัน โดยเริ่มนมัสการตั้งแต่เดือนสามเช่นเดิม
ประเพณีชักพระบาท
ของชาวบ้านตะปอม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ ได้มีการผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตรพระอุโบสถหลังเก่า
ซึ่งสร้างในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และในการนี้ได้นำเอาพระพุทธบาทจำลองมาจากวัดช้างไห้
จังหวัดปัตตานี โดยทางเรือ เมื่อมาถึงอำเภอแหลมสิงห์ ได้จัดพิธีฉลอง จากนั้นได้นำมาประดิษฐานไว้ที่วัดตะปอนน้อย
พระพุทธบาทจำลองทำด้วยผ้ากว้างประมาณห้าศอก ยาวยี่สิบเอ็ดศอก ประกอบด้วยรอยพระพุทธบาทสี่รอยของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์
ซ้อนอยู่บนผืนผ้าชิ้นเดียวกัน
คนสมัยก่อนเชื่อว่า รอยพระพุทธบาทสามารถขจัดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ ดังนั้น
ปีใดมีโรคระบาดื ชาวบ้านจะนำพระพุทธบาทจำลองออกแห่ โดยจะม้วนผ้รอบพระพุทธบาทให้กลมแล้วเอาผ้าห่อข้างนอกอีกหลายชั้น
แล้วนำไปใส่เกวียน ประดับเกวียนให้สวยงาม มีคนตีกลองอยู่บนเกวียนด้วย แล้วแห่ไปตามด้านต่าง
ๆ ถ้าบ้านใดมีผู้เจ็บป่วยมากก็จะอัญเชิญรอยพระพุทธบาทจำลองขึ้นไปบนบ้าน
โดยมีพระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปทั่ว เพื่อให้โรคภัยไข้เจ็บหายหรือเบาบางลง
ต่อมาได้เปลี่ยนจากแห่เป็นชักเย่อแทน โดยถือเอาวันหลังวันสงกรานต์ ประมาณวันที่
๑๕ เมษายนของทุกปี ในการชักเย่อนี้จะให้ชาย - หญิง อยู่คนละข้าง โดยผูกเชือกกับเกวียนขณะที่ทั้งสองฝ่ายออกแรงดึงเชือก
คนตีกลองที่อยู่บนเกวียน จะตีกลองรัวจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ฝ่ายชนะถือเป็นสิริมงคล
ฝ่ายแพ้ก็จะขอแก้ลำใหม่ หลังวันสงกรานต์ ชาวบ้านจะนำรอยพระพุทธบาทไปบำเพ็ญตามทางแยกเข้าหมู่บ้านต่าง
ๆ แห่งละ ๑ - ๒ วัน นับแต่บ้านตะปอนน้อยไปจนถึงบ้านหนองเสม็ด เพื่อเป็นการฉลองรอยพระพุทธบาท
หลังเจริญพระพุทธมนต์ ชาวบ้านจะนำเกวียนที่มีรอยพระพุทธบาทประดิษฐานอยู่นั้นมาชักเย่อ
รุ่งเช้าจะมีการทำบุญ
ตักบาตร
ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ เป็นอันเสร็จพิธี
นับจากเวลาที่นำรอยพระพุทธบาทไปทำพิธีตามสถานที่ต่าง ๆ ในตำบลตะปอน ใช้เวลาหนึ่งเดือน
ประเพณีทำบุญส่งทุ่ง
ของบ้านตะปอนน้อย อำเภอขลุง ทำหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ประมาณกลางเดือนมกราคม
เพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ประเพณีนี้มีที่มาจากพระพุทธศาสนาคือ ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทำบุญของพระโกญฑัญญะกับสุภัททะปริพาชก
เกี่ยวกับเรื่องการทำบุญคือ ทุกขั้นตอนในการทำนาตั้งแต่ไถนา หว่านข้าว ถอนกล้า
ดำนา ข้าวตั้งท้องและเก็บเกี่ยวเสร็จ โกญฑัญญะจะทำบุญทุกครั้ง ผลบุญของท่านทำให้ท่าน
ได้เป็นสาวกเบื้องต้นของพระพุทธเจ้า ส่วนสุภัททะเมื่อทำนาเสร็จขั้นตอนแล้วจึงทำบุญเพียงครั้งเดียว
ทำให้ท่านได้สำเร็จพระอรหันต์เป็นองค์สุดท้าย ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน
ทำให้เห็นการเปรียบเทียบในการทำบุญได้ชัดขึ้น ดังนั้นชาวพุทธส่วนใหญ่เมื่อจะทำสิ่งใดจะต้องทำบุญก่อนเสมอ
ในการทำบุญส่งทุ่งของชาวบ้านตาปอนน้อย จะทำหลังจากทำนาเสร็จแล้วเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้มีพระคุณ
โดยจะมาพร้อมกันที่ศาลากลางทุ่งของหมู่บ้าน ตอนเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์เย็น
หลังจากนั้นจะมีการเล่นสนุกสนานรื่นเริงกัน
ประเพณีทำบุญกลางทุ่ง
ของบ้านพลูยาง ตำบลสีพยา อำเภอท่าใหม่ กระทำในเดือนมกราคม มีการนิมนต์พระสงฆ์เย็นที่กลางทุ่ง
ในเย็นวันนั้นจะมีการเผาข้าวหลาม ทำขนมจีน และข้าวหมาก รุ่งขึ้นเช้าจะนำอาหารที่ทำเตรียมไว้นั้นมาถวายพระสงฆ์
และนำมาถวายอีกครั้งตอนเพล เป็นอันเสร็จพิธี
ประเพณีทอดผ้าป่าโจร
ของบ้านสามผาน อำเภอท่าใหม่ โดยจัดทอดผ้าป่าโจรบริเวณทางสามแพร่ง หรือบริเวณที่พระสงฆ์ออกบิณฑบาต
ทำได้ไม่จำกัดเวลาทั้งในพรรษาและนอกพรรษา เพื่อถวายเครื่องใช้สำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่ขาดผ้าบังสุกุล
ผู้จัดทอดผ้าป่าโจรต้องเตรียมผ้าขาวซึ่งยาวเป็นหลาสีย้อมกรัก เข็ม ด้าย พร้อมทั้งบริวารผ้าป่านั้น
ในการจัดต้องทำกันภายในครอบครัว และญาติพี่น้องที่นับถือเท่านั้น เวลาที่ใช้ทอดผ้าป่าโจรจะทำในเวลาใกล้รุ่ง
คือก่อนพระสงฆ์ ออกบิณฑบาต โดยนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จัดเตรียมนั้นไปวางไว้ที่ทางสามแพร่ง
หรือตามบริเวณที่พระสงฆ์ออกบิณฑบาต และจุดธูปปักเป็นระยะตั้งแต่กองผ้าป่าออกไปยังบริเวณที่พระสงฆ์ออกบิณฑบาตจะมองเห็น
และทราบที่ตั้งของกองผ้าป่า เมื่อพระสงฆ์รูปใดพบเห็น ท่านจะไปยังที่วางกองผ้าป่า
พระสงฆ์รูปใดพบกองผ้าป่า ผ้าป้านั้นก็จะเป็นสิทธิของพระสงฆ์รูปนั้นทันที
ภูมิปัญญาชาวบ้านและเทคโนโลยีท้องถิ่น
งานทอและงานจักสาน
งานทอมีทั้งงานทอเสื่อ และงานทอผ้าพื้นเมือง ส่วนงานจักรสานนั้นเครื่องจักรสานที่ยังคงอยูในความนิยมคือ
เครื่องจักรสานจากต้นคล้า และจากไม้ไผ่
เสื่อจันทบูรหรือเสื่อแดง
ชาวจันทบุรีรู้จักการทอเสื่อมากว่าร้อยปีแล้ว ผู้ริเริ่มกลุ่มแรกคือ กลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิค
ที่อาศัยอยู่บริเวณวัดคาธอลิค หรือที่เรียกว่า หมู่บ้านญวน ซึ่งในปี พ.ศ.๒๒๕๔
บาทหลวงเฮิตได้มาดูแลพวกคาธอลิคได้นำพวกญวนที่มีฝีมือในการทอเสื่อมาด้วย
ในสมัยนั้น การทอเสื่อต้องซื้อกก และปอจากชาวบ้านตำบลต่าง ๆ มาจัก และลอก
กกที่ใช้ทอเสื่อคือ กกกลมมีลำต้นกลวง ผิวมันและเหนียว เมื่อทอเป็นเสื่อจะให้สมัผัสที่นุ่มนวลขัดถูได้มันงดงาม
เป็นที่นิยม
เมื่อนำกกมาจักเป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วนำมาผึ่งตากให้แห้งสนิทแล้ว จึงนำไปย้อมสี
เดิมใช้สีธรรมชาติจากเปลือกไม้หรือหัวพืช มีสามสีคือ สีแดงได้จากเปลือกยาง
สีดำได้จากผลมะเกลือ และจากการนำกกไปหมักโคลน สีเหลืองได้จากหัวขมิ้นโขลกเอาน้ำมาต้มย้อม
ต่อมาจึงนำสีวิทยาศาสตร์มาใช้ส่วนมากเป็นสีเยอรมัน ชนิดที่ใช้ย้อมแพรและไหม
หลังจากเส้นกกย้อมสีแห้งแล้วจึงเริ่มขบวนการทอสื่อ เอกลักษณ์ของเสื่อจันทบูรต้องมีสีดำ
สีแดง และใช้ปอเป็นเส้นยืน จะทนทานกว่าเส้นยืนที่เป็นพลาสติก
การทอเสื่อจันทบูรซบเซาไประยะหนึ่ง เนื่องจากการขุดพลอย และเจียรไนพลอยเฟื่องฟูขึ้น
จูงใจให้ชาวหมู่บ้านญวนหันมาค้าพลอย และเจียรไนพลอย
การทอเสื่อจันทบูรเริ่มรุ่งเรืองอีกครั้ง เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๓ โดยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระองค์ได้ทรงส่งเสริมให้ข้าราชการบริพารในวังสวนบ้านแก้ว ทอเสื่อกกแล้วนำไปประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้แบบต่าง
ๆ เช่น กระเป๋าถือ เข็มขัด แผ่นรองจาน ฯลฯ ผู้ทอสื่อได้เห็นรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่แปลกตา
ก็เกิดความคิดที่จะประดิษฐ์ของใช้ใหม่ ๆ ขึ้น เช่นเสื่อม้วน เสื่อเม้มริม
เป็นต้น การทอเสื่อจึงเริ่มฟื้นฟูอีกครั้ง หมู่บ้านที่ปลูกกกและทอเสื่อได้เอง
เช่น บ้านขอม บ้านลาว บ้านบางสระแก้ว บ้านเสม็ดงาม ฯลฯ ได้เริ่มทอเสื่อกันอย่างกว้างขวาง
รวมไปถึงหมู่บ้านตำบลบางกะไชย บ้านตะกาดเง้า บ้านหนองคัน พร้อมทั้งมีการขยายพื้นที่ปลูกกกออกไปอีก
กลุ่มเกษตรทอเสื่อเริ่มต้น เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ มีการแบ่งกลุ่มปลูก กลุ่มทำเส้นกก
กลุ่มทอ กลุ่มเย็บ ในระยะแรก ๆ มีการเย็บเป็นกระเป๋า จานรองแก้ว เสื่อพับโดยอาศัยรูปแบบจากวังสวนแก้ว
เริ่มขยายงาน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑ - ๒๕๒๔ การแปรรูปจากเสื่อกกมาเป็นเสื่อบุฟองน้ำ
เริ่มเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ มีการผลิตเพื่อขายต่างประเทศด้วย เช่น ญี่ปุ่น
ส่วนตลาดต่างประเทศแถบเอเชียและอเมริกา จะเป็นรูปของกล่องใส่เครื่องประดับ
ของที่ระลึก ซึ่งใช้สีดำแดงเป็นส่วนใหญ่
การเตรียมกก เมื่อกกตามธรรมชาติไม่เพียงพอ จึงได้มีการทำนากก
ซึ่งจะทำในที่ราบลุ่ม น้ำท่วมถึงเริ่มด้วยการไถคราด เก็บวัชพืชต่าง ๆ ออกเช่นเดียวกับการทำนา
เมื่อเตรียมดินเสร็จก็หาหัวกกใหม่ มีลักษณะเป็นแอ่งคล้ายหัวข่าที่มีหน่ออ่อนของกกโผล่ขึ้นมา
และนำไปปลูกเช่นเดียวกันกับการทำนาข้าว
เมื่อกกอายุได้ ๑ - ๒ เดือน ต้องทำการกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ยบำรุงต้น เดิมใช้ขี้น้ำปลาที่เป็นกากของปลาจากการทำน้ำปลา
ปัจจุบันใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์คือ ปุ๋ยยูเรีย เมื่อกกอายุได้ ๔ - ๕ เดือน จึงสามารถตัดมาใช้ได้
สีที่ย้อมยากที่สุดคือสีขาว ชาวจันทบุรีนิยมใช้สีขาวของกกที่แห้งเองตามธรรมชาติ
(สีออกเหลืองนวลเกือบขาว) โดยคัดเลือกจากกกที่มีลำต้นค่อนข้างอ่อน ผิวกกจึงจะมีสีเสมอกัน
จากนั้นนำไปต้มน้ำเดือดผสมเกลือเล็กน้อย เพื่อคงสภาพสี และป้องกันมิให้เกิดเชื้อรา
กกที่ตัดมาจะนำมาผ่าเป็นซีกเล็ก ๆ ๓ - ๔ ซีกต่อต้น เรียกว่า การจักกก
นำกกที่จักแล้วมามัดแล้วนำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท ก่อนจะนำไปย้อมสีให้นำกกที่แห้งสนิทนี้ไปแช่น้ำให้นิ่มเสียก่อน
นอกจากกกแล้ว ยังมี เอ็นที่ใช้ร้อยฟืมเพื่อใช้ในการทอเสื่อด้วย
เอ็นที่ใช้นำมาจากต้นปอกะเจา ซึ่งปลูกได้ง่ายโดยใช้เมล็ดปลูกหว่านบนดินที่เตรียมไว้
ต้องหว่านให้แน่นเพื่อว่าเมื่อปอกะเจาโตขึ้นจะมีลำต้นตรงและสูง ไม่มีกิ่ง
เวลาลอกเปลือกจากลำต้นจะทำได้โดยสะดวก ระยะเวลาที่ปลูกปอประมาณเดือนพฤษภาคม
ใช้เวลา ๔ - ๖ เดือน จึงนำมาใช้ทำเป็นเอ็นได้
วิธีทำเอ็นให้ลอกเปลือกปอออกมาขูดให้เหลือแต่ใยที่เหนียวมาก แล้วนำไปตากให้แห้งจากนั้นเอาไปย้อมสีเป็นสีอ่อน
เมื่อนำไปทอกับกก สีจะได้กลมกลืนกัน แล้วนำเส้นปอไปฉีกให้เป็นเส้นฝอย โดยดึงผ่านตะปูหรือเหล็กแหลม
แล้วนำไปปั่นเป็นเส้นเอ็นที่มีความยาวติดต่อกันพันใส่แกนไม้ไว้ สำหรับใช้ทอเสื่อต่อไป
วิธีทอเสื่อ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทอเสื่อได้แก่
กก ที่ย้อมสีแล้ว เอ็น ฟืม ไม้ทุ่งกก และม้ารองนั่ง
ก่อนทอเสื่อต้องนำเอ็นมาขึงไว้กับหูก (ไม้สองอันพืมอยู่ตรงกลาง) โดยร้อยเอ็นผ่านรูฟืมจนเต็มฟืม
การทอเสื่อส่วนมากจะใช้คนทอสองคน ให้คนหนึ่งเป็นคนพุ่งกกเข้าไประหว่างฟืมกับเอ็น
อีกคนจะเป็นคนเลื่อนฟืมมากระทบกับเส้นกก ให้เข้าชิดติดเป็นผืนเดียวกัน
เครื่องจักสานจากต้นคล้า
ต้นคล้ามีลำต้นกลม มักขึ้นเป็นกอ เปลือกต้นคล้าที่แก่จะเหนียว เมื่อนำมาจักผึ่งแดดให้แห้ง
แล้วนำมาสานเป็นเสื่อเรียกว่า เสื่อคล้า เสื่อคล้าจะแข็งแรง ทนทาน แต่ไม่สะดวกในการเคลื่อยย้ายจึงนิยมทำใช้ในครัวเรือนเท่านั้น
งานเครื่องปั้นดินเผา
จังหวัดจันทบุรีมีอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา ในช่วงประมาณปี พ.ศ.๒๔๖๕ -
๒๔๗๐ โดยชาวจีนที่มีความรู้ทางด้านได้มาตั้งหลักแหล่ง และประกอบอาชีพเครื่องปั้นดินเผา
แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มทำกระเบื้อง และกลุ่มภาชนะดินเผา
งานเครื่องปั้นดินเผามีการพัฒนารูปแบบเทคโนโลยี เกิดผลิตภัณฑ์หลากหลายเป็นที่นิยม
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เครื่องประดับอัญมณี จันทบุรีมีชื่อเสียงในการผลิตดครื่องประดับอัญมณีที่งดงามหลากหลายรูปแบบ
มีความประณีตเป็นที่นิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันมีการผลิตเครื่องประดับอัญมณีทั้งในรูปแบบเดิมและแบบสมัยใหม่
เครื่องประดับในรูปแบบเดิมที่ยังอยู่ในความนิยมคือ การทำแหวนกล
แหวนปู แหวนปลา
เป็นของดีเมืองจันท์ เป็นที่รู้จักและแสวงหากันมากอย่างหนึ่ง ตัวเรือนเป็นรูปปูทะเล
พญานาค กุ้ง ท้องวงเป็นวงเรียงกันอยู่เมื่อถอดก้านสี่วง จะคล้องกันอยู่ไม่แยกจากกัน
และเมื่อประกอบกันอย่างถูกวิธี แหวนจะมีสี่ด้านเรียงชิดกัน ผู้เป็นเจ้าของต้องรู้วิธีประกอบว่า
ต้องจับด้านใดสอดก้านใด ดังนั้นเจ้าของแหวนบางท่านจึงมักให้ช่างทองพันก้านทั้งสี่มิให้หลุดจากรูปเดิม
แหวนกล นอกจากจะเป็นเครื่องประดับที่สวยงามและแปลกแล้ว ยังถือว่าเป็นสัญญลักษณ์ของเมืองจันท์
และยังเป็นสิ่งที่ฝึกความจำ ฝึกสมาธิและทำให้ใจเย็น สุขุมรอบคอบ
ปัจจุบันแหวนปูยังคงเป็นหัตถกรรมที่เลื่องชื่อของเมืองจันทบุรี และช่างได้พัฒนารูปแบบโดยนำเอาสัตว์ทะเล
เช่น กุ้ง และปลาชนิดต่าง ๆ มาประดิษฐ์ และประดับตกแต่งด้วยพลอยหลากสีอย่างสวยงาม
การเจียระไนพลอย
พลอยดิบตามธรรมชาติแม้จะมีความงามอยู่ในตัว แต่เมื่อได้มีการตกแต่งเพิ่มเติม
อันได้แก่ การตัดเหลี่ยม ขัดมัน ก็จะทำให้เกิดความแวววาวสวยงาม เพิ่มคุณค่าของพลอยให้สูงขึ้น
จันทบุรีเป็นแหล่งรวมแรงงานที่มีประสบการณ์ในการเจียระไนพลอยมาเป็นเวลานาน
กล่าวกันว่าในระยะแรกหมู่ชาวญวนที่อาศัยอยู่บริเวณแม่น้ำจันทบุรี และแถบถนนศรีจันท์เป็นช่างเจียระไน
ต่อมาอาชีพนี้จึงได้แพร่หลายออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วจังหวัด
ตามถนนในตัวเมืองจันทบุรีรวมทั้งตามตรอกซอกซอย จะเห็นว่ามีโต๊ะเจียระไนพลอยอยู่ทั่วไป
ช่างเจียระไนพลอยมีทั้งหนุ่มสาวชาวจันทบุรี และชาวอีสาน คนหนึ่งเจียระไนพลอยได้ประมาณวันละสองกะรัต
การเจียระไนเริ่มจากการนำพลอยดิบมาดูว่า พลอยเม็ดนี้มีรอยร้าวตรงไหน น้ำเป็นอย่างไร
ควรเจียระไนเป็นรูปทรงใดเพื่อที่จะรักษาเนื้อพลอยให้ได้มากที่สุด และให้ความงามสูงสุด
จากนั้นจึงนำโกลนคือ วางเหลี่ยมพลอยให้พอเหมาะแล้วจึงเริ่มเจียระไนรูปทรงของพลอยที่นิยม
มีอยู่สี่แบบด้วยกันคือ
เหลี่ยมเกสร หรือเหลี่ยมเพชร เป็นการเจียระไนพลอยเป็นทรงกลมตัดเหลี่ยมรุ้งประกาย
เหลี่ยมกุหลาบ เป็นการเจียระไนเป็นทรงกลมเหลี่ยมตัดจะใหญ่กว่าเหลี่ยมเกสร
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เหลี่ยมขโมย มักใช้กับพลอยเม็ดเล็ก ๆ
หลังเบี้ย เป็นการเจียระไนแบบนูนเรียบไม่ขึ้นเป็นเหลี่ยม
ส่วนล่างตัดตรง มักใช้กับพลอยสตาร์ เพื่อขับให้เหส้นเหลือบบนหน้าพลอยขึ้นเด่น
มีความคมชัดทั้งหกขา
เหลี่ยมมรกต เป็นการเจียระไนพลอยเป็นทรงเหลี่ยมตัดมุมเป็นชั้น
ๆ มักใช้กับพลอยที่มีน้ำดีเป็นเลิศ เป็นแบบที่นับว่าเป็นยอดนิยม
การเผาพลอย
เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เป็นการนำเทคนิคการใช้ความร้อนมาทำให้พลอยราคาถูก
กลายเป็นพลอยน้ำงามราคาแพง
วิธีการเผาคือ ใช้ความร้อนตั้งแต่ ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียสขึ้นไป เผาพลอยที่ต้องขจัดความขุ่นในเนื้อพลอยออก
โดยใช้เวลาในการเผาไม่ต่ำกว่าสี่ชั่วโมง พลอยที่ได้จากการเผาจะมีสีเข้มสวย
และน้ำใสสะอาดขึ้น
ปัจจุบันพลอยแทบทุกเม็ดจะผ่านการเผาเพื่อความงามหมดจด แต่การเผาพลอยจะต้องใช้ผู้มีความรู้ความชำนาญและมีประสบการณ์เท่านั้น
จึงจะรู้ว่าพลอยชนิดใดสามารถเผาได้ และควรเผาด้วยอุณหภูมิเท่าใด กับด้วยกรรมวิธีอย่างใด
|