การละเล่นพื้นบ้าน
นาฎศิลป์ และดนตรี
การละเล่นพื้นบ้านของจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีหลายอย่างนิยมเล่นกันในเทศกาลว่างจากการประกอบอาชีพ
เช่น เทศกาลตรุษสงกรานต์ ที่ชาวบ้านเรียกว่า ปอยเหลินห้า คืองานสนุกสนานในเดือนห้า
นอกจากจะมีการสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระภิกษุ รดน้ำดำหัว ฯลฯ แล้ว กลุ่มหนุ่มสาวจะนิยมจับกลุ่มเล่น
การละเล่นต่าง ๆ ตามประเพณี ส่วนในโอกาสที่ไม่มีตามประเพณี กลุ่มเด็ก ๆ ขัเล่นกันตามโรงเรียน
ลานวัด หรือลานเอกประางค์ของหมู้บ้าน
การละเล่นของเด็ก
มีอยู่เป็นจำนวนมากหลายอย่าง เหมือนกับในภาคอื่น ๆ แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป
การละเล่นของผู้ใหญ่
หลายอย่างเช่นเดียวกับในภาคอื่น ๆ แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป
นาฎศิลป์และดนตรี
มองกาก
เป็่นดนตรีจากเศษไม้ไผ่เหลือใช้จากการต่อแพ หรือจากการทำกิจกรรมอื่น หลังจากล่องแพหรือหยุดพักจากงานอื่น
การทำมองกาก จะตัดไม้ไผ่ยาวประมาณ ๑ ศอก ให้ด้านหนึ่งมีตา ตัดเว้า ด้านกระบอกเหลือกระบอกไว้ประมาณ
๑ คืบ เคาะฟังเสียงดู ตกแต่งการให้เสียงโดยวิธีผ่าปากกระบอก และความหนาของปากกระบอกให้สามารถทำเสียงได้ตามต้องการ
วิธีเล่น
ใช้มองกาก สองอัน เคาะเป็นจังหวะดนตรี พร้อมกับเต้นไปตามจังหวะด้วย จบแล้วสลับรายการโดยการเฮ็ดความ
(ร้องเพลงพื้นบ้าน) จังหวะดนตรีมอกกากมีสามจังหวะด้วยกันคือ จังหวะช้า
เลียบเสียงกลองมองเชิง จังหวะเร็ว เลียนเสียงกลองก้นยาว และจังหวะนกหมาปุ๊ก
เลียนเสียงนกหมาปุ๊ก
แต่เดิมมองกากไม่ได้ใช้การแสดง แต่จะใช้สำหรับการละเล่นสนุกสนานยามพักผ่อนของกองคาราวานแพที่ล่องไปตามลำน้ำปาย
น้ำยวมและน้ำคง (สาละวิน) เพื่อนำสินค้าไปขาย ตกตอนเย็นกินอาหารเย็นแล้วก็จะตั้งวงสนทนากัน
ใครมีความรู้ด้านดนตรี ร้องเพลงก็แสดงออกมาสลับด้วยการเล่นนิทาน หรือเล่าเรื่องต่างบ้านต่างเมือง ที่ได้ไปพบเห็นมาแล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง
- การแสดงจ๊าคไต (ลิเกไทยใหญ่)
เป็นการแสดงชุดใหญ่ ประกอบด้วยผู้แสดงทั้งหญิงชายจำนวน ๒๐ - ๕๐ คน หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับคณะจ๊าค
องค์ประกอบจาคไต คล้ายกับคณะลิเกของภาคกลาง ประกอบด้วยชุดนักแสดง ชุดดนตรี
มีฉาก เวที มีการแต่งกายตามท้องเรื่องที่แสดง
การแสดงจะเริ่มด้วยพิธีไหว้ครู มีเครื่องเซ่นไหว้ตามประเพณีไต (ไทยใหญ่) ประกอบด้วยกล้วย
มะพร้าว หมาก พลู บุหรี่ เมี่ยง ผ้าขาว เทียน ธูป บรรจุไว้ในกะละมังขนาดกลาง
เมื่อหัวหน้าคณะหรือผู้อาวุโสในคณะทำพิธีไหว้ระลึกถึงครูสุรคติ (วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสดงเคารพนับถือ)
เส็จแล้วมีการร่ายรำเป็นชุดเพื่อบูชาครู กาแสดงหลังจากนั้นจะมีการร้องเพลงโดนนักร้องของคณะสับเปลี่ยนกันออกมาร้องเพลง
ส่วนใหญ่จะเป็นการร้องแสดงความชื่นชมต่องานที่จัดขอบคุณผู้ชม ต่อจากนั้นก็จะเป็นการแสดงตามเนื้อเรื่อง
เรื่องที่ใช้แสดงส่วนใหญ่จะเป็นชาดกในพระพุทธศาสนนา เช่น เวสสันดรชาดก ทศชาติหรือเรื่องในวรรณคดี
หรือเรื่องที่คิดขึ้นใหม่ให้ทันเหตุการณ์ปัจจุบัน มักพูดเรื่องให้มีคติสอนใจให้ทำดี
ตอนท้ายของการแสดงแต่ละคืนมักจะเป็นการร้องเพลงตามคำขอของผู้ชม หากมีผู้ขอเพลงมากการแสดงก็จะยืดเยื้อไปจนถึงตีหนึ่งหรือมากกว่า
- การฟ้อนรำ ภาษาไต
(ไทยใหญ่) เรียกว่า ถ้าการฟ้อนรำของคนไตมีลีลาอ่อนช้อยสวยงาม มีจังหวะดนตรี
เรียกชื่อการฟ้อนรำต่าง ๆ คือ
ก้าแลว
คือการฟ้อนดาบ ประยุกต์มาจากลีลาการฟ้อนดาบ ที่เคยใช้เป็นแม่ไม้ต่อสู้ป้องกันตัวมาเป็นการร่ายรำที่มีดาบเป็นอุปกรณ์ด้วยลีลาที่อ่อนช้อย
นิ่มนวล ไม่ดุดันเหมือนที่ใช้ในการต่อสู้
ก้าลาย หรือลายก้า
เป็นการฟ้อนรำที่ประยุกต์จากลีลาการต่อสู้ด้วยมือเปล่า หรือใช้ค้อนเป็นอาวุธ
มาเป็นการร่ายรำที่อ่อนช้อยสวยงาม
ก้านก
เป็นการฟ้อนรำที่ผู้ฟ้อนแต่งกายเลียนแบบนกในนิยายที่คนไตเรียกว่า กิ่งกะหร่าและร่ายรำตามจังหวะดนตรีและออกท่าทางเลียนแบบกิริยาการของนก
หรือสัตว์ในนิยายอย่างอื่นที่จินตนาการขึ้นมา
การฟ้อนรำอื่น ๆ
เป็นการฟ้อนรำชนิดต่าง ๆ ตามจังหวะดนตรีเช่นฟ้อนรำตามจังหวะกองก้นยาวเรียกว่า
ก้าก๋องก้นยาว ฟ้อนรำกลองมองเชิง เรียกว่าก๋ากองมองเชิง หรือฟ้อนรำตามจังหวะดนตรีสมัยใหม่
ซึ่งจะรำเป็นชุด (คณะ) ละ ๑๐ คน หรือมากกว่าหรือรำเดี่ยวก็ได้
ติ่งตุง
เป็นเครื่องดนตรี มีลักษณะการใช้และโอกาสที่ใช้ตลอดจนประวัติความเป็นมาเหมือนกับมองกาก
วิธีทำ
เลือกไม้ไผ่ที่มีลำต้นใหญ่ ไม่หนามาก นำมาตัดเป็นท่อนให้มีตาอยู่หัวท้ายทั้งสองข้าง
ตรงกลางเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขนาด ๑ ๑.๕ นิ้ว ใช้ปลายมีดหรือเหล็กแหลมแทงผิวไม้ไผ่ข้างช้องงัดขึ้นมาให้เป็นเส้นเล็กขนาดเชือกมัดของสำหรับเป็นลายเครื่องทำเสียง
สานตะกร้าเล็ก ๆ ปิดช่องตรงกลางให้มิด โดยสานเป็นตะแกรงติดเส้นไม้ไผ่ทั้งสองข้างให้ตะแกรงปิดช่องพอดี
วิธีเล่น
ใช้มือกดดีดด้านข้างของตะแกรง จะมีเสียงดังคล้ายเสียงดนตรีและบรรเลงตามจังหวะเสียงดนตรีคือกลองก้นยาวและกลองมองเชิง
การเล่นติงตุง จะเล่นในเวลาอยู่คนเดียวหรือเป็นกลุ่มผลัดกันเล่นก็ได้ จะเล่นหลังการงานในทุ่งนาในตอนกลางวัน
เล่นเพื่อผ่อนคลายและเพื่อความสนุกสนาน หรือเมื่อเดินทางไปค้างแรมตามป่าตามผา
การร้องเพลงพื้นบ้าน
(เฮ็ดกราม) เป็นศิลปพื้นบ้านที่นิยมกันมากในอดีต ประกอบด้วยลีลาท่วงทำนองหลายอย่าง
คนไตมีอารมณ์ศิลปิน เมื่อเกิดความประทับใจอะไรมักจะร้องเพลงแสดงความรู้สึกมีทั้งชื่นชมยินดี
รัก ผิดหวัง เศร้าใจ เสียใจ ฯลฯ
|