มรดกทางพระพุทธศาสนา
ศาสนสถานและศาสนวัตถุ
เจดีย์และศาลาการเปรียญวัดจองกลาง
เจดีย์สูง ๑๒ ศอก ฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส แต่ละด้านของเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ
มีเจดีย์องค์เล็กที่มุมทั้งสี่ รูปแบบทางศิลปะเป็นแบบพม่าผสมไทยใหญ่ มีลวดลายสวยงาม
สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๕๗
ศาลาการเปรียญ
เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง หลังคามุงสังกะสี และเป็นแบบสองคอ สามชาย
รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมพม่าไทยใหญ่ สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๑๐
![](maehongson104.jpg)
เจดีย์และพระพุทธไสยาสน์วัดผาอ่าง
เจดีย์ คณะศรัทธา
ร่วมกันสร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๙
พระพุทธไสยาสน์
เจ้านางเมียะ ผู้ครองเมืองแม่ฮ่องสอน คนที่สอง ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙
สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สักการะ รำลึก และอุทิศส่วนกุศลแก่นางคำใส ซึ่งได้ช่วยชีวิตของพญาสิงหนาทราชา
จากการถูกเสือตะปบ ณ บริเวณวัดผาอ่าง แห่งนี้
![](maehongson105.jpg)
วิหารหลวงพ่อโต วัดจองคำ
อยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙ เป็นอาคารทรงตรีมุข หลังคารูปทรงปราสาท
หนึ่งคอ สองชาย ตามแบบสถาปัตยกรรมไทยใหญ่
พระพุทธรูป
หน้าตักกว้าง ๔.๘ เมตร สูง ๖.๕ เมตร เป็นฝีมือช่างชาวพม่า
วัดบ้านเก่า
อยู่ที่บ้านป่าลาน ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง ฯ ผิวดินพบหินกรวดทรายกระจายทั่วไป
มีลำน้ำจำ ไหลผ่านทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ลำน้ำห้วยไม้ทราวหนาม ไหลผ่านทางด้านทิศตะวันออก
พื้นที่โดยรอบเป็นทุ่งนา
ฐานวิหาร
มีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือสูง ๔ เมตร สูง ๑๐ เมตร ยาว ๑๗ เมตร ไม่พบแนวผนังฐานเสา
และกระเบื้องทุกบริเวณ จึงคาดว่าน่าจะเป็นวิหารโถง เครื่องบนหลังคาคงทำด้วยไม้ทั้งหมด
หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
เจดีย์
ตั้งอยู่หลังวิหาร เหลือเพียงฐานเจดีย์ ซึ่งมีเศษอิฐและดินทับถม โดยรอบ
กำแพงแก้ว
เป็นแนวกำแพงเตี้ย ๆ ใช้กรวดขนาดใหญ่เรียงซ้อนล้อมรอบเจดีย์ และวิหาร คงเหลือเพียงด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
ยาวประมาณ ๓๑ เมตร ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ยาวด้านละ
ประมาณ ๓๑.๕ เมตร
จาการสำรวจพบโบราณวัตถุหลายประเภท ทั้งเครื่องมือหินกะเทาะ ขวานหินขัด ชิ้นส่วนเหล็กและตะปู
ที่ใช้ตอกเย็บเครื่องไม้ แผ่นอิฐขนาดต่าง ๆ และชิ้นส่วนภาชนะดินเผา
จากสภาพของอาคารโบราณสถาน และโบราณวัตถุที่พบ ไม่สามารถบอกอายุสมัยที่แน่นอนของโบราณสถานแห่งนี้ได้
แต่จากคติการสร้างอาคารทางศาสนามาประกอบการพิจารณา คือ ในอำเภอเมือง ฯ พบรูปแบบอาคารทางศาสนา
สองระยะคือ ช่วงสมัยล้านนา ในพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ ซึ่งมักนิยมวางผังอาคารให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
และสร้างเจดีย์ไว้ด้านหลังวิหาร มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ดังนั้นโบราณสถานวัดบ้านเก่า
น่าจะมีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒
![](maehongson106.jpg)
วัดร้างดอยกิ่วขมิ้น
ตั้งอยู่บนยอดเขา ห่างจากบ้านใหม่หัวสนามบิน ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณ
๑,๒๐๐ เมตร ตำบลปางหมู อำเภอเมือง ฯ
สภาพเดิม องค์เจดีย์
หักพังเสียหาย แต่โครงสร้างอื่นเช่น กำแพงแก้ว
และลานประทักษิณ
ยังคงอยู่ในสภาพที่สามารถศึกษาองค์ประกอบ และรูปแบบสถาปัตยกรรมได้ คือ องค์เจดีย์ตั้งอยู่บนฐานรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
มีสิงห์ประดับที่มุมทั้งสี่ องค์เจดีย์มีฐานย่อเก็ตสามชั้น และฐานแปดเหลี่ยมรองรับชั้นมาลัยเถาที่ทำเป็นลายกลีบบัวซ้อนกันสองชั้น
บัวปากระฆังและองค์ระฆังกลม ตกแต่งด้วยลายหน้ามาร (หน้ากาล) ส่วนยอด
อันได้แก่ ปล้องไฉน และปลียอด หักหายไป พบแต่ชิ้นส่วนโลหะประดับยอดฉัตรตกอยู่รอบฐาน
ฐานย่อเก็จชั้นล่างสุดประดับแจกันดอกไม้ หรือหม้อบูรณะ บฎะ ที่มุมทั้งสี่
และตกแต่งผนังด้วยลายลูกฟัก ที่ซุ้มทิศที่ฐานทั้งสี่ด้าน มีลักษณะเป็นมุขยื่นออกมาด้านหน้า
ภายในเป็นคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปปั้นศิลปะพม่าแบบมัณฆเลย์ ส่วนยอดซุ้มเป็นทรงปราสาทซ้อนลดหลั่นเป็นชั้น
ๆ ด้านหน้าเป็นบันไดทางขึ้น ราวบันไดประดับด้วยมังกรหมอบทอดตัวยาวตามแนวบันได
ซุ้มทิศเหล่านี้ก่อทับฐานย่อเก็จชั้นล่างที่ฉาบปูน และตกแต่งลวดลายไว้แล้ว
น่าจะสร้างขึ้นหลังจากสร้างเจดีย์เสร็จแล้ว องค์เจดีย์มีลานประทักษิณ และกำแพงแก้วรูปห้าเหลี่ยมล้อมรอบ
และมีช่องบันไดที่กึ่งกลางทุกด้าน ทำให้มีแผนผังเป็นรูปห้าหลี่ยม ยางตามแนวทิศเหนือ
- ใต้
จากการสำรวจพบโบราณวัตถุ ทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น เครื่องมือหินกะเทาะ
กับขวานหินขัด และโบราณวัตถุสมัยประวัติศาสตร์ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยลายครามของจีน
สมัยราชวงศ์เช็ง เครื่องเคลือบจีนพิมพ์ลายต่าง ๆ ชิ้นส่วนภาชนะดินเผา เตาขุนยวม
เศษเหล็กและแผ่นทองแดงดุนลายประดับฉัตร
จากรูปแบบเจดีย์ พระพุทธรูปในซุ้มทิศเป็นศิลปแบบพม่า สมัยมัณฆเลย์ ที่มักสร้างขึ้นสมัยหลัง
พ.ศ.๒๓๗๘ จากเศษภาชนะดินเผา จากเตาขุนยวมที่ผลิตในช่วงเดียวกันนี้ สันนิษฐานได้ว่า
วัดดอยกิ่วขมิ้น สร้างขึ้นเมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ถึงกลางพุทธศตวรรษที่
๒๕
วัดร้างไม่มีชื่อ
ตั้งอยู่บนลานเนินเขา ฝั่งตะวันตกของลำน้ำยวม ตำบลแม่เงา อำเภอขุนยวม พบโบราณสถานมีลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
จำนวนสองหลัง วางตัวในแนวทิศเหนือ - ใต้ หลังแรกมีโครงสร้างก่ออิฐสอดิน ฐานประกอบด้วยฐานปัทม์
บัวลูกแก้วทรงสูง อีกหลังถูกทำลายจนไม่สามารถเห็นรูปแบบได้ นอกจากนี้ยังพบอาคารอีกหลังหนึ่งถูกทำลายเช่นกัน
อาคารทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว
โบราณวัตถุที่พบคือ ขวานหินขัดขนาดเล็ก และเศษภาชนะดินเผา ทั้งเคลือบสีเขียวอ่อน
สีขาวอมฟ้า เขียนลายดำใต้เคลือบ ไหสีน้ำตาลจากเวียงกาหลง และเตาขุนยวม และยังพบเคลือบสีเขียวทึบและบายครามจากจีนในราชวงศ์เหม็ง
จากรูปแบบอาคารและโบราณวัตถุที่พบ แสดงให้เห็นว่าวัดร้างแห่งนี้น่าจะมีความสัมพันธ์กับแหล่งโบราณคดีดอยเวียง
น่าจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันคือ พุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒
วัดจอมมอญ (ร้าง)
ตั้งอยู่บนลาดเนินเขาต่อกับที่ราบริมฝั่งลำน้ำซอม ตำบลเมืองปอน อำเภอขุนยวม
โบราณสถานถูกทำลายเกือบทั้งหมด เหลือแต่ซากอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ทราบรูปทรง
ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ในอดีตเคยมีผู้ขุดพบพระพุทธรูปสำริดแบบล้านนาจำนวนมาก
และพบพระพุทธรูปแบบพม่าด้วย
โบราณวัตถุที่พบได้แก่โลหะเหล็กเส้น น่าจะเป็นเหล็กยึดโครงไม้ และเศษภาชนะดินเผาทั้งเครื่องลายครามของจีน
ชิ้นส่วนภาชนะเขียนลายดำใต้ เคลือบใสจากเตาเวียงกาหลง ทำให้เห็นว่าผู้คนที่มาทำกิจกรรมที่วัดนี้จะมีความสัมพันธ์กับชุมชนที่รับวัฒนธรรมล้านนา
ในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒
วัดร้างบ้านป่าฝาง
ตั้งอยู่บนเชิงดอย ห่างจากบ้านป่าฝางมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๘๐๐
เมตร ในตำบลเมืองปอน อำเภอขุนยวม เป็นวัดร้างประกอบด้วยซากฐานอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
โครงสร้างก่ออิฐสอดิน
โบราณวัตถุที่พบเป็นเศษภาชนะดินเผาประเภทเนื้อแกร่งเคลือบสีขาวอมฟ้าจากเตาเวียงกาหลง
เคลือบสีเขียวอ่อน - เหลือง จากเตาขุนยวม และไหเนื้อดินเคลือบน้ำดิน
จากหลักฐานที่พบมีปริมาณไม่มาก พบที่จะสันนิษฐานอายุสมัยของวัดแห่งนี้ได้
วัดร้างกลางทุ่งนาบ้านป่าฝาง
ตั้งอยู่บนที่ราบริมแม่น้ำปอน ในตำบลเมืองปอน อำเภอขุนยวม จากการสำรวจพบซากอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่ออิฐสอดิน
ขนาด ๑๐.๕ x ๑๙.๕ เมตร สูง ๒ - ๓ เมตร พบขมวดพระเกศาดินเผาจำนวนมาก และพบเศษกระเบื้องมุงหลังคาและเศษภาชนะดินเผาเคลือบสีเขียวไข่กา
จากหลักฐานที่พบยังไม่สามารถกำหนดอายุสมัยการก่อสร้างได้
วัดร้างบ้านเมืองปอน
ตั้งอยู่บนที่ลาดเชิงเขาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลำน้ำปอน ห่างจากตัวหมู่บ้านเมืองปอนมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ
๑ กิโลเมตร ในตำบลเมืองปอน อำเภอขุนยวม
พบซากโบราณสถานอยู่ในสภาพหักพัง ประกอบด้วยแนวฐานสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยใช้หินกรวดขนาดใหญ่เรียงเป็นกรอบ
และถมดินด้านใน หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คาดว่าน่าจะเป็นวิหาร ด้านหลังพบแนวก่ออิฐสอปูน
คาดว่าเป็นส่วนประกอบของเจดีย์ และพบเศษอิฐกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
โบราณวัตถุที่พบมีเพียงตะปูเหล็กยึดโครงสร้างอาคาร ชิ้นส่วนไหเคลือบสีน้ำตาล
- ดำ และตะกรันดินเผา จากลักษณะอาคาร และโบราณวัตถุที่พบยังไม่สามารถกำหนดอายุสมัยได้
![](maehongson107.jpg)
กองมูเหนือ
ตั้งอยู่หลังโรงเรียนบ้านเมืองปอน อำเภอขุนยวม สร้างตามแบบศิลปะไทยใหญ่ เดิมเป็นที่ก่อเจดีย์ทราย
ในเทศกาลเดือนหก ในสมัยที่พญาไพศาลเป็นนายบ้านเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีมาแล้ว ต่อมาบุตรของพญาไพศาลได้ขึ้นเป็นนายบ้าน
จึงได้สร้างเจดีย์ถาวรขึ้น
![](maehongson108.jpg)
กองมูใต้
ตั้งอยู่บนเขาด้านทิศใต้ของหมู่บ้านเมืองปอน อำเภอขุนยวม สันนิษฐานว่าชาวลัวะเป็นผู้สร้าง
ถูกทิ้งให้รกร้างมาเป็นเวลานาน จึงได้เกิดอภินิหารมีแสงไฟดวงใหญ่มาก ปรากฏให้ชาวบ้านได้เห็นเป็นประจำในวันพระสำคัญ
ๆ พวกชาวบ้านพากันไปดู พบว่าเป็นวัดร้างมีเจดีย์ปรักหักพัง จึงได้ร่วมกันบูรณะให้อยู่ในสภาพดี
![](maehongson109.jpg)
อุโบสถวัดพระนอน
เป็นสถาปัตยกรรมแบบพม่า ทรงจตุรมุข หลังคามุงสังกะสี ลักษณะแบบสองคอ สามชาย
ประดับลวดลายสังกะสีฉลุ บนยอดหลังคามีฉัตรสีทองแขวนระฆังไว้โดยรอบ เพดานเป็นไม้มีลวดลายประกอบ
เสากลมทาสีทอง และสีแดง หัวเสามีลวดลายติดกระจกคล้ายบัว สร้างโดยพญาฮ่องสอนบุรี
เจ้าเมืองคนที่สี่ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๔๙ เป็นอุโบสถหลังแรกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน
มีความสวยงามหาดูได้ยาก กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว
![](maehongson110.jpg)
วิหารเจ้าพราละแข่ง
วัดหัวเรียวเป็นอาคารไม้สองชั้นติดกัน หลังคามุงด้วยแป้นเกล็ด ประดับด้วยลวดลายฉลุสังกะสีเป็นชั้น
ๆ แบบปราสาท เป็นศิลปะที่ผสมกลมกลืนอย่างเหมาะสมสวยงาม หลังใหญ่มียอดเป็นรูปโดมต่อด้วยไม้กลึงเป็นช่องแหลมขึ้นไป
หลังเล็กเป็นหลังคาปราสาทห้ายอด ประดับด้วยลวดลายสังกะสีฉลุ บนยอดมีฉัตรสีทองคล้ายฉัตรเจดีย์
สร้างเมื่อปี พ.ศ.๑๔๖๐ เพื่อใช้เป็นอาคารประดิษฐานพระพุทธรูปมหามุนีหรือพราละแข่ง
ที่นำมาจากเมืองมันฑะเลย์ ประเทศพม่า
![](maehongson111.jpg)
โกงซอน
เป็นหอสรงน้ำพระพุทธรูป อยู่ที่วัดต่อแพ ตำบลแม่เงา อำเภอขุนยวม สร้างเมื่อปี
พ.ศ.๒๔๖๘ เป็นอาคารหลังคาทรงจตุรมุข ยอดดอกพุ่มแถวลายดอกหม้อน้ำ ใช้เป็นสถานที่สรงน้ำพระพุทธรูปในเทศกาลสงกรานต์
|