มรดกทางพระพุทธศาสนา
พระธาตุแช่แห้ง
![](nan53.jpg)
พระธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่ที่วัดพระธาตุแช่แห้ง ทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมืองน่าน
เป็นปูชนียสถานอันศักดิ์ มีอายุนานกว่า ๖๐๐ ปีมาแล้ว พญาการเมืองเจ้าผู้ครองนครน่านได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากสุโขทัยมาบรรจุไว้
องค์พระธาตุเป็นสถูปแบบพื้นเมือง เดิมเป็นสถูปทรงลังกา แต่ได้หักพังไป และได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์สืบกันมาหลายรูปแบบ
รูปร่างจึงเปลี่ยนแปลงไปตามช่างฝีมือ และคตินิยมของแต่ละยุคสมัย การปฏิสังขรณ์ในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช
ฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ และการบูรณะปฏิสังขรณ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ - ๒๕๓๘ เป็นการบูรณปฏิสังขรณ์ล่าสุด
องค์พระธาตุเจดีย์เป็นเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละสิบเอ็ดว่าหนึ่งศอก
สูงหนึ่งเส้นเจ็ดวาสามศอกห้านิ้ว บุด้วยทองเหลืองตลอดทั้งองค์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบอยู่ชั้นใน
และมีพระระเบียงล้อมอยู่โดยรอบ กว้างหนึ่งเส้นสิบวา ยาวสองเส้น ภายในมีวิหารใหญ่อยู่หนึ่งหลัง
ประดิษฐานพระพุทธรูปทันใจ
ภายนอกบริเวณด้านหน้าพระธาตุเป็นอุโบสถ กุฏิสงฆ์ วิหารพระนอน พระธาตุเจดีย์องค์น้อยนัยว่าเป็นที่บรรจุพระธาตุพระอรหันตสาวก
และมีถนนพระยานาคลาดลงไปสู่เบื้องล่าง
เทศกาลนมัสการ และปิดทองพระธาตุประจำปีตกอยู่ในกลางเดือนสี่ (เดือนหกเหนือ)
ระหว่างวันขึ้น ๑๔-๑๕ ค่ำ และแรมค่ำ มีมหรสพสมโภช และมีการจุดบอกไฟเป็นพุทธบูชา
พระธาตุเขาน้อย
![](nan54.jpg)
พระธาตุเขาน้อย ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของของตัวเมืองน่านบนยอดเขาเล็ก
ๆ ลูกหนึ่ง จากยอดเขาลูกนี้จะมองเห็นภูมิประเทศเมืองน่านได้อย่างชัดเจน ภายในพระธาตุเขาน้อยเป็นที่บรรจุพระพุทธเกศา
และพระบรมสารีริกธาตุ
ตามตำนานมีว่า วันหนึ่งพระเจ้าฟูเข็งกับพระนางปทุมวดีมเหสี ได้เสด็จไปประพาสป่า
และได้ขึ้นไปบนเขาน้อยเพื่อทอดพระเนตรบริเวณเมือง ขณะที่ประทับอยู่นั้นได้เกิดมีแสงสว่างจับกลุ่มอยู่ที่ตอไม้แห้งตอหนึ่ง
พระเจ้าฟูเข็งทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็มีความปิติ และทราบว่าเป็นอภินิหารของพระบรมสารีริกธาตุ
จึงรับสั่งให้ข้าราชบริพารขุดตอไม้แห้งนั้น ก็ได้พบผอบทองแดงมีรูปลักษณะคล้ายเต้าปูนใบหนึ่ง
ภายในผอบนั้นมีห่อผ้าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ จึงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้ในพระราชนิเวศน์
และทำการสมโภช จากนั้นจึงรับสั่งให้ประชาชนช่วยกันขุดเขาน้อยให้เป็นอุโมงค์ลึกเจ็ดวา
แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งทรงสร้างโกศทองคำบรรจุผอบทองแดงไว้อีกชั้นหนึ่ง
ภายนอกหุ้มด้วยโกศเงิน แล้ววางลงในเรือสำเภา นำเข้าบรรจุไว้ในอุโมงค์ที่ขุดไว้บนเขาน้อย
ปิดปากอุโมงค์ด้วยศิลา แล้วสร้างพระเจดีย์ทับปากอุโมงค์ จากนั้นได้ทำการฉลองทั้งกลางวันและกลางคืน
ต่อมาเจ้าผู้ครองนครน่านหลายองค์ได้อาราธนาพระบรมสารีริกธาตุ จากที่ต่าง ๆ
มาบรรจุหลายครั้ง และสร้างองค์พระธาตุเจดีย์ให้สูงขึ้น โดยสร้างเป็นพระเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส
กว้างด้านละสามวาสองศอก สูงเจ็ดวาสามศอก มีกำแพงล้อมยาวด้านละแปดวาสามศอก
มีประตูเข้าออกสามด้าน มีวิหารอยู่คู่กับองค์เจดีย์
กำหนดเทศกาลนมัสการ และปิดทองในกลางเดือนหก (เดือนแปดเหนือ) เริ่มตั้งแต่ตอนเย็นของวันขึ้นสิบสี่ค่ำ
ถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำ และแรมค่ำ มีมหรสพสมโภช และมีการจุดบอกไฟ (จรวด) เป็นพุทธบูชา
เจดีย์วัดหัวข่วง
![](nan55.jpg)
เจดีย์วัดหัวข่วง ตั้งอยู่ที่วัดหัวข่วง ตำบลในเวียง อำเภอเมือง ฯ ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงปราสาท
หรือเรือนธาตุ อิทธิพลศิลปะล้านนา ฐานล่างทำเป็นหน้ากระดานสี่เหลี่ยม สันฐานบัวลูกแก้วสองชั้น
มีชั้นหน้ากระดานคั่นกลาง ฐานบัวลูกแก้วชั้นบนย่อเก็จรับกับเรือนธาตุไปจรดชั้นบัวถลาใต้องค์ระฆัง
ส่วนเรือนธาตุมีซุ้มจรนำด้านละซุ้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยสำริด ที่มุมผนังทั้งสองข้างปั้นเป็นรูปเทวดาทรงเครื่องยืนพนมมือ
เหนือชั้นอัสดงตอนสุดเรือนธาตุ เป็นชั้นบัวถลาซ้อนกันสามชั้น องค์ระฆังมีขนาดเล็ก
ไม่มีบัลลังก์ ลักษณะรูปทรงโดยส่วนรวมคล้ายคลึงกับเจดีย์วัดโลกโมลี อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเมืองเกษเกล้า ประมาณปี พ.ศ.๒๐๓๑
แต่ส่วนฐานล่างและชั้นบัวถลาของเจดีย์ยืดสูงขึ้น ทำให้มีลักษณะเรียวสูงกว่า
แสดงถึงพัฒนาการทางรูปแบบ ที่ช่างเมืองน่านดัดแปลงนำไปใช้ในระยะหลัง สันนิษฐานว่า
มีอายุไม่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๒
วัดภูมินทร์
![](nan56.jpg)
วัดภูมินทร์ ตั้งอยู่ที่บ้านภูมินทร์ ตำบลในเวียง อำเภอเมือง ฯ โบสถ์ และวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียว
ประตูไม้ทั้งสี่ทิศ และสลักลวดลายงดงาม ฝีมือช่างล้านนาไทย มีจิตรกรรมฝาผนังแสดงถึงวิถีชีวิต
วัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมา และเรื่องคันธกุมารชาดกกับพุทธประวัติ
ตามพงศาวดารเมืองน่าน วัดภูมินทร์ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๑๓๙ พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์
เจ้าผู้ครองนครน่านได้สร้างขึ้นหลังจากขึ้นครองนครน่านได้หกปี มีปรากฏในพงศาวดารเมืองเหนือว่า
เดิมชื่อวัดพรหมมินทร์
ความงามของวัดภูมินทร์ที่ไม่เหมือนใครคือ อุโบสถทรงจตุรมุข พระประธานจตุรพักตรนาคสดุ้งขนาดใหญ่
อุโบสถเทินไว้กลางลำตัวนาค โดยทำเป็นบันไดเข้าสู่ในวิหารทั้งสี่ด้าน ด้านหน้าประดับราวบันไดด้วยนาคเลื้อย
ผ่านตามราวบันไดตรงกลางเจาะช่องประตูออกได้ ลำตัวพญานาคนี้ทำให้มีลักษณะคล้ายกับนาคเลี้อยผ่านวิหารออกมา
โดยส่วนเศียรชูขึ้นบนราวบันได มีลักษณะพญานาคสองตัวรองรับวิหารไว้ ส่วนบันไดที่เหลือด้านข้างตั้งรูปสิงห์ไว้
ภายในตรงกลางวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองขนาดใหญ่สี่องค์ หันพระปฤษฎางค์ชนกันอยู่บนฐานชุกชี
หันพระพักตรออกตรงประตูวิหารทั้งสี่ทิศ
วัดภูมินทร์ ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๐ โดยพระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช
ฯ ผู้ครองนครน่านใช้เวลาแปดปีจึงแล้วเสร็จ งานจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพเขียนสี
มีการใช้ลายเส้นอย่างงดงามเป็นภาพจิตรกรรมอันเลืองชื่อไปทั่วประเทศ บานประตูแกะสลักลึกเป็นสามชั้นบนไม้สักทองแผ่นเดียวขนาดใหญ่
หนาประมาณสี่นิ้ว สลักเป็นลวดลายเครือเถา รวมทั้งสัตว์นานาชนิด
พระเจ้าทองทิพย์
![](nan57.jpg)
ตามตำนานกล่าวว่า พระเจ้าติโลกราชให้สร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงชัยชนะที่พระองค์ยึดเมืองน่านไว้ได้
เมื่อปี พ.ศ.๑๙๙๒ - ๑๙๙๓ เป็นพระพุทธปางมารวิชัย คงได้รับอิทธิพลทางรูปแบบส่วนหนึ่งจากพระพุทธรูปปางมารวิชัย
วัดเจดีย์ และได้รับอิทธิพลทางสุนทรียภาพของพระพุทธรูปศิลปะล้านนา กล่าวคือ
พระวรกายอวบ พระนาสิกใหญ่ สันพระนาสิก พระหนุ เป็นต่อมกลมนูนออกมาด้านหน้า
พระพุทธรูปทันใจ
พระพุทธรูปทันใจ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๑ เมตร ๗๘ เซนติเมตร
สูง ๒ เมตร ๓๕ เซนติเมตร ตามพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ
ให้สร้างพระพุทธรูปทันใจโดยกำหนดให้สร้างภายในวันเดียว เมื่อสร้างเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็ทำพิธีฉลองทันที
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ.๒๓๓๑
พระเจ้าทันใจ หมายถึงพระพุทธรูปที่สร้างเสร็จภายในวันเดียว โดยเริ่มสร้างตั้งแต่รุ่งเช้า
เมื่อดวงอาทิตย์แรกขึ้นก็ลงมือปั้นหล่อองค์พระพุทธรูป ตกแต่งให้สำเร็จเรียบร้อยในวันนั้น
ก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน ถือว่าได้อานิสงส์แรงมาก เพราะเป็นการทำให้สำเร็จโดยรวดเร็วทันใจปรารถนา
สร้างโดยผู้มีบุญและมีศรัทธาแรงกล้า
ปัจจุบันพระพุทธรูปพระเจ้าทันใจ ประดิษฐานอยู่ที่วิหารพระเจ้าทันใจ
ในบริเวณวัดพระธาตุแช่แห้ง
พระประธานวิหารหลวงวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
![](nan58.jpg)
พระประธานองค์ใหญ่ในพระวิหารหลวง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ลงรักปิดทอง
ขนาดหน้าตักกว้าง ๔ เมตร ๕๐ เซนติเมตร สูง ๖ เมตร ชาวเมืองเรียกพระเจ้าหลวง
เป็นลักษณะศิลปกรรมแบบล้านนาไทย สังฆาฏิปั้นลวดลายก้านต่อดอก ลงรักปิดทองติดกระจก
ประทับอยู่บนฐานชุกชีทำเป็นรูปตัวมุข ชาวเมืองนับถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง
กล่าวกันว่าได้แสดงอภินิหารบอกเหตุล่วงหน้าเกี่ยวกับชะตาของเมืองน่านด้วย
พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี
พระพุทธนันทบุรี ฯ เป็นพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัย หล่อด้วยทองสำริด สูง
๑๔๕ เซนติเมตร มีข้อความจารึกไว้ที่ฐานว่า พระเจ้าฬารผาสุมเป็นผู้สร้าง สร้างเมื่อปี
พ.ศ.๑๙๖๙ เดิมลงรักพอกปูนหุ้มไว้ และประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ทิพย์ทางด้านทิศตะวันออก
เพิ่งค้นพบเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะสวยงามมาก ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่หอไตรปิฎก
ซึ่งได้ปรับปรุงให้เป็นวิหารพระพุทธนันทบุรี ฯ ถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง
โบสถ์วิหารในสถาปัตยกรรมไทลื้อ
![](nan59.jpg)
ลักษณะเด่นของโบสถ์วิหารในสถาปัตยกรรมไทลื้อ คือการวางหลังคารูปทรงตะคุ่มลาดต่ำ
และลดหลั่นลงมาทีละชั้น การแก้รูปทรงของพื้นหลังคา ซึ่งแผ่กว้างให้เป็นส่วนที่ย้อยลงมา
วิธีวางหน้าจั่วเน้นทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ส่วนการวางรูปวิหารให้เตี้ยแจ้
เจาะหน้าต่างเล็ก ๆ แคบ ๆ เป็นลักษณะของวิหารทรงโรง การเปิดประตูกว้างทางด้านทิศตะวันออก
แบบประตูเล็กทิศเหนือใต้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องทิศที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย
ตัวอย่างที่สำคัญได้แก่วัดต้นแหลง วัดหนองแดง วัดพระธาตุเป็งสะกัด และวัดหนองบัว
สถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีลักษณะที่สำคัญคือ การกำหนดรูปทรงวิหารแบบซ้อนหลังคา
ซ้อนด้านหน้าสามครั้ง ทรงหลังคาลาดต่ำลงมาส่วนล่างมาก เช่นวิหารพระธาตุแช่แห้ง
ทิ้งจังหวะหลังคาลด เป็นระยะบางครั้งตอนกลางสันหลังคาอาจมีมุขเล็กครอบบนสุด
เช่น วิหารวัดบุญยืน ช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ เป็นตัวลำยองแบบวางนอนทอดตัวไปตามแนวหลังคา
ส่วนแบบซ้อนหลังคาด้านหน้าสองชั้น ลดหนึ่งตับ ตัววิหารหรืออุโบสถยกพื้นสูงหลังคาทรงสูง
บันไดด้านหน้าเปิดกว้าง เช่นวิหารวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิหารที่เป็นอาคารทรงจตุรมุขโดยทำบันไดเข้าสู่ในวิหารทั้งสี่ด้าน
ทางด้านหน้าประดับราวบันไดด้วยนาคเลื้อยผ่านตามราวบันได ตรงกลางเจาะช่องประตูออกได้
เช่นวิหารวัดภูมินทร์
![](nan60.jpg)
สถาปัตยกรรมร่วมสมัย
มีลักษณะเด่นคือ เป็นรูปแบบที่ผสมผสานกับแนวคิดสมัยใหม่ โดยเฉพาะการเน้นความสวยงามของลวดลายประดับบริเวณหน้าบันและรอบตัววิหาร
ซุ้มประตูหน้าต่างใช้เป็นลวดลายไทย และพญานาค รวมทั้งลวดลายศิลปะปูนปั้นอีกด้วย
ตัวอย่างสำคัญได้แก่วัดมิ่งเมือง และวัดดู่ใต้ เป็นต้น
เจดีย์
![](nan61.jpg)
พระธาตุเจดีย์แบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสถูปแบบสุโขทัย
พะเยา เชียงใหม่ และลำพูน เป็นศิลปะเฉพาะรูปแบบหนึ่งของน่าน เช่นพระธาตุวัดช้างค้ำวรวิหาร
สำหรับเจดีย์ทรงปรางค์ เป็นพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุดโขทัย ที่เห็นได้ชัดคือวัดสวนตาล
นอกจากนั้นยังมีลักษณะเจดีย์ทรงระฆังกลมบัลลังก์สี่เหลี่ยมย่อเก็จ ฐานแปดเหลี่ยมได้รับอิทธิพลจากพม่า
เช่นพระบรมธาตุแช่แห้ง เจดีย์วัดพญาวัดเป็นเจดีย์ทรงเหลี่ยมซ้อนกันสี่ชั้น
มีชั้นบัวหงายคั่น ฐานย่อเก็จ ถัดขึ้นไปเป็นฐานสี่เหลี่ยมเรียงซ้อนลดหลั่นห้าชั้น
แต่ละชั้นจะมีซุ้มจรนำ ก่อยอดเป็นวงโค้ง ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประทับยืน
![](nan70.jpg)
เจดีย์วัดหัวข่วง ลักษณะทรงปราสาทหรือเรือนยอด ฐานล่างเป็นกระดานสี่เหลี่ยมรับฐานบัวลูกแก้วสองชั้น
มีชั้นหน้ากระดานคั่นกลาง ฐานชั้นบนเรือนธาตุมีซุ้มจระนำ แต่ละซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป
เหนือชั้นอัสดงตอนบนสุด เป็นชั้นบัวถลาซ้อนกันสามชั้น องค์ระฆังมีขนาดเล็ก
ไม่มีบัลลังก์
หอไตร
![](nan63.jpg)
ในจังหวัดน่านหอไตรส่วนใหญ่ปลูกไว้บนบก ที่เด่นที่สุดคือ หอไตรวัดช้างค้ำวรวิหาร
มีลักษณะโครงสร้างอย่างเดียวกับวิหารและโบสถ์ นอกจากนั้นยังมีหอไตรวัดภูมินทร์
วัดหัวข่วง วัดนาปัง และวัดทุ่งน้อย เป็นต้น
จิตรกรรมฝาผนัง
![](nan64.jpg)
จิตรกรรมฝาผนังของจังหวัดน่าน
มีทั้งเรื่องพุทธประวัติชาดก และปัญญาสชาดก อันเป็นคัมภีร์ที่รจนาขึ้นทางภาคเหนือ
เช่นเรื่อง คันธกุมาร และจันทคาธชาดก
จิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถวัดภูมินทร์
เขียนขึ้นระหว่าง ปี พ.ศ.๒๔๑๐ - ๒๔๑๗ เป็นเรื่องคันธกุมารชาดกพุทธประวัติ
แบ่งออกเป็นสามลักษณะคือ แสดงเรื่องชาดก ตำนานพื้นบ้าน และวิถีชีวิตของชาวน่านในอดีต
ได้แก่ การแต่งกาย การทอผ้า และการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ
จิตรกรรมฝาผนังในวิหารวัดช้างค้ำวรวิหาร
สันนิษฐานว่า คงจะเขียนระยะเวลาเดียวกันกับที่วัดภูมินทร์ เนื่องจากตัวอาคารสร้างพร้อมกัน
ภาพส่วนใหญ่ลบเลือน คงเหลือให้เห็นเป็นการแสดงเรื่องความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต
จิตรกรรมฝาผนังในวิหารวัดหนองบัว
วัดหนองบัวอยู่ในเขตอำเภอท่าวังผา ภาพจิตรกรรมเขียนขึ้นระหว่างปี พ.ศ.๒๔๑๐
- ๒๔๔๙ เป็นเรื่องจันทคาธชาดก และภาพอดีตของพระพุทธเจ้า บางภาพแสดงเรื่องวิถีชีวิตของชาวน่านในอดีต
จิตรกรรมฝาผนังฐานชุกชีในวิหารวัดหนองแดง
วัดหนองแดงอยู่ในเขตอำเภอเชียงกลาง สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นระหว่าง ครึ้งหลังของพุทธศตวรรษที่
๒๕ เป็นภาพแสดงเรื่องพระมาลัย มีลักษณะฝีมือแตกต่างไปจากจิตรกรรมฝาผนังของวัดอื่น
ๆ
|