ขนบธรรมเนียมประเพณี
ประเพณีท้องถิ่นของจังหวัดระนอง มีลักษณะเดิมเป็นของตนเอง และปฎิบัติกันมานานจนเป็นแบบอย่าง
ความคิดและการกระทำที่ได้ยึดถือปฎิบัติสืบต่อกันมา และยังคงมีอิทธิพลอยู่ในสังคมปัจจุบัน
โดยเฉพาะประเพณีที่เป็นส่วนหนึ่งของวิถีการดำเนินชีวิต แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ประเพณีพื้นบ้านบางอย่างไม่มีการสืบทอด
การแต่งกาย
ก่อนปี พ.ศ.๒๔๘๕ ชาวระนองแต่งกายตามแบบโบราณที่ยึดถือกันมาคือ
-
ผู้หญิง
นุ่งผ้าโจงกระเบน ผ้าดอก ห่มผ้าสไบเฉียง คนสูงอายุนิยมสวมเสื้อคอกระเช้า เสื้อกั๊กบ่าเล็ก
ๆ หากไปงานพิธีหรือไปวัด จะสวมเสื้อมีแขน มีผ้าพาดบ่า หรือห่มสไบเฉียง ไว้ผมยาวเกล้ามวย
สับหวีโค้ง หิ้วกระเช้าหมาก ต่อมาสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
ได้ประกาศรัฐนิยม โดยกำหนดให้ผู้หญิงนุ่งผ้าถุง แทนนุ่งโจงกระเบน แต่ปัจจุบันหันไปนุ่งผ้าปาเต๊ะ
และนุ่งกระโปรงตามแบบสากลมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีอายุมาก ๆ ยังนิยมนุ่งผ้าโจงกระเบนตามแบบโบราณ
-
ผู้ชาย
พวกข้าราชการนุ่งผ้าโจงกระเบน หรือนุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน สวมถุงน่องรองเท้า
ส่วนชาวบ้านที่มีฐานะดีเวลาออกงานจะนุ่งผ้าโจงกระเบน นุ่งผ้าทอมือ สวมเสื้อคอกลม
เสื้อกุ่ยเฮง ผ้าขาวม้าคาดเอว คนทั่วไปจะนุ่งกางเกงขาสั้น กางเกงขาก๊วย หรือกางเกงแพรจีน
คาดเข็มขัด ถ้ามีฐานะดีมักจะใช้เข็มขัดทองคำ นาก หรือเงิน ทรงผมนิยมตัดผมทรงดอกกระะทุ่ม
หรือตัดด้านข้างศีรษะสั้นเกรียน ผมด้านบนศีรษะไว้ยาว หัวแสกกลาง ปัจจุบันนิยมแต่งกายและไว้ผมตามแบบสากลทั่วไป
สมัยก่อนผู้มีฐานะดีทั้งชายหญิงนิยมสวมสายสร้อยทองคำเต็มคอ สวมแหวนหลาย ๆ
วง บางนิ้วอาจสวม ๒-๓ วง เด็ก ๆ นิยมไว้ผมจุก สวมกำไลข้อมือ ข้อเท้าซึ่งทำด้วยทองคำ
นาก หรือเงิน หญิงสาวนิยมสวมกำไลข้อมือและข้อเท้าเช่นกัน
การกินอยู่ ชาวระนองในอดีต
นิยมจัดอาหารเป็นสำรับใส่ถาดหรือใส่กระบะ (ทำด้วยไม้) หรือจัดใส่โตก ผู้มีฐานะดีจะใช้โตก
กินบนพื้นโดยนั่งล้อมวงรอบสำรับกับข้าว ผู้ชายนั่งขัดสมาธิ ผู้หญิงและเด็กนั่งพับเพียบ
คนสูงอายุมักนั่งชันเข่าข้าวหนึ่ง ถ้าเป็นขุนนางมีฐานะก็จะมีคนคอยรับใช้อีกด้วย
อาหารโดยทั่วไปตักใส่ถ้วยตั้งรวมในถาด โตก หรือกระบะ ตักข้าวใส่จานหรือโคม
ใช้มือเปิบอาหารใส่ปาก การนั่งกับพื้นล้อมวงกินอาหารยังพบเห็นอยู่บ้างตามชนบท
แต่มีจำนวนน้อยลงไปตามลำดับ
กิริยามารยาท
โดยทั่วไปชาวระนองเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม กิริยามารยาทเรียบร้อย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน
ตามแบบฉบับของคนไทยทั่วไป ผู้น้อยต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ เคารพนบนอบไม่ทำตัวเสมอท่าน
เวลาเข้าหาผู้ใหญ่จะสำรวมเดินค้อมตัว รู้จักกล่าวคำขอโทษ ขอบใจ กับบุคคลทั่ว
ๆ ไป
ลักษณะเด่นประการหนึ่งของประเพณีการแนะนำตัวของชาวระนองคือ เมื่อจะแนะนำใครจะต้องบอกถึง
ปู่ ย่า ตา ยาย ด้วยเป็นการลำดับความเป็นมาในครอบครัวอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นลักษณะของสังคมชนบท
ประเพณีเสด็จพระแข่งเรือ
เริ่มจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐ แต่ได้มีการหยุดจัดไประยะหนึ่ง
มาเริ่มจัดใหม่ปี พ.ศ.๒๕๒๓ จนถึงปัจจุบัน ประเพณีจะจัดในช่วงวันออกพรรษาคือ
ตั้งแต่วันแรมค่ำ เดือนสิบเอ็ด
กิจกรรมที่สำคัญคือ การแห่เรือพระ โดยจะมีการนำเรือมาตกแต่งให้สวยงาม และอัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนเรือ
แล้วแห่ไปตามลำน้ำกระบุรี นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันเรือประเภทต่าง ๆ เช่น
ประกวดเรือยาวประเภทสวยงาม ความคิด ตลกขบขัน ประกวดเพลงเรือ ปัจจุบันประเพณีนี้จะจัดในบริเวณแม่น้ำกระบุรี
ช่วงคอคอดกระ ซึ่งมีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวพม่าตลอดจนจังหวัดใกล้เคียง ให้ความสนใจมาชมเป็นจำนวนมาก
ประเพณีการร้องเพลงเรือ
เป็นประเพณีงานประเพณีเสด็จพระแข่งเรือ เพลงเรือ อำเภอกระบุรี เป็นเพลงพื้นบ้านของภาคใต้ประเภทหนึ่ง
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีลักษณะเป็นกลอนแปด หรือกลอนสี่สองวรรค ร้องเป็นภาษาท้องถิ่น
คือภาษาพื้นเมืองสำเนียงปักษ์ใต้ ใช้ถ้อยคำคล้องจองกัน ท่วงทำนองเรียบง่าย
ฟังง่าย มีคนร้องนำเรียกว่า
แม่เพลง
และลูกคู่ เป็นผู้รับ ลูกคู่จะมีกี่คนก็ได้ ซึ่งแตกต่างจากเพลงเรือภาคกลาง
เพลงเรือในสมัยเริ่มแรก จะร้องเป็นท่วงทำนองสั้น ๆ เช่น เฮโล เฮโล สาระพา
สาว ๆ ไม่มาชักพระไม่ไป ฝ่ายหญิงจะร้องแก้ว่า เฮโล เฮโล สาระพา หนุ่ม ๆ ไม่มาชักพระไม่ไป
ต่อมาจึงได้มีวิวัฒนาการขึ้นตามลำดับ
เรือลำหนึ่ง ๆ อาจจะมีผู้หญิงทั้งลำเรือหรือผู้ชายทั้งลำ หรือทั้งผู้หญิงผู้ชายอยู่ในเรือเดียวกัน
สำหรับบทเพลงเรือแม่เพลงจะร้องเป็นเรื่องราว เช่น ร้องเรื่องประวัติงานเสด็จพระแข่งเรือ
ประวัติการลอยกระทง ชมโฉมสตรี เกี้ยวพาราสี ฝากรัก ตัดพ้อต่อว่า ชมความงามตามธรรมชาติ
ชมเรือพระ ชมผู้นำท้องถิ่น บทเพลงเชิญชวนคนลงเรือพาย เชิญชวนให้ละเว้นอบายมุข
การต่อต้านภัยต่าง ๆ ฯลฯ
เวลาพายเรือไปเทียบคู่กับเรือลำอื่น ก็อาจจะมีการโต้คารมกันระหว่างเรือสองลำ
โดยผลัดกันร้องผลัดกันรับ ร้องโต้ตอบ ร้องแก้กัน ทำให้คนที่พายเรือสนุกสนาน
เพลิดเพลินไม่เหนื่อย เกิดความสามัคคีกลมเกลียวกัน นอกจากนั้นการร้องเพลงเรือทำให้มีจังหวะทำนอง
ในการโยกตัวและความพร้อมเพรียงในการพายดูแล้วสวยงาม
บุคคลสำคัญของท้องถิ่น
พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี
(คอซูเจียง ณ ระนอง) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง และเป็นต้นตระกูล
ณ ระนอง เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน เกิดในประเทศจีนเมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๐ เมื่ออายุได้
๒๕ ปีได้เดินทางมาประกอบอาชีพเป็นกรรมกรอยู่ที่เกาะหมาก (เกาะปีนัง)
ต่อมาได้เข้ามาค้าขายที่เมืองตะกั่วป่า อยู่ในความอุปการะของท้าวเทพสุนทร
จากนั้นได้ย้ายไปตั้งหลักแหล่งที่เมืองพังงา จนมีทุนทรัพย์มากขึ้น จึงได้ต่อเรือกำปั่นใบลำหนึ่ง
ขึ้นล่องค้าขายอยู่ทางหัวเมืองฝั่งตะวันตก โดยรับซื้อสินค้าที่เกาะหมากแล้วเที่ยวขายตามหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก
ไปจนถึงเมืองระนอง เมืองตระ (กระบุรี) และรับซื้อสินค้าตามหัวเมืองเหล้านั้นเช่นดีบุก
พริกไทย จันทน์เทศ ไปขายยังเกาะหมากจนชำนาญรู้ลู่ทาง และคุ้นเคยกับหัวเมืองแถบนี้เป็นอย่างดี
และเห็นว่าเมืองระนองเป็นแหล่งที่มีสายแร่ดีบุกเป็นจำนวนมาก จึงได้ย้ายมาตั้งหลักแหล่งมาอยู่ที่เมืองระนอง
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๘
ขณะที่อยู่เมืองพังงาได้แต่งงานกับหญิงไทยชาวเมืองพังงา มีบุตรชาย ๕ คน และเมื่อย้ายไปอยู่ที่เมืองระนอง
มีบุตรชายที่เกิดจากภรรยาคนที่สองอีกหนึ่งคน ในบรรดาบุตรทั้งหกคน ได้รับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาถึงสี่คน
พ.ศ.๒๓๘๙ ได้ขอประมูลผูกขาดอากรดีบุกเมืองระนองและเมืองตระ และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
ฯ และได้โปรดเกล้า ฯ ให้เป็นที่
หลวงรัตนเศรษฐี
ตำแหน่งนายอากรเมืองระนอง
โดยกำหนดให้ส่งอากรดีบุกต่อเจ้าพนักงานที่กรุงเทพ ฯ ปีละ ๒ งวด ได้ถวายอากรดีบุกเป็นโลหะดีบุก
หนัก ๑๔,๐๐๐ ชั่งต่อปี
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๙๗ หลวงระนองเจ้าเมืองคนเดิมถึงแก่กรรม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้โปรดพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนขึ้นเป็น
พระรัตนเศรษฐี
ผู้สำเร็จราชการเมืองระนองแทนเจ้าเมืองคนเดิม
ถือศักดินา ๘๐๐ ไร่ และโดยที่เมืองระนองอยู่ชายแดนทางทะเล จึงให้พระรัตนเศรษฐีจัดแจงเรือและกำลังคน
พร้อมอาวุธออกลาดตะเวณรักษาปากน้ำตามอ่าวคุ้ง แขวงเมืองระนอง ป้องกันโจรสลัดหรือศัตรูเข้ามาก่อการร้ายในบ้านเมือง
พ.ศ.๒๔๐๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ยกเมืองระนองขึ้นเป็นหัวเมืองจัตวาขึ้นตรงกับกรุงเทพ
ฯ เช่นเดียวกับเมืองชุมพร และโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์พระรัตนเศรษฐีเป็นที่
พระยารัตนเศรษฐี
ผู้สำเร็จราชการเมืองระนอง
ถือศักดินา ๒,๐๐๐ ไร่
พ.ศ.๒๔๑๙ ได้เกิดเหตุกรรมกรชาวจีนกำเริบที่เมืองระนอง ทางกรุงเทพ ฯ
ได้ส่งกำลังมาช่วยปราบจนราบคาบ
พ.ศ.๒๔๒๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนยศพระยารัตนเศรษฐี
ขึ้นเป็นที่
พระยาดำรงสุจริต ฯ ตำแหน่งจางวางผู้กำกับราชการเมืองระนอง
และทรงตั้งพระยาศรีโลหะภูมิพิทักษ์ (คอซิมก๊อง) บุตรชายคนที่สองของพระยาดำรงสุจริต
ฯ เป็นที่พระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่าราชการเมืองระนองแทน
พ.ศ.๒๔๒๔ พระยาดำรงสุจริต ฯ ถึงแก่อนิจกรรม เมื่ออายุได้ ๘๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
ฯ ได้พระราชทานที่ดินให้เป็นที่ฝังศพที่เขาระฆังทอง เมืองระนอง
พระยาดำรงสุจริต ฯ
(คอซิมก๊อง ณ ระนอง) เป็นบุตรชายคนที่สองของพระยาดำรงสุจริต (คอซูเจียง)
เป็นเจ้าเมืองระนองคนที่สอง ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๒๐ - ๒๔๓๙ และเป็นข้าหลวงเทศาภิบาล
มณฑลชุมพระคนแรก ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๓๙ - ๒๔๔๔ เป็นเจ้าเมืองนักพัฒนามากกว่าจะเป็นพ่อค้าอย่างบิดา
งานพัฒนาที่สำคัญคือ การสร้างถนนจากชุมพรไปยังเมืองกระบุรี การสร้างเรือนตะเกียงที่ปากน้ำเมืองระนอง
หลังจากรับตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลชุมพร ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ พระยาดำรงสุจริต
ฯ (คอซิมก๊อง) ได้มอบราชการเมืองระนองให้แก่พระศรีรัตนเศรษฐี (คอหยูหงี)
บุตรชายคนโตเป็นผู้รักษาเมืองแล้วกลับไปจัดราชการตอนปลายปี โดยเริ่มจากงานด้านการปกครอง
การรักษาความสงบเรียบร้อย การโยธา และก่อสร้างสถานที่ราชการ การศึกษาและศาสนา
การภาษีอากร การศาล และส่งเสริมอาชีพของราษฎร
พระยาดำรงสุจริต ฯ (คอซิมก็อง) มีบุตรธิดารวม ๒๖ คน รับราชการ ๘ คน
ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๓
พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ฯ
(คอซิมบี้ ณ ระนอง) เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๐ เป็นบุตรคนสุดท้องของพระยาดำรงสุจริต
ฯ (คอซูเจียง) เมื่อเจริญวัยบิดาได้ส่งไปศึกษาในประเทศจีน จึงอ่านและเขียนภาษาไทยไม่ได้
แต่สามารถพูดได้ถึง ๕ ภาษา คือ จีน (พูดได้ ๕ ภาษา) ไทย อังกฤษ อินเดีย และมลายู
เป็นผู้มีประสบการณ์สูง เพราะต้องติดตามบิดาไปตามเมืองต่าง ๆ ของประเทศจีน
และเคยตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ไปยังมลายู อินโดนิเซีย และยุโรป
ด้วย
พระยารัษฎา ฯ เริ่มเข้ารับราชการเมื่ออายุ ๒๕ ปี เมื่อพระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง)
เป็นเจ้าเมืองระนอง
พ.ศ.๒๔๒๕ เป็นหลวงบริรักษ์โลหะกิจ ผู้ช่วยเจ้าเมืองระนอง
พ.ศ.๒๔๒๗ เป็นพระอัษฎงคตทิศรักษา เจ้าเมืองกระบุรี
พ.ศ.๒๔๖๓ เป็นพระยารัษฎานุประดิษฐ์ ฯ เจ้าเมืองตรัง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นสมาชิกองคมนตรี
และมีพระราชดำริจะให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตรด้วย
พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ได้สร้างสรรค์ความเจริญให้แก่ชาติบ้านเมืองตลอดเวลา
ที่รับราชการเป็นอันมาก ด้วยความมีคุณภาพและคุณธรรม ดังจะเห็นได้จากผลงานของท่านดังนี้คือ
ครั้งที่ได้ดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ได้ใช้กุศโลบายที่เรียกว่า
หนามยอกเอาหนามบ่ง
กล่าวคือ ในครั้งนั้นช่างชาวจีนที่เป็นกรรมการเหมืองแร่ ในเมืองระนอง ตะกั่วป่า
และภูเก็ต ได้จัดตั้งกลุ่มอั้งยี่ขึ้นมา ได้ก่อเหตุและทะเลาะวิวาทกับคนไทยและเจ้าของเหมืองแร่
ในขณะที่อังกฤษก็ฉวยโอกาสเอาเปรียบไทย หากพฤติกรรมใดเป็นประโยชน์แก่เจ้าของเหมือง
ชาวอังกฤษก็จะรับว่ากรรมกรจีนเหล่านั้น อยู่ในอำนาจบังคับของตน แต่ถ้าไม่เกิดประโยชน์ก็จะปฎิเสธไม่รับรู้
พระยารัษฎา ฯ แก้ปัญหาด้วยการแต่งตั้งหัวหน้าอั้งยี่เป็นกรรมการพิเศษ เข้ามาช่วยป้องกันเหตุร้ายในกรณีที่เกิดกรณีพิพาท
โดยมอบภาระหน้าที่ให้หัวหน้าสายรับผิดชอบไปแก้ปัญหา โดยตัวท่านเองไกล่เกลี่ยให้ความยุติธรรม
ทำให้ปัญหาลดลงและหยุดไปในที่สุด
สำหรับราษฎร ท่านใช้หลักการปกครองแบบ
พ่อปกครองลูก
เอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด
โดยออกตรวจงานและเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกท้องที่ที่รับผิดชอบ เมื่อพบผู้เดือดร้อนก็ช่วยแก้ปัญหาให้โดยเร็ว
สอนให้ราษฎรขยันทำมาหากิน และมีศีลธรรม ทางฝ่ายราชการก็ได้สร้างคนให้สามารถปฎิบัติงานแทนท่าน
ด้วยการอรมสั่งสอนจนมั่นใจ แล้วแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอ ถ้าทำงานบกพร่องจะเรียกมาตักเตือน
ใช้ธรรมเป็นอำนาจ การให้บำเหน็จดูที่ผลงาน ทุกคนจึงให้ความศรัทธาและเคารพ
-
การรักษาความสงบเรียบร้อย
โดยแก้ปัญหาโดยให้ทุกคนถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องปราบปรามโจรผู้ร้าย ร้วมกับเจ้าหน้าที่ของทางราชการ
หมู่บ้านใดไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดได้รับโทษ ทุกบ้านต้องมีเกราะไว้เคาะเป็นสัญญาณบอกเหตุร้าย
เมื่อได้ยินสัญญาณดังกล่าวให้ทุกคนมาร่วมประชุม โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วย ใครไม่เข้าประชุมให้ผู้ใหญ่บ้านจดชื่อเสนอกรมการอำเภอเพื่อลงโทษต่อไป
ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านทำบัญชีประวัติคนพาลเอาไว้ หากบ้านใดมีวัวควายหายไป ผู้ใหญ่
กำนัน จะต้องรับผิดชอบจับคนร้ายมาลงโทษให้ได้ นอกจากนี้ยังจัดให้มี
ตำรวจม้า
และเสนอให้มีการติดตามผู้ร้ายที่หลบหนี เข้าไปในเขตปกครองจังหวัดอื่น
-
ด้านการส่งเสริมอาชีพ
พระยารัษฎา ฯ ได้ขอพระราชทานยืมเงิน ๖,๐๐๐ เหรียญ เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้ราษฎรยืมไปทำทุนโดยคิดดอกเบี้ยต่ำ
ทำให้ราษฎรสามารถขยายพื้นที่เพาะปลูก มีรายได้สูงขึ้นมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น
และได้ขอพระบรมราชานุญาตยกเว้นภาษีช่วงเริ่มต้นของการเพาะปลูก ๖-๑๐ ปี ให้ด้วย
จัดให้มีตลาดนัดขึ้นในชุมชนแต่ละแห่งอาทิตย์ละครั้ง เพื่อเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน
นอกจากนั้นยังได้ดำเนินการชักชวนบริษัททุ่งคาราเบอร์ บริษัททุ่งคาเปาด์ บริษัทสะเตรทเทรดดิ้ง
มาลงทุนทำเหมืองแร่ที่ภูเก็ต และบริษัทเอเซียติคมาดำเนินการที่ตะกั่วป่า ติดต่อธนาคารชาร์เตอร์
ในปีนังมาเปิดสาขาที่ภูเก็ต นับเป็นธนาคารต่างประเทศแห่งแรกที่เข้ามาเปิดทำการในประเทศไทย
-
ด้านการศึกษาและศาสนา
ได้ให้การสนับสนุนการศึกษาอย่างจริงจังโดยจัดให้มีมาสอนตามวัด นิมนต์พระสงฆ์มาสอนเด็กและชาวบ้านให้อ่านออกเขียนได้
โดยใช้เงินรายได้จากเหมืองแร่เป็นเงินเดือนครู ๔-๑๐ บาท ต่อเดือน ดำเนินการซ่อมแซมวัดวาอาราม
ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม และอาราธนาพระธรรมปาสาจารย์จากนครศรีธรรมราช มาเป็นเจ้าคณะมณฑลภูเก็ต
จำพรรษาอยู่ที่วัดโฆสิตวิหาร โดยปรับปรุงวัดให้เป็นศูนย์กลางฟื้นฟูพระพุทธศาสนาของมณฑล
นอกจากนี้ยังได้ส่งเยาวชนไปศึกษาวิชาการปกครองและระเบียบราชการที่กระทรวง
ทบวงกรมต่าง ๆ ในกรุงเทพ ฯ เมื่อจบการศึกษาแล้วได้กลับมารับราชการทำประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง
ในส่วนตัวท่านเองก็ได้ออกแนะนำ อบรมเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ก่อนส่งผู้ใดไปรับตำแหน่งจะเรียกมาอบรมสั่งสอน
ตักเตือนเพื่อให้ไปปฎิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ด้านการสาธารณสุข
ในสมัยนั้นการสาธารณสุขยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรง พระยารัษฎา ฯ ได้จัดหาแพทย์ประจำตำบล
หรือพระสงฆ์ ที่มีความรู้ทางแพทย์แผนไทยมาช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่ราษฎร
จัดส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ด้านอนามัย ออกไปแนะนำชาวบ้านตามตำบลต่าง ๆ
ในจังหวัดภูเก็ตมีผู้คนเสียชีวิตด้วยโรคต่าง ๆ ปีละมาก ๆ จึงได้สร้างโรงพยาบาลที่ภูเก็ต
มีอุปกรณ์ด้านการแพทย์ครบครัน ที่ทันสมัยที่สุดคือ เครื่องเอกซ์เรย์ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องแรกที่นำเข้ามาใช้ในประเทศไทย
ท่านได้ชักชวนบรรดามิชชันนารีจากหัวเมืองมลายู มาทำงานในโรงพยาบาลภูเก็ตเป็นจำนวนมาก
ได้ตั้งด่านกักกันโรคขึ้นที่เกาะตะเภา หน้าเมืองภูเก็ต เพื่อสะกัดกั้นเชื้อกาฬโรค
จัดการสุขาภิบาลให้เป็นระบบ
พระยารัษฎา ฯ เป็นผู้ที่มีบุคคลิกและวิธีการทำงานที่โดดเด่น ใหม่แปลกได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปกครองที่ยอดเยี่ยม
กล่าวคือ มีความเชื่อมั่นในตนเอง ขยัน ใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่ม ซื่อสัตย์สุจริต
ผ่อนปรน มีเมตตาธรรม มีคุณสมบัติของสัตบุรุษ ใช้คนเหมาะกับงาน ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ
จริงใจต่อผู้น้อย และให้ประชาชนมีส่วนร่วม สมควรเป็นนักปกครองตัวอย่างที่ปฎิบัติงานประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง
|