สภาพทางเศรษฐกิจ
![](nan16.jpg)
ในสมัยโบราณเศรษฐกิจของเมืองน่านเป็นเศรษฐกิจหมู่บ้านแบบเลี้ยงดูตนเอง ไม่นิยมการซื้อขาย
การค้าขายระยะไกลของน่านดำเนินการโดยพวกฮ่อหรือพวกเงี้ยว และพวกพ่อค้าชาวเขินจากเชียงตุง
ซึ่งนำฝิ่นดิบและม้ามาขาย ชาวบ้านมักไม่ทำการค้าขนาดใหญ่ ผลิตข้าวเพียงพอต่อการบริโภค
ในแต่ละปี น่านมีของป่า และเกลือสินเธาว์ เป็นการค้าที่ดำเนินมาแต่โบราณ นอกจากนี้ยังมีไม้สัก
ฝ้าย ยาสูบ ครั่ง สีเสียด งาช้าง เขากวางอ่อน ไหมดิบ หนังกวาง หนังควาย และช้างโดยส่งไปขายเชียงใหม่
และพม่า ปีละสอง - สามร้อยเชือก สำหรับทำงานในป่าไม้
การค้าขายในตัวเมืองน่าน มีตลาดกลางเมืองเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
และตลาดเก่า ในตอนเช้ามืดผู้หญิงจากทั่วสารทิศของเมืองน่าน จะทะยอยเดินทางมายังตลาดก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น
นำตะกร้าบรรจุสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปขาย โดยนั่งเรียงรายเป็นแถว มีตะกร้าวางอยู่ตรงหน้า
เหมือนในหลวงพระบาง เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นฝูงชนก็จะทยอยกลับไปอย่างเงียบ ๆ สินค้าที่นำมาขายส่วนใหญ่เป็นของป่า
มีอาหารสดเครื่องขบเคี้ยว
![](nan17.jpg)
การค้าที่ผ่านมาอาศัยกองคาราวานฮ่อ และพ่อค้าจีนที่เข้ามาเป็นครั้งคราว กองคาราวานดังกล่าวมาจากทางตอนเหนือ
เป็นจีนฮ่อมุสลิม ซึ่งเดิมเป็นพวกกบฏไต้เผง จากยูนนาน กวางสี และมณฑลอื่น
ๆ ของจีน เมื่อถูกปราบปรามก็หลบหนีมาอยู่แถบตัวเกี๋ย และหลวงพระบาง ได้แก่
ฮ่อธงดำ ฮ่อธงเหลือง และอื่น ๆ พ่อค้าฮ่อเริ่มการเดินทางในฤดูหนาว และใช้เวลาเดินทางซื้อขายระหว่างทาง
เป็นระยะ ๓ - ๔ เดือน เส้นทางของกองคาราวาน เริ่มจากฟูออร์ เดินทางผ่านสิบสองปันนา
รัฐฉาน เข้าสู่เชียงราย เชียงใหม่ มาถึงน่าน แพร่ นำสินค้าประเภทฝิ่น ไหมดิบ
กระดึงวัว ขี้ผึ้ง ชา รองเท้าแบบจีน เสื้อหนังแกะ มันฮ่อมาขาย ก่อนจะเดินทางไปเมืองสา
และเมืองแพร่ การค้าใช้เงินรูปี ในอัตราแลกเปลี่ยน สามสลึงต่อรูปี
การปกครอง
![](nan18.jpg)
ในสมัยโบราณ การปกครองของแคว้นน่าน มีคติการปกครองแบบที่เรียกว่า บิดาปกครองบุตร
ผู้เป็นประมุขวางตัวเป็นดังบิดาของประชาชน ในอาณาจักรหลักคำ (กฎหมายสำหรับเมือง)
มีความตอนหนึ่งว่า ในครัวเรือนถ้ามีบุตรหลานประพฤติชั่ว เมื่อหัวหน้าครัวเรือนห้ามปรามไม่เชื่อฟัง
จะต้องนำตัวผู้นั้นอายัดให้แก่เจ้าหน้าที่ปกครอง ให้สั่งสอนขึ้นไปตามลำดับ
จนถึงผู้เป็นประมุขของบ้านเมือง บรรดาเจ้านายผู้ปกครองเมืองต่าง ๆ ไม่ใช่เชื้อสายกษัตริย์ดั้งเดิม
แต่มาจากท้าวขุนที่มีความสามารถในการรบ มีความเฉลียวฉลาดในการจัดการ และควบคุมกำลังคน
ชนชั้นปกครองประกอบด้วยเจ้านาย ท้าวขุนที่ปฏิบัติงานในเวียงกับพ่อเมืองนายบ้าน
ที่เป็นผู้ปกครองในท้องถิ่น ตามเมืองต่าง ๆ เจ้านายท้าวขุนที่ปฏิบัติงานในเวียง
ยังแยกออกเป็นสองส่วนคือ เจ้านายที่ทำหน้าที่ในราชสำนักเจ้าเมือง เป็นพวกเชื้อพระวงศ์
มีตำแหน่งลดหลั่นกันลงมานับจากตำแหน่งอันดับที่สองรองจากเจ้าผู้ครองนครคือ
เจ้าอุปราช
(เจ้าหัวหน้า)
เจ้าราชวงศ์ เจ้าราชบุตร
เจ้าหอแก้ว จนถึงเจ้าวรญาติเป็นอันดับที่
๑๔ หากตำแหน่งใดว่างลง จะมีการเลื่อนอันดับต่ำกว่าขึ้นไปแทนที่ การสืบสันตติวงศ์
เป็นเจ้าผู้ครองนคร จะถือเอาทายาททางตำแหน่งเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
สำหรับตำแหน่งผู้ปกครองอีกส่วนหนึ่งคือท้าวขุนที่ทำงานในเวียงเรียกว่า เค้าสนาม
ประกอบด้วยพญาปิ้น
หรือพญาผู้เป็นใหญ่สี่นาย พญาแสนหลวงอื่น ๆ รองลงมาอีก ๒๘ นาย รวมเป็น ๓๒
นาย
การปกครองหัวเมือง
แบ่งหัวเมืองออกเป็นชั้น ๆ โดยวิธีการกำหนดยศเจ้าเมืองตามความสำคัญของเมืองนั้น
ๆ ที่มีต่อเมืองน่าน โดยให้อำนาจในการตัดสินใจของ พ่อบ้านนายเมืองปกครองดูแล
และพิจารณาตัดสินคดีความในเมืองของตนได้ เว้นแต่คู่ความไม่ยอมรับคำตัดสิน
หรือเป็นคดีที่สำคัญที่กำหนดไว้ในกฎหมาย จึงจะส่งมายังเค้าสนาม ในเวียง เป็นผู้ตัดสินอีกครั้งหนึ่ง
เจ้าหลวง
หรือเจ้าผู้ครองนครน่าน มีอำนาจสูงสุดในกลุ่มเจ้านาย ซึ่งปกครองในระบบผู้นำร่วมอำนาจของเจ้าหลวงเรียกว่า
อาชญา
ถือว่าเป็นคำสั่งศักดิ์สิทธิของผู้เป็นประมุขที่จะใช้บังคับบัญชาปกครองไพร่บ้านพลเมือง
ถือว่าเป็นกฎหมายในการปกครอง นอกจากผู้ปกครองจะปกครองด้วย จารีตฮีตฮอย
แล้ว น่านยังมีการใช้กฎหมายที่มีมาแต่โบราณ เช่น คัมภีร์พระธรรมศาสตร์
และราชศาสตร์
ซึ่งเป็นกฎหมายอินเดียในการปกครองเช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านนา
กฎหมายที่รวบรวมสืบต่อกันมาคือ กฎหมายพระเจ้าน่าน
พระราชการเมือง และอาณาจักรหลักคำ
สำหรับอาณาจักรหลักคำนี้ เป็นกฎหมายที่ตั้งขั้นโดยถือหลักจากกฎหมายดั้งเดิม
ที่มีบทบัญญัติลง และคำสั่งสอนปะปนกัน เป็นกฎหมายที่รวบรวมขึ้นในสมัยเจ้าหลวงอนันตวรฤทธิเดช
เป็นกฎหมายที่แสดงให้เห็นนโยบายของบ้านเมือง ที่ต้องการสนับสนุนการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกข้าว
มีการกำหนดโทษของการทำความเสียหายให้แก่ทุ่งนา และต้นข้าวไว้อย่างละเอียด
ส่งเสริมให้มีการขยายที่ดินสำหรับการเพาะปลูกมีการหักร้างถางพงเพื่อทำนา พยายามรักษา
วัว ควาย สัตว์พาหนะที่สำคัญไม่ให้ทำร้ายหรือฆ่ากินตามใจชอบ ส่งเสริมการค้าขายด้วยการควบคุมราคาสินค้า
และป้องกันเงินปลอม ให้ความสะดวกในการเดินทาง อำนวยความปลอดภัยให้ มีการควบคุมกำลังคน
ควบคุมการอพยพเดินทางของไพร่ มีการกำหนดฐานะทางสังคม ระหว่างกลุ่มชนชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน
โดยให้มีการเสียค่าปรับในการกระทำผิดแตกต่างกัน มีการควบคุมความประพฤติของฆราวาส
และพระสงฆ์ เช่นการเล่นการพนัน การสูบฝิ่น ตลอดจนกำหนดบทคุ้มครองผู้หญิงไม่ให้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
นอกจากนี้ยังได้แบ่งเขตการบริหารงาน คือ ในเวียงหน้าบ้าน
และหัวเมืองนอก
บริเวณที่เป็นในเวียง คือในเขตตัวเมืองน่าน หน้าบ้านคือเมืองเล็กเมืองน้อยที่ขึ้นอยู่กับเมืองน่านโดยตรง
ราชการที่สำคัญทีเกิดขึ้นในเวียง และหน้าบ้านให้อยู่ภายใต้การวินิจฉัยของเค้าสนาม
เจ้านายและเค้าสนามมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีความที่ประชาชนร้องเรียนขึ้นมา
วิธีพิจารณาความอาญามีการทรมานจำเลยให้รับสารภาพ ตามลักษณะของจารีตนครบาล
เมื่อคดีความมาถึงเค้าสนาม ขุนสนาม ๒๘ นาย จะร่วมกันพิจารณาเป็นรูปคดีแล้วลงความเห็นตามบทบัญญัติในกฎหมายบ้านเมือง
แล้วจึงนำข้อวินิจฉัยขึ้นอ่านถวายเจ้าหลวง
และเจ้าขันห้าใบประกอบด้วยเจ้าอุปราช
(เจ้าหอหน้า) เจ้าราชวงศ์ เจ้าราชบุตร และเจ้าหอเมืองแก้ว ได้พิจารณาแล้วจะมีคำตัดสินเป็นเด็ดขาด
การพิจารณาความแพ่งก็เช่นเดียวกัน ส่วนหัวเมืองนอกคือ เมืองบริวาร หรือเมืองขึ้นของเมืองน่าน
ซึ่งมีอำนาจในการบริหารราชการของตนเอง ดังนั้น เมื่อมีราชการใด ๆ จะต้องแจ้งหรือรายงานต่อเมืองให้วินิจฉัยสั่งการ
หัวเมืองนอกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านยุทธศาสตร์ และเกียรติภูมิของเมืองน่าน
เจ้านายเมืองน่านจะให้ความยกย่องนับถือเจ้าเมืองเหล่านี้เป็นอย่างดี ในการพิจารณาออกกฎหมายที่จะใช้บังคับ
เจ้าเมืองและท้าวขุนสำคัญ ๆ ของหัวเมืองนอกได้ร่วมพิจารณาด้วย สำหรับหัวเมืองนอกที่สำคัญ
ๆ ทางน่านจะส่งเชื้อสายของเจ้านายไปปกครอง หรือพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน
หัวเมืองนอกต้องส่งส่วยตามที่กำหนด และต้องส่งกำลังคนไปช่วยเหลือเมื่อเกิดศึกสงคราม
ชนชั้นในสังคมกับการปกครอง
ระบบชนชั้นในสังคมเมืองน่าน แบ่งออกเป็นสองชนชั้น
ชนชั้นปกครอง
มีสองประเภทคือ เจ้านายได้แก่พี่น้องขัตติยวงศา
ลูกหลาน และท้าวขุนได้แก่พญาเสนา
อำมาตย์ มีอำนาจในการปกครองและคุ้มครองไพร่บ้านพลเมือง คอยดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
สามารถเรียกเกณฑ์แรงงานและผลผลิต ลูกจุ๊ หรือไพร่ของตนได้ ผู้ที่จะรับลูกจุ๊เอามาเข้าสังกัดของตนได้จะต้องเป็นเจ้านาย
หรือท้าวพระพญาในเค้าสนามเท่านั้น เจ้าหลวงไม่จำเป็นต้องมีลูกจุ๊ เพราะมีอาชญาเกณฑ์เอาไว้
อีกทั้งเจ้าหลวงมี " คนเจ้าใช้การใน " ไว้ใช้สอยและอยู่เวรยาม ในเวลาปกติลูกจุ๊จะอยู่ในหมู่บ้านของตน
จะเข้ามาในเมืองเมื่อถูกเรียกเกณฑ์เป็นครั้งคราว
ชนชั้นถูกปกครอง มีสองประเภทได้แก่
ไพร่หรือเสรีชน
และทาษ
ไพร่หรือเสรีชนจะต้องแจ้งแก่เค้าสนามว่าจะอยู่ภายใต้เจ้านายท้าวขุนคนใด โดยสามารถเลือกนายของตนได้
ทำงานแล้วไม่พอใจก็สามารถเปลี่ยนได้ ไพร่จะถูกควบคุมโดยมีเจ้านายท้าวขุน เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมกำลังคน
ประชากรที่เป็นชาย อายุ ๒๐ ปี ต้องไปขึ้นทะเบียนเป็นลูกจุ๊สังกัดเจ้านาย หรือท้าวพญาคนใดคนหนึ่ง
ทำหน้าที่รับใช้เจ้านายของตนจนกว่าจะมีลูกชายมาทำงานแทนสามคน การเป็นลูกจุ๊จะสืบทอดถึงลูกหลาน
จะย้ายเจ้านายได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตเท่านั้น
เมื่อเจ้านายจะเรียกเกณฑ์ก็มีหัวหมวด เป็นผู้ควบคุมดูแลเรียกตัวมารับใช้เจ้านายเป็นครั้งคราว
นอกจากนี้ไพร่ต้องถูกเรียกเกณฑ์ไปทำสงคราม ไพร่ต้องทำการผลิตเพื่อบริโภคเอง
และเพื่อส่งส่วยหรือเสียภาษีให้แก่บ้านเมือง โดยเก็บเป็นผลิตผล ไพร่ในเขตเมืองชั้นในจะเรียกเก็บเป็นข้าว
เมื่อทำนาแล้วจะแบ่งข้าวมาส่งขึ้นฉางหลวง เรียกว่า หล่อฉาง
เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงสำหรับบ้านเมืองสำรองไว้ในยามศึกสงคราม ต้อนรับแขกเมือง
หรือให้ชาวบ้านยืมในปีที่ทำนาไม่ได้ผล การเก็บข้าวเพื่อหล่อฉางเก็บครัวเรือนละ
สามหมื่นสัก ไพร่ในเขตเมืองชั้นนอก จะถูกกำหนดให้ส่งเฉพาะผลผลิตของเมืองนั้นแทนข้าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งของป่าที่มีราคาสูง เช่น มูลค้างคาว ชัน น้ำมันยาง เกลือ
ฯลฯ เรียกวิธีการนี้ว่า ส่วยหล่อฉาง
หรือ ส่วยบำรุงเมือง การเก็บภาษีนี้ยังคงอยู่จนกระทั่งมีการปฏิรูปการปกครองในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ระบบไพร่ทางเมืองน่านสืบทอดกันมานาน แม้จะมีการยกเลิกระบบการเกณฑ์แรงงาน เมื่อปี
พ.ศ.๒๔๔๓ แต่ก็ยังมีการปฏิบัติสืบต่อมา ชาวบ้านจำนวนมากยังถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานให้หลวงอีก
นอกจากนี้ชาวบ้านยังถูกเก็บภาษีรายหัว ภาษีสี่บาท
สำหรับชายที่มีอายุสิบแปดปีขึ้นไป หากไม่มีเงินเสียจะต้องทำงานชดให้เป็นเวลา
๑๕ วัน
ทาส ในเมืองน่านมีอยู่สองประเภท คือ ทาสเชลย
ได้มาจากการทำสงครามที่ไปรบที่สิบสองปันนาหรือลาว แล้วกวาดต้อนผู้คนกลับมาแบ่งปันความชอบของแม่ทัพนายกอง
เรียกว่า ค่า (ข้า) ปลายหอกงาช้าง
มีลูกหลานก็จะกลายเป็น ค่า (ข้า) หอคนโยง
ถ้าเป็นชายอายุตั้งแต่สิบขวบขึ้นไป จะมีค่าตัวถึง ๒๖ รูปี อายุต่ำกว่านั้นค่าตัวลดลงปีละห้ารูปี
ทาสสินไถ่
คือทาสที่เกิดจากการเป็นหนี้สิน แล้วนายเงินไปไถ่ตัวมา เรียกว่า ค่า
(ข้า) น้ำเบี้ยน้ำเงิน หรือ ค่า(ข้า)
ไถ่คนซื้อ ถ้าทาสไม่มีเงินให้แก่นายทาส ถ้าเกิดในเรือนเบี้ย
พอเกิดมาก็มีค่าตัวเรื่อยไป ทาสเหล่านี้ถ้าหนีไปอยู่เมืองอื่นต้องส่งตัวกลับมาให้
หรือให้ค่าตัวแลกเปลี่ยนแก่เจ้าของ
สมัยปฏิรูปการปกครอง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้รวบรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองประเทศราชขึ้นเป็นมณฑลเทศาภิบาล
เมืองน่านขึ้นอยู่กับมณฑลลาวเฉียง ประกอบด้วยเมืองเชียงใหม่ เมืองลำพูน เมืองลำปาง
เมืองแพร่ เมืองเชียงราย ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ และมณฑลพายัพตามลำดับ
ได้มีการแบ่งเขตแขวงเมืองน่านออกเป็นแปดแขวงคือ แขวงนครน่าน แขวงน้ำแหง แขวงน่านใต้
แขวงน้ำปัว แขวงน้ำของ แขวงขุนน่าน แขวงน้ำอง แขวงน้ำยม ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครถูกยกเลิกเมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา
ถึงแก่พิราลัย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ จังหวัดน่านจึงเป็นจังหวัดหนึ่งของไทยตั้งแต่นั้นมา
|