เอกลักษณ์ของท้องถิ่น
![](pathumthani47.jpg)
เจดีย์ทรงมอญ
เป็นเจดีย์ที่มีลักษณะเป็นรูปแบบเฉพาะตัว แตกต่างไปจากเจดีย์ทรงลังกา หรือทรงเจดีย์แบบย่อไม้สิบสอง
ที่เห็นโดยทั่วไปในประเทศไทย ในเขตจังหวัดปทุมธานีจะพบเจดีย์มอญอยู่เป็นจำนวนมาก
เนื่องจากเป็นเมืองที่มีกลุ่มชนชาวมอญอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่นานกว่า ๓๐๐
ปี ชาวมอญเข้ามาก่อนชนชาติอื่น ๆ และมีประเพณีทางศาสนาที่ยึดถือสืบต่อกันมาอย่างเหนียวแน่น
โดยเฉพาะการสร้างเจดีย์
เจดีย์มอญที่พบในจังหวัดปทุมธานีมีอยู่สามแบบใหญ่
ๆ ซึ่งได้มาจากต้นแบบสามเมืองแห่งอาณาจักรใหญ่ของมอญ เดิมก่อนการอพยพเข้ามาในปทุมธานีอันได้แก่
![](pathumthani48.jpg)
แบบเจดีย์ชเวดากอง
ที่เมืองย่างกุ้ง รูปทรงเจดีย์คล้ายจอมแห องค์ระฆังสมส่วน พบที่วัดสำแล วัดสวนมะม่วง
วัดสองพี่น้อง วัดเมตารางค์ วัดท้ายเกาะใหญ่ อำเภอสามโคก
![](pathumthani49.jpg)
แบบเจดีย์ ชเวมอดอหรือพระธาตุมุเตา
ที่เมืองหงสาวดี องค์ระฆังอวบอ้วนกลม คล้ายดอกบัวตูม พบที่วัดศาลาแดง อำเภอสามโคก
วัดศาลเจ้า อำเภอเมือง ฯ
![](pathumthani50.jpg)
แบบเจดีย์ อานันทเจดีย์
ที่เมืองพุกาม องค์ระฆังเล็กเรียวมีซุ้มสี่ด้าน พบที่วัดเจดีย์ทอง อำเภอสามโคก
วัดบางหลวง อำเภอเมือง ฯ
นอกจากนี้ยังมีเจดีย์มอญที่วัดลุ่ม วัดบางตะไมย์ วัดบางกุฎีขาว อำเภอเมือง
ฯ
บ้านมอญ
บ้านเรือนชาวมอญในไทยมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ในที่ซึ่งทางราชการจัดไว้ให้
บ้านเหล่านี้มีลักษณะแตกต่างออกไปจากบ้านคนไทยเล็กน้อยในการก่อสร้าง และมักปลูกอยู่ริมน้ำในลักษณะขวางแม่น้ำหรือลำคลอง
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวถึงการปลูกเรือนของชาวมอญแถบสามโคก
ซึ่งได้ทรงพบเมื่อครั้งตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปบางปะอินโดยทางเรือไว้ว่า
"มอญชอบปลูกเรือนขวางแม่น้ำ เอาด้านขื่อลงทางแม่น้ำจึงกล่าวกันว่า มอญขวาง
แล้วคนจึงเอามาประดิษฐพูดเป็นคำหยาบ มาคิดดูเห็นว่า พวกมอญปลูกเรือนเช่นนั้นน่าจะประสงค์เอาด้านขื่อรับแดด
เพราะแม่น้ำตรงนั้นยาวตามเหนือลงมาใต้ จึงเห็นขวางแม่น้ำ ปลูกเช่นนี้หันหน้าเรือนไปทางทิศเหนือ
มีพะไลหลังคาบังลมหนาว ด้านใต้ฝาเรือนก็ไม่ถูกแดดเผา และรับลมทางใต้ ก็ดูเหมาะทั้งสี่ทิศ
" ชาวมอญได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สามโคกหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวมอญเหล่านี้ได้บูรณะวัดต่าง
ๆ ซึ่งรกร้างมาตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยา ประกอยอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผา และเครื่องจักรสาน
บรรทุกเรือขึ้นล่องไปขายตามแม่น้ำลำคลอง เครื่องปั้นดินเผาของชาวมอญที่มีชื่อเสียงมีหลายรูปแบบ
ตามประเพณีและวัฒนธรรมของชาวมอญ พอประมวลได้ดังนี้
![](pathumthani51.jpg)
ตุ่มสามโคก
มีแหล่งผลิตอยู่ที่วัดสิงห์ อำเภอสามโคก ปัจจุบันโคกที่หนึ่งมีสภาพเป็นโคกเนินดินขนาดใหญ่
มีเศษเครื่องปั้นดินเผากระจายอยู่ทั่วบริเวณ มีพื้นที่ประมาณ ๑๕๐ ตารางวา
โคกที่สอง ตั้งอยู่ห่างจากโคกที่หนึ่งประมาณ ๓๐ เมตร มีลักษณะโครงสร้างผนังเตาก่อด้วยอิฐเรียงซ้อนกัน
มีพื้นที่ประมาณ ๑๐๐ ตารางวา เนินดินโคกที่สามไม่มีร่องรอยสภาพเดิมเหลืออยู่
![](pathumthani52.jpg)
ตุ่มสามโคกภาษามอญเรียกว่า อีเลิ้ง
เป็นภาชนะสำหรับใส่น้ำดื่ม มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ปากโอ่งแคบ ขอบปากม้วนออกติดกับไห
กลางป่อง ไหล่ผาย ก้นตัดเป็นรูปทรงกลมเตี้ย เนื้อภาชนะค่อนข้างหนา เป็นเนื้อดินสีแดง
ไม่เคลือบเงา มีน้ำหนักมาก มีหลายขนาด ผลิตเป็นสินค้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา
พ่อค้าชาวมอญนำตุ่มสามโคกที่ผลิตได้บรรทุกเรือไปขายยังเมืองบางกอก ตามดูคลองต่าง
ๆ จนส่งผลให้กลายเป็นชื่อหมู่บ้าน ตลาด คู คลอง ตามสินค้าที่นำไปขาย เช่นคลองโอ่งอ่าง
และตลาดนางเลิ้ง ซึ่งชาวมอญเมืองสามโคก ได้นำตุ่มสามโคกหรืออีเลิ้งไปวางขาย
ตุ่มสามโคกขนาดใหญ่ จุน้ำได้ประมาณ ๑๖ ปีบ ขนาดกลางจุน้ำได้ประมาณ ๕ ปีบ และขนาเดเล็กจุน้ำได้ประมาณ
๑ ปีบ
![](pathumthani53.jpg)
อิฐมอญ
เป็นอิฐดินเผา มีแหล่งผลิตอยู่ที่สามโคก เนื้ออิฐมีสีแดงเข้ม ตัวอิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
มีเนื้อแกร่งทนทาน
อิฐมอญปัจจุบันมีขนาดเล็กต่างกว่าในอดีตมาก แต่คุณภาพของอิฐยังดีเหมือนเดิม
ราคาไม่แพง ช่างก่อสร้างจึงนิยมใช้อิฐมอญกันมาก
การทำอิฐมอญเริ่มจากการนำเรือเช่นเรือมาดหรือเรือชะล่าไปบรรทุกดินเลนที่ขุดขึ้นมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา
ภาษาคนทำอิฐเรียกว่า ดำดิน
จากนั้นก็โกยดินเลนออกจากเรือไปใสในบ่อ ผสมดินเรียกว่า หลุมดิน
แล้วเอาแกลบใส่ผสม ใช้เท้าย่ำให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันเรียกว่า ย่ำดิน
เมื่อได้ที่แล้วจึงโกยดินดังกล่าวไปเก็บไว้ในบ่อพักดิน เพื่อผึ่งดินให้หมาด
ใช้เวลาประมาณ ๑๒ ชั่วโมง แล้วโกยดินขึ้นรถเข็นนำไปยังลาน แล้วเทดินไว้บนลานกลางแจ้ง
ใช้พิมพ์ที่ทำด้วยไม้เป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้กดลงบนดิน พิมพ์เป็นแผ่น
เรียงกันเป็นแถวบนลาน แล้วผึ่งแดดไว้ประมาณสามวันจนแห้ง จากนั้นจึงใช้มีดถากตกแต่งให้เรียบร้อยทั้งสี่ด้าน
มีดที่ใช้แต่งเรียกว่า มีดถากอิฐ
เมื่อตกแต่งแล้วจะผึ่งแดดไว้จนกว่าอิฐจะแห้ง แล้วขนอิฐไปเรียงซ้อนไว้เป็นชั้น
ๆ ในโรงอิฐจนเป็นกองใหญ่ ขนาดกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๐ เมตร สูง ๒ เมตร จะได้อิฐประมาณสองหมื่นแผ่นเรียกว่า
หนึ่งเตา
แล้วเอาโคลนผสมแกลบทาให้ทั่วเตา อย่าให้มีรูหรือร่องรอย เพื่อที่เวลาเผาจะเก็บความร้อนได้มาก
จากนั้นเอาฟืนสอดตามช่องระหว่างแถวอิฐที่ติดกับพื้นดิน เอาไฟจุดเผา ไฟจุลุกลามขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด
ใช้เวลาเผาประมาณ ๕ - ๘ วัน ก็ไหม้หมด พอถึงวันที่สิบอิฐจะเย็นลง ช่างจะรื้ออิฐด้านนอกที่ไม่สุกออก
เหลือแต่อิฐสุกสีแดงไว้ขายต่อไป
อิฐมอญมีวิวัฒนาการตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน มีลำดับดังนี้
อิฐมอญสามโคกรุ่นที่ ๑
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณปี พ.ศ.๒๒๐๓ มีขนาดใหญ่มาก กว้างประมาณ
๒๐ เซ็นติเมตร ยาวประมาณ ๔๐ เซ็นติเมตร หนาประมาณ ๑๓ เซนติเมตร ใช้ทำฐานรากโบสถ์
วิหาร กำแพง แทนเสาเข็ม และใช้ทำถนน อิฐชนิดนี้บางแผ่นมีแปดรู เรียกว่าอิฐ
๘ รู มีความหมายถึงมรรคแปด
อิฐมอญสามโคกรุ่นที่ ๒
มีอายุอยู่ประมาณปี พ.ศ.๒๓๑๐ มีขนาดกว้าง ๑๔ เซนติเมตร ยาว ๒๖ เซนติเมตร หนา
๕ เซนติเมตร
อิฐมอญสามโคกรุ่นที่ ๓
มีอายุอยู่ประมาณปี พ.ศ.๒๓๒๕ มีขนาดกว้าง ๑๓ เซนติเมตร ยาว ๒๔ เซนติเมตร หนา
๔.๕ เซนติเมตร
อิฐมอญสามโคกรุ่นที่ ๔
มีอายุอยู่ประมาณปี พ.ศ.๒๔๑๕ มีขนาดกว้าง ๑๐ เซนติเมตร ยาว ๒๒ เซนติเมตร หนา
๔ เซนติเมตร
อิฐมอญสามโคกรุ่นที่ ๕
มีอายุอยู่ประมาณปี พ.ศ.๒๔๘๘ มีขนาดกว้าง ๙.๕ เซนติเมตร ยาว ๑๙ เซนติเมตร
หนา ๔ เซนติเมตร
อิฐมอญสามโคกรุ่นที่ ๖
เป็นอิฐยุคปัจจุบัน มีขนาดกว้าง ๗ เซนติเมตร ยาว ๑๖ เซนติเมตร หนา ๓ เซนติเมตร
อิฐมอญสามโคกปัจจุบัน แผ่นเล็กลงแต่สะดวกในการก่อสร้าง มีการใช้อิฐมอญกันมาก
จึงขายดี อาชีพทำอิฐยังนิยมทำอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอสามโคก ทำรายได้ดี
![](pathumthani54.jpg)
หม้อข้าวแช่
ชาวมอญเรียกมายเชิงกราน ลักษณะทรงกลม ก้นแบน คอสั้น ปากผาย ผิวด้านข้างตกแต่งด้วยลายเส้น
ผิวภาชนะค่อนข้างบาง เนื้อดินสีแดง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๖ เซนติเมตร
สูง ๑๔ เซนติเมตร ปากกว้าง ๑๓ เซนติเมตร ใช้ใส่ข้าวแช่ เพื่อนำไปถวายพระ หรือมอบให้ญาติผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์
โดยใช้ใบตองปิดปากหม้อพร้อมสำรับกับข้าวทั้งคาวหวานหรือใส่น้ำตาลโตนดสำหรับใช้ดื่มและเป็นหม้อแกงในครัวเรือน
![](pathumthani55.jpg)
เตาวง
เป็นเตาดินเผาไม่เคลือบ มีรูปทรงเป็นวงกลม ตอนหน้าตัดเป็นช่องสำหรับใส่ฟืน
มีนมเตาสามเต้า อยู่ด้านในยื่นออกมาสำหรับรองรับภาชนะที่วางบนเตา ด้านข้างเจาะเป็นรูระบายอากาศสามรู
เป็นเตาไฟใช้หุงต้มในครัวเรือน ตั้งแต่สมัยโบราณ เตาวงนี้ต้องตั้งบนเตาแม่ไฟอีกทีหนึ่ง
เพื่อป้องกันไฟไหม้พื้นที่ว่าง
![](pathumthani56.jpg)
หม้อน้ำ
ชาวมอญเรียก เน้อง อามายดาจ เป็นภาชนะรูปทรงกลม ปากผาย ก้นมน ตรงไหล่มีลวดลายประทับ
จากแม่พิมพ์กดเป็นลอยรอบคือ เป็นลายเกลียวสองแถวสลับลายก้านปลา คั่นด้วยลายสาแหรกสองแถว
ในแต่ละช่องประกอบด้วยลายกรายเชิง ผิวภาชนะค่อนข้างบาง เนื้อดินสีแดง ไม่เคลือบเงา
ฝาปิด มีลายประทับเช่นเดียวกับตัวหม้อ ตุ่มจับยอดฝาหม้อปั้นเป็นรูปหงส์หรือฉัตร
มีฐานเป็นเสลี่ยม ดินเผารองก้นหม้อ สำหรับใช้ตั้งหม้อน้ำ ปากหม้อกว้าง ๒๑
- ๒๖ เซนติเมตร สูง ๑๙ - ๒๘ เซนติเมตร ใช้ใส่น้ำดื่มตามบ้านเรือน และตามข้างทางเดินในหมู่บ้าน
ขนบธรรมเนียมประเพณี
ในส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น มีดังนี้
![](pathumthani57.jpg)
เบิงสงกรานต์
เป็นประเพณีกินข้าวแช่ในเทศกาลวันสงกรานต์ของชาวไทยรามัญ ในเขตอำเภอสามโคก
โดยก่อนถึงวันสงกรานต์ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ชาวปทุมธานีที่ไปประกอบอาชีพทำมาหากินในถิ่นอื่น
อาจจะพากันทยอยกลับบ้านของตน เพื่อเตรียมทำความสะอาดบ้านเรือนและบริเวณสถานที่อยู่อาศัย
เตรียมจัดซื้อข้าวของที่จะใช้ทำบุญเป็นที่เอิกเกริกกว่างานอื่น ทุกคนจะร่วมมือช่วยกันอย่างเต็มที่
จะเป็นเหมือนกันหมดทุกครัวเรือน มีการกวนข้าวเหนียวแดง กาละแม ทำข้าวต้มและขนมอื่น
ทำกับข้าวที่จะใช้กินกับข้าวแช่
เมื่อเตรียมการเสร็จแล้ว พอรุ่งเช้าของวันที่ ๑๓ เมษายน ก็จะเริ่มทำข้าวแช่กินกัน
ส่วนข้าวแช่ที่จะนำไปทำบุญและนำไปให้ญาติผู้ใหญ่จะกันไว้ต่างหาก แล้วนำไปถวายวัดใกล้เคียงและนำไปให้บ้านญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ
ตั้งแต่เช้าจนเพลในห้วงเวลา ๑๓ - ๑๕ เมษายน
![](pathumthani58.jpg)
ตกบ่าย จะพา กันไปรวมกันที่วัด มีการก่อพระทราย ปล่อยนก ปล่อยปลา และสรงน้ำเจ้าอาวาส
และพระสงฆ์รูปอื่น ๆ ตามลำดับอาวุโสจนหมดวัด เมื่อเสร็จการสรงน้ำพระสงฆ์แล้ว
พระสงฆ์จะมานั่งลำดับ ชาวบ้านจะมานั่งประนมมือรับพรจากพระ ต่อจากนั้นก็จะเป็นเวลาของความสนุกสนาน
มีการสาดน้ำดำหัวกัน
หลังจากนั้นจะกลับมาบ้านเพื่อรดน้ำญาติผู้ใหญ่แล้วเอาน้ำอบประพรม เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่
ญาติผู้ใหญ่จะกล่าวให้ศีลให้พรแก่ลูกหลาน
![](pathumthani59.jpg)
ประเพณีแข่งลูกหนู
เป็นการละเล่นในการประชุมเพลิงศพพระสงฆ์ชาวมอญ ซึ่งแต่เดิมจะทำพิธีบนปราสาทที่จัดทำเป็นยอดเดียวหรือห้ายอด
และจุดไฟประชุมเพลิงศพด้วยลูกหนู ต่อมาภายหลังได้กลายเป็นประเพณีการแข่ง
ขันให้ลูกหนูวิ่งไปชนปราสาทและหีบศพบจำลอง
งานนนี้จะจัดในเดือนสี่และเดือนห้า โดยจะจัดในช่วงเวลาบ่ายในทุ่งนาโล่งแจ้ง
การจัดทำลูกหนู จะได้รับการสนับสนุนจากวัดต่าง ๆ คณะลูกหนูที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปทุมธานี
มีหลายคณะเช่น วัดกร่าง วัดป่างิ้ว วัดบางเตย วัดดอกไม้ วัดปทุมทอง วัดถั่วทอง
วัดชัยสิทธาวาส วัดโบสถ์ วัดน้ำวน วัดบางพลี วัดบางหลวง วัดบ่อเงิน วัดบ่อทอง
วัดจันทน์กระพ้อ
ลูกหนูทำด้วยไม้ไผ่หรือไม้จริงก็ได้ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๒ เซนติเมตร
เจาะข้างในให้กลวง บางครั้งก็ใช้กระบอกเหล็ก ข้างในกระบอกอัดดินปืนเข้าไปให้แน่น
แล้วอุดหัวท้ายวด้วยดินเหนียว โดยเจาะรูตรงกลางให้ใหญ่ประมาณเท่านิ้วก้อย
สำหรับใช้ติดสายชนวน เพื่อจุดไฟให้ลามเข้าไปไหม้ดินปืนในกระบอก ซึ่งจะเกิดระเบิดเป็นเปลวเพลิงพุ่งออกมาจากรูท้ายกระบอก
คล้ายดอกไม้ไฟหรือไฟเพนียงหรือผีพุ่งใต้ ด้วยความแรงของดินระเบิด จะขับดันตัวกระบอกลูกหนูให้วิ่งไปข้างหน้าโดยเร็วตามลวดสลิงที่ขึงไว้
เพราะตัวลูกหนูจะผูกดิตกับลวดสลิง ระหว่างที่ลูกหนูวิ่งจะมีเสียงดังแช็ค ๆ
เป็นที่น่าตื่นเต้น เมื่อลูกหนูวิ่งไปสุดลวดสลิงมันจะพุ่งเข้าชนปราสาท ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ
๔๐ เมตร ถ้าลูกหนูของใครถูกที่สำคัญของปราสาทตามที่กำหนด ก็จะได้รางวัล
ปกติการแข่งขันลูกหนูจะทำเฉพาะในงานศพของพระสงฆ์ โดยทางวัดจะเก็บศพไว้ก่อน
รอจนถึงหน้าแล้งประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม เมื่อชาวบ้านว่างจากการทำนาแล้วก็จะมาช่วยจัดงานประชุมเพลิงศพพระสงฆ์
ก่อนจะถึงกำหนดวันงาน วัดที่เป็นเจ้าภาพจะประกาศให้วัดอื่น ๆ ทราบ และเชิญชวนให้จัดลูกหนูเข้าแข่งขันด้วย
ลูกหนูจะต้องตกแต่งให้สวยงาม เพื่ประกวดกัน มีการประดับตกแต่งด้วยกระดาษสีต่าง
ๆ ครั้นถึงวันกำหนดแต่ละวัดจะจัดขบวนแห่ลูกหนู คล้ายขบวนพาเหรดของนักกีฬา
การแต่งกายของคนในขบวนต้องเหมือนกัน ขบวนแห่ลูกหนูจะนำด้วยกลองยาวหรือแตรวง
มีป้ายบอกชื่อคณะนำหน้าขบวน มีนางรำแต่งตัวสีฉูดฉาด เต้นรำตามจังหวะเพลงมาจนถึงบริเวณงาน
ก่อนที่จะทำการแข่ง จะต้องนำลูกหนูแห่รอบเมรุเวียนซ้ายสามรอบ แล้วแห่ไปสนามแข่งขันเพื่อติดตั้งลูกหนูเข้ากับลวดสลิง
เพื่อเตรียมการแข่งขันต่อไป
ทางวัดเจ้าภาพจะต้องจัดตั้งเมรุศพหลอก มีปราสาทยอดแหลมครอบเมรุศพไว้กลางทุ่งนาให้สูงเด่น
แล้วปักเสาขึงลวด พุ่งตรงไปยังปราสาทที่เมรุศพตั้งอยู่ สายลวดสลิงมีจำนวนเท่ากับจำนวนคณะที่ส่งลูกหนูเข้าแข่งขัน
แล้วผูกลูกหนูติดกับสายลวดสลิง จากนั้นให้จุดชนวนเรียงกันไปตามลำวดับ จนกว่าจะหมดลูกหนูที่เตรียมมา
วิธีจุดลูกหนู จะใช้คบเพลิงไปจุดสายชนวนท้ายตัวลูกหนู เมื่อลูกหนูวิ่งไปจนสุดลวดสลิงก็บจะพุ่งเข้าชนปราสาททันที
ลูกหนูของคณะใดชนถูกที่สำคัญก็จะได้คะแนนมาก
![](pathumthani60.jpg)
ประเพณีตักบาตรพระร้อย
มีมาช้านานนับร้อยปีมาแล้ว ทำในเทศกาลบออกพรรษา ตั้งแต่วันแรมหนึ่งค่ำ เดือนสิบเอ็ด
เป็นต้นไป การตักบาตรพระร้อยนี้ ทางวัดที่อยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งจะตกลงกันกำหนดแข่งขันเป็นเเจ้าภาพ
เพื่อไม่ให้ตรงกัน การกำหนดว่าวัดใดจะทำบุตรตักบาตรพระร้อย ในวันใดนั้น ได้ตกลงกันดังนี้คือ
ในวันแรมหนึ่งค่ำถึงแรมสิบห้าค่ำ เดือนสิบเอ็ด จะทำที่วัดต่าง ๆ ตามลำดับวัดละวันคือ
วัดมะขาม วัดหงส์ปทุมาวาส วัดสำแล วัดบางหลวง วัดโบสถ์ กับวัดไผ่ล้อม วัดไก่เตี้ย
วัดบางนากับวัดบ่อทอง วัดดาวเรืองกับวัดชินวราราม วัดบางโพธิเหนือ วัดบ้านพร้าวใน
วัดบ้านพร้าวนอก กับวัดชัยสิทธิาวาส วัดเสด็จตักบาตรเทโว สำหรับวันแรมสิบสามค่ำและวันแรมสิบสี่ค่ำ
ไม่มีการทำบุญ วัดสุดท้ายในวันแรมสิบห้าค่ำคือ วัดโพธิ์เลื่อน
เมื่อวัดใดถึงกำหนดตักบาตรพระร้อย วัดนั้นจะเป็นเจ้าภาพเตรียมการต่าง ๆ มีการนำเชือกลงไปขึงริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งใกล้
ๆ กับบันไดบ้านของชาวบ้าน โดยใช้ที่ตั้งวัดเป็นศูนย์กลางไปทางทิศเหนือและทิศใต้ของวัด
ผ่านหน้าบ้านของชาวบ้านที่อยู่ริมฝั่งเป็นระยะทาง ๒ - ๓ กิโลเมตร ผู้ที่จะทำบุญตักบาตรไม่ต้องเดินหรือต้องพายเรือ
เพียงแต่นั่งรอที่หัวบันไดหน้าบ้านของตน หรือนั่งบนเรือนหน้าบ้านที่อยู่ติดกับเชือกที่ขึงไว้
รอพระมารับบาตร
เมื่อถึงเวลากำหนด พระสงฆ์จากวัดต่าง ๆ ที่นิมนต์ไว้จะนั่งเรือ โดยมีศิษย์วัดหรือชาวบ้านมาช่วยพายเรือให้พระสงฆ์นั่งรับบาตร
พระสงฆ์ที่รับนิมนต์มารับบาตรจะมารวมกันที่วัดที่เป็นเจ้าภาพ พอเช้าตรู่ของวันตักบาตร
มีการจับฉลากหมายเลข ถ้าพระสงฆ์รูปใดจับได้หมาบเลข ๑ ก็ให้ออกหน้า ศิษย์ที่พายเรือก็จะสาวเชือกที่ขึงไว้เพื่อรับบิณฑบาตร
เรื่อยไปทุกบ้าน พระสงฆ์รูปต่อ ๆ ไปก็จะออกรับบิณฑบาตรต่อ ๆ กันไปตามลำดับจนครบ
๑๐๐ รูป หรือตามจำนวนพระสงฆ์ทั้งหมดที่นิมนต์มา กว่าจะรับบาตรเสร็จก็จะตกเวลาประมาณสิบนาฬิกา
เมื่อพระสงฆ์รูปใดรับบิณฑบาตรแล็วก็จะพากันกลับวัดของตน
|