มรดกทางพระพุทธศาสนา
ต้นศรีมหาโพธิ
ต้นศรีมหาโพธิขึ้นอยู่ภายในวัดต้นศรีมหาโพธิ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ เป็นต้นโพธิที่มีอายุมากกว่าพันปี
เป็นพันธุ์ต้นพระศรีมหาโพธิ ซึ่งนำหน่อมาจากลังกา หรืออินเดียในสมัยทวารวดี
เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา และมีความสำคัญต่อพื้นที่บริเวณนี้
ซึ่งกินอาณาเขตหลายอำเภอในจังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา เรียกว่า ดงศรีมหาโพธิ
ต้นศรีมหาโพธิได้แตกหน่อ และแผ่กิ่งก้านสาขาไปโดยรอบประมาณ ๕๐ เมตร วัดความยาวรอบต้นได้ประมาณ
๒๕ เมตน สูงประมาณ ๓๐ เมตร เป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งใกล้และไกล
มีงานนมัสการต้นศรีมหาโพธิเป็นประจำทุกปี อันเป็นประเพณีมาแต่โบราณกาล โดยจัดงานในวันขึ้น
๑๓ - ๑๕ ค่ำ เดือนห้า กิจกรรมของงานได้แก่ การปิดทองนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ
และมีมหรสพสมโภช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกล่าวถึงงานนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิว่า
".... ฤดูเดือนห้า ราษฎรพากันไปไหว้ต้นโพธิ และพระบาทมาแต่ไกล จากเมืองพนมสารคาม
ท่าประชุม และที่อื่น ๆ เป็นตลาดนัดซื้อขายของจอแจกัน ๒ วัน ๓ วัน และมีดอกไม้เพลิงเป็นต้น
มาจุดกันในงนนักขัดฤกษ์นี้...."
ต้นพระศรีมหาโพธิได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘ และจังหวัดปราจีนบุรี
ได้ใช้ต้นโพธิเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัด
รอยพระพุทธบาทคู่
รอยพระพุทธบาทคู่ ตั้งอยู่ในเขตโบราณสถานวัดสระมรกต ตำลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ
เป็นรอยพระพุทธบาทคู่ขนาดใหญ่ สลักบนพื้นศิลาแลง สลักบนพื้นศิลาแลงธรรมชาติ
มีลักษณะเหมือนจริง ที่ฝ่าพระบาทสลักรูปธรรมจักรนูนทั้งสองข้างตรงกลาง ระหว่างรอยพระพุทธบาทเจาะเป็นหลุม
และแกะเซาะร่องรูปกากบาทประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ตามความเชื่อในการสร้างอุเทสิเจดีย์
เพื่ออุทิศแด่พระพุทธองค์ตามคติของอินเดียโบราณ ก่อนที่จะมีการสร้างพระพุทธรูป
หรืออาจสร้างขึ้นเพื่อเป็นบริโภคเจดีย์ โดยถือเสมือนว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมา
ณ ที่นี้ หรือเป็นความหมายเชิงสัตลักษณ์ ที่หมายถึงพระพุทธองค์ ได้เผยแผ่เข้ามายังที่นี้ตามคติของลังกา
ส่วนหลุมกลมที่อยู่กลางรอยพระพุทธบาททั้งสองนั้น สันนิษฐานว่า เป็นหลุมสำหรับปักเสาฉัตร
หรือเสาเพลิงรองรับเครื่องหมายตรีรัตน์ หรือธรรมจักร
รอยพระพุทธบาทคู่นี้ นับว่าเป็นรอยพระพุทธบาทคู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
พระทวารวดี
(หลวงพ่อทวารวดี)
พระทวารวดี พบที่เมืองศรีมหโสถ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ว่าการอำเภอศรีมโหสถ
เป็นพระพุทธรูปปางเสด็จจากดาวดึงส์ ทำด้วยหินทรายสีเขียว สูง ๑๖๓ เซนติเมตร
เป็นฝีมือช่างสมัยทวารวดีรุ่นแรก ซึ่งได้รับอิทธิพลจากรูปแบบศิลปะอินเดีย
สมัยราชวงศ์คุปตะ สร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๖ ชาวบ้านเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า
หลวงพ่อทวารวดี
ถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
วัดแสงสว่าง
(พระธาตุพุทธมงคล)
วัดแสงสว่าง ตั้งอยู่ในเขตบำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ มีโบราณสถานที่สำคัญภายในวัดคือ
เจดีย์ก่อด้วยอิฐเป็นเจดีย์รูปสิบหกเหลี่ยม ฐานเจดียวัดโดยรอบได้ สิบเอ็ดวา
สองศอก สูงหกวาเศษ บนยอดเป็นรูปฉัตรทำด้วยทองแดง ปลายยอดมีลูกแก้ว
สันนิษฐานว่า เจดีย์องค์นี้สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เนื่องจากพระองค์ทรงทราบข่าวว่า ที่ดงศรีมหาโพธิมีช้างเผือกอยู่หนึ่งเชือก
จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ขุนอินทร์เป็นผู้ดำเนินการจับช้างเชือกนี้ ขุนอินทร์จับช้างได้ที่บ้านโคกไทย
จึงได้สร้างเจดีย์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๗ ชาวบ้านเห็นว่าองค์เจดีย์ชำรุด
จึงพร้อมใจกันบูรณะซ่อมแซม แล้วฉาบด้วยปูนขาวขัดมัน ต่อมาเมือปี พ.ศ.๒๔๙๖
ชาวบ้านได้พร้อมใจกันปฏิสังขรณ์เป็รการใหญ่อีครั้งหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการบรรจุเนื้อดินจากสังเวชนียสถานสี่แห่ง
จากประเทศอินเดีย ซึ่งทางอาศรมวัฒนธรรมไทย - ภารตมอบให้ และทางกรมศิลปากรได้มอบดวงพระชาดาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้บรรจุในพระเจดีย์พระธาตุมงคลนี้ได้กระทำพิธีบรรจุ เมือปี พ.ศ.๒๔๙๖
วัดแสงสว่างได้ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗
วัดท้าวอู่ทอง
วัดท้าวอู่ทอง ตั้งอยู่ในเขตตำบลโคกไม้ลาย อำเภอเมือง ฯ ประวัติของวัดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
มีแต่เรื่องเล่าสืบกันมาว่า วัดท้าวอู่ทองสร้างเมื่อ ประมาณ พ.ศ.๒๐๐๐ โดยราษฏรที่อพยบหนีโรคอหิวาห์มาจากเมืองอู่ทอง
ในการสร้างวัดแห่งนี้ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ได้สละพระราชทรัพย์
ในการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก ราษฏรจึงตั้งชื่อตามพระนามของพระองค์ เพื่อเป็นการเทิดทูน
และเฉลิมพระเกียรติ
ในเขตวัดท้าวอู่ทอง มีโบราณสถานที่สำคัญคือ มณฑปวัดท้าวอู่ทอง ลักษณะของมณฑปเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม
ตัวอาคารเป็นคอนกรีต คล้ายศิลปตะวันตก ขนาดตัวอาคารวัดโดยรอได้ ๑๓๐ เมตร สูง
๑๐ เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๓ ภายในอาคารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปรางสมาธิสี่องค์
สูง ๖ - ๘ เมตร มีพุทธลักษณะงดงาม ประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์เข้าหากัน ดูเด่นและสง่ามาก
วัดพระแก้วพิจิตร
วัดพระแก้วพิจิตร ตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำปราจีนบุรี ในเขตตำบลบางบริบูรณ์
อำเภอเมือง ฯ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๒ มีพระอุโบสถงามด้วยศิลปแบบไทยผสมผสาน
กับแบบจีน ยุโรป และเขมร ซึ่งเป็นเอกลักษณะพิเศษ ภายในจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามมาก
อุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ขนาดห้าห้อง มีเฉลียงรอบกว้าง ๑๗ เมตร ยาว ๒๑.๓๐
เมตร ตัวอาคารวัดจากผนังกว้าง ๑๐.๕๐ เมตร ยา ๑๖๕๐ เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
มีกำแพงแก้วล้อมรอบ บนกำแพงมีลายดอกไม้ ในวงกลตรงกลางผนังทุกห้อง เสากำแพงแก้วมีหัวเสาเป็นแท่นตั้งกระถางต้นไม้
ที่กึ่งกลางแนวกำแพงแต่ละด้าน มีซุ้มประตูเป็นชั้น ๆ ประดับปูนปั้นลายหน้าสิงห์
ลายดอกไม้และนาฬิกา ระหว่างกำแพงแก้วและอุโบสถ เป็นลานประทักษิณ มีซุ้มใบเสมาทรงมณฑปอยู่ในระยะ
พระอุโบสถหลังนี้จำลองแบบมาจากวัดพระเจ้าช้างเผือก ที่เมืองพระตะบอง ในกัมพูชา
คือ หลังคามุงกระเบื้อง มีมุขประเจิดทั้งหน้าและหลัง ถัดลงมาเป็นหลังคาเฉียงรอบสองชั้น
ที่สันหลังคาประดับราลี และช่อฟ้า หน้าบันปูนปั้นเขียนสีเป็นรูปวิมาณพระอินทร์
ตอนล่างของหน้าบันเป็นลายกระจังฐานพระ มีสาหร่ายรวงผึ้ง หลังเสามุขประเจิด
ประดับปูนปั้นป็นตัวมกร
ฝาผนังอุโบสถฉาบปูน ตอนบนเขียนภาพปูนปั้นเป็นลายเครื่องแขวนสลับภาพบุคคลครึ่งตัว
ลักษณะคล้ายชาวตะวันตก หน้าต่างที่ฝาผนังด้านข้าง มีข้างละห้าช่อง ประตูด้านหน้าและด้านหลังมีช่องประตูข้างละสองช่อง
มีบันไดขึ้นจากเฉลียงตรงกลาง ระหว่างช่องประตูมีปูนปั้นภาพเรื่องรามเกียร์ติ
ซุ้มประตูและหน้าต่างทำลายปูนปั้นเป็นลายก้านขด มีเศรียรนาคประดับใต้ช่องหน้าต่าง
ทำเป็นลายฉลุ
เฉลียงรอบพระอุโบสถ มีเสานาคเรียงรับหลังคา เป็นเสากลม ห้วเสาแบบใบผักกาด
หรือโครินเธียนตามแบบซิลปะตะวันตก ประดับเทพนม ฐานเสาประดับลายปูนปั้นรูปม้า
พื้นเฉลียงปูด้วยกระเบื้องเคลือบสี
ผนังด้านในเดิมมีภาพจิตรกรรมแผ่นผ้าติดกรอนประดับอยู่ แต่ถูกโจรกรรมไปหมด
ผนังตอนบนเป็นภาพจิตรกรรมปูนเปียกเป็นภาพริ้วชายผ้ารอบผนังทั้งสี่ด้าน เพดานอุโบสถเป็นสีขาว
มีลายดาวทองตรงกลาง และที่มุมเป็นลายพุ่ม
ภาพในพระอุโบสถมีเสาแปดต้น เป็นเสากลมเซาะร่องเป็นริ้วยาวตลอด เสาทาสีแดง
ร่องริ้วเสาทางสีทอง หัวเสาเป็นแบบใบผักกาด หรือโครินเธียนเช่นเดียวกับภายนอก
ฐานเสาเป็นลายรูปม้าด้านละตัว บานประตูหน้าต่างด้านในเขียนภาพสีน้ำมัน รูปช่อดอกไม้
พระอุโบสถวัดแก้วพิจิตร นับว่าเป็นผลงานความคิดสร้างสรรค์อันล้ำค่าในเชิงช่างที่ผสมผสาน
มีจุดเด่นของศิลปะทั้งสี่ชาติรวมไว้ในพระอุโบสถหลังนี้ ซึ่งกล่าวได้ว่า มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
กล่าวคือ กำแพงแก้วที่ล้อมตัวพระอุโบสถ มีการทำซุ้มประตูทางเข้าเป็นชั้น ๆ
ประดับปูนปั้นลายหน้าสิงห์ ลายดอกไม้และนาฬิกา ซึ่งเป็นการเลียนแบบเขมร ตัวพระอุโบสถมีโครงสร้างตามแบบศิลปะไทย
มีช่อฟ้า ในระกา บราลี ส่วนองค์ประกอบการตกแต่งอาคารเป็นแบบตะวันตก คือใช้เสาพระอุโบสถกลมเซาะร่อง
หัวเสาเป็นแบบผักกาด อันเป็นศิลปะแบบโครินเธียน การประดับปูนปั้นเป็นตัวมกรตามแบบศิลปะจีน
|