มรดกทางพุทธศาสนา
พระพุทธบาท
พระพุทธบาท ประดิษฐานอยู่ในมณฑปพระพุทธบาท ในวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ตำบลโขลน
อำเภอพระพุทธบาท
พระพุทธบาทแห่งนี้ได้ถูกค้นพบในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.๒๑๕๓ - ๒๑๗๑)
ครั้งนั้นมีพระสงฆ์ไทยจำนวนหนึ่งจาริกไปยังลังกาทวีป เพื่อนมัสการรอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฎ
ภิกษุลังกาจึงถามว่า รอยพระพุทธบาทซึ่งประดิษฐานอยู่ที่เขาสุวรรณบรรพต ก็มีอยู่ที่ประเทศไทย
เหตุใดจึงไม่ไปนมัสการต้องดั้นด้นมานมัสการถึงลังกา เมื่อพระสงฆ์ไทยดังกล่าวกลับมา
ก็ได้นำความนี้กราบทูลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระองค์จึงโปรดเกล้า ฯ ให้มีตราสั่งไปยังหัวเมืองต่าง
ๆ ให้ตรวจหารอยพระพุทธบาท
ครั้งนั้น เจ้าเมืองสระบุรีสืบได้ความจากพรานบุญว่า ครั้งหนึ่งได้ไล่เนื้อในป่าใกล้เชิงเขา
ได้ยิงเนื้อตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บแล้วหนีไปบนไหล่เขา เวลาต่อมาก็เห็นเนื้อตัวนั้นวิ่งออกมาในสภาพปกติ
พรานบุญสงสัยจึงขึ้นไปดูบนไหล่เขา ก็เห็นมีรอยอยู่ในศิลาเหมือนรูปรอยเท้าคน
ขนาดยาวศอกเศษและมีน้ำขังอยู่ ก็สำคัญว่าเนื้อคงหายบาดแผลเพราะกินน้ำในนั้น
จึงลองนำน้ำนั้นมาทาตัวดูบรรดากลากเกลื้อนที่เป็นอยู่ช้านานก็หายไปหมด
เจ้าเมืองสระบุรีไปตรวจดู เห็นมีรอยอยู่จริงจึงทำใบบอกเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมได้เสด็จไปทอดพระเนตร แล้วมีพระราชดำริว่า คงเป็นรอยพระพุทธบาทตามที่ทางภิกษุลังกาบอกมาเป็นแน่
ก็ทรงพระโสมนัสศรัทธาจึงโปรดให้สร้างเป็นมหาเจดียสถาน มีมณฑปสวมรอยพระพุทธบาท
และสร้างศาลาสังฆาราม ที่พระสงฆ์อยู่อภิบาล สร้างพระราชนิเวศน์ที่เชิงเขาพระพุทธบาท
กับที่ท่าเจ้าสนุก สำหรับประทับเวลาเสด็จไปนมัสการ แล้วโปรดให้ช่างฝรั่ง (ฮอลันดา)
ส่องกล้องทำถนนตั้งแต่ท่าเรือไปถึงเขาสุวรรณบรรพต เพื่อให้มหาชนเดินทางไปนมัสการได้สะดวก
และทรงอุทิศพื้นที่โดยรอบพระพุทธบาท เป็นระยะทางหนึ่งโยชน์ ถวายเป็นพุทธบูชากัลปนาผล
พร้อมทั้งโปรด ฯ ให้ชายฉกรรจ์ที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในเขตที่ที่ทรงอุทิศนั้นพ้นจากหน้าที่ราชการอื่น
จัดให้เป็นขุนโขลนข้าพระ ปฏิบัติรักษาพระพุทธบาทอย่างเดียว
จากนั้นก็เกิดมีประเพณีเทศกาลไปนมัสการพระพุทธบาทในกลางเดือนสาม และกลางเดือนสี่
พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาเสด็จไปนมัสการ ครั้งที่สมเด็จพระนารายณ์ เสด็จไปนมัสการนั้นได้จัดกระบวนเสด็จมโหฬารมาก
โดยจัดเป็นกระบวนพยุหยาตราช้างกระบวนเพชรพวง เป็นกระบวนทางสถลมารคที่ยิ่งใหญ่
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้ปฏิสังขรณ์พระมณฑป เมื่อปี
พ.ศ.๒๓๓๐ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงมีพระราชศรัทธาแรงกล้า
ถึงกับทรงแบกตัวลำยองเครื่องบนตัวหนึ่ง เสด็จพระราชดำเนินตั้งแต่ท่าเรือไปจนถึงพระพุทธบาท
มณฑปพระพุทธบาท
เป็นอาคารมีฐานสี่เหลี่ยม เครื่องยอดเป็นปราสาท รูปทรงแบบบุษบกแต่เป็นขนาดใหญ่
หรือทรงเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองผายออก มณฑปที่เก่าแก่ที่สุดอยู่บนยอดเขาพระพุทธฉายในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
ตัวมณฑปและยอดก่ออิฐถือปูนตลอด มีทางเข้าคูหาทางเดียวคือทางด้านทิศตะวันออก
แม้จะมีการบูรณะต่อมาหลายครั้งก็ยังคงรูปแบบเดิมไว้
มณฑปแรกสุดที่สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทรงสร้างไว้เมื่อครั้งเสด็จมานมัสการพระพุทธบาทครั้งแรก
ได้สร้างมณฑปยอดเดียวสวมรอยพระพุทธบาทไว้ แต่ไม่เหลือให้เห็นถึงปัจจุบัน เพราะได้มีการซ่อมสร้างสือบต่อมาอีกหลายครั้งกล่าวคือ
ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชรที่ ๘ หรือสมเด็จพระเจ้าเสือ (พ.ศ.๒๒๔๖ - ๒๒๕๑)
ได้ทรงเปลี่ยนเครื่องบนมณฑปเป็นห้ายอด ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
(พ.ศ.๒๒๕๑ - ๒๒๗๕) โปรด ฯ ให้เอากระจกบานใหญ่ ประดับฝาผนังข้างในพระมณฑป และปั้นลายปิดทองประกอบตามแนวที่ต่อกระจก
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.๒๒๗๕ - ๒๓๐๑) โปรด ฯ ให้สร้างบานประตูมุก เปลี่ยนบานประตูมณฑปเดิมทั้ง ๘ บาน
ปัจจุบันประตูพระมณฑปเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ นอกจากนั้นยังให้แผ่แผ่นเงินปูลาดพื้นภายในพระมณฑปอีกด้วย
ในปี พ.ศ.๒๓๐๙ เมื่อพม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์
หรือพระเจ้าเอกทัศน์ (พ.ศ.๒๓๐๑ - ๒๓๑๐) พวกจีนอาสาซึ่งตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลคลองสวนพลู
จำนวน ๓๐๐ คน ได้ขึ้นไปยังพระพุทธบาทแล้วลอกทองคำที่หุ้มพระมณฑปน้อย แล้วเผาพระมณฑปเสีย
พระมณฑปถูกทิ้งร้างอยู่ ๒๐ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงได้โปรดเกล้า
ฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๓๐ ทำเป็นมณฑปยอดเดียว อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไฟเทียนบูชาได้ลามไหม้ม่านทองที่ปิดพระมณฑปน้อย
แล้วลามไหม้พระมณฑปน้อยทั้งหมด พระองค์จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระมณฑปน้อยขึ้นใหม่
พร้อมกับปฏิสังขรณ์พระมณฑปใหญ่ ปิดทองผนังพระมณฑป ซึ่งล่องชาดไว้ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
ฯ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตกแต่งพระมณฑปใหญ่และพระมณฑปน้อยให้งดงามยิ่งขึ้น ทรงเปลี่ยนแผ่นเงินปูพื้นพระมณฑปเป็นเสื่อเงิน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ซ่อมผนังข้างในพระมณฑป
เขียนเป็นลายทอง ส่วนบันไดนาคทางขึ้นพระมณฑปนั้น เดิมมีสองสาย โปรดเกล้า ฯ
ให้สร้างเติมอีกสายหนึ่งเป็นสามสาย แล้วหล่อศีรษะนาค ด้วยทองสำริดไว้ที่เชิงบันได
ในตอนปลายรัชสมัยของพระองค์ เครื่องพระมณฑปที่เป็นไม้ชำรุดมากต้องรื้อของเดิมออก
แล้วสร้างใหม่ทั้งหมด แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระจุลมงกุฎเหนือพุ่มข้าวบิณฑ์ยอดพระมณฑป
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างเครื่องสูงประดิษฐานไว้ในพระมณฑป
เพื่อถวายเป็นเครื่องพุทธบูชาด้วย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เปลี่ยนยอดพระมณฑป ซึ่งเดิมทำด้วยเครื่องไม้เป็นคอนกรีตทั้งหมด
เขียนลายทองรูปพระเกี้ยวข้างในพระมณฑป เขียนรูปเสี้ยวกางที่หลังบานประตูพระมณฑป
ซ่อมดาวที่เพดาน และประดับกระจกที่พระมณฑปน้อย
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพระราชพิธี
ยกพระจุลมงกุฎยอดพระมณฑป
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ ได้มีการซ่อมพระมณฑป เพื่อแก้ไขสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรม เป็นการเฉลิมพระเกียรติถวานพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เสด็จครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
พระมณฑปพระพุทธบาทปัจจุบันประกอบด้วย เครื่องยอดรูปมณฑปเจ็ดชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสีเขียว
มีซุ่มบันแถลงประดับทุกชั้น มีเสาหานย่อมุมไม้สิบสอง ปิดทองประดับกระจกโดยรอบ
ที่ปลายเสาประดิษฐ์เป็นบัวจงกล และบัวคอเสื้องดงามมาก ฝาผนังด้านนอกประดับด้วยทองแดง
และลวดลายเทพพนมบนกระจกสีน้ำเงิน มีพุ่มข้าวบิณฑ์ที่ยอดพระมณฑป ที่ชายคามีกระดิ่งใบโพธิ์ห้อยประดับเรียงราย
ซุ้มประตูพระมณฑปเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ บานประตูพระมณฑป เป็นงานศิลปกรรมประดับมุกชั้นเยี่ยมของประเทศไทย
ด้านนอกประดับเป็นลวดลายพระนารายณ์ทรงครุฑ พระพรหมทรงหงส์ พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
และลวดลายกนกต่าง ๆ งดงามมาก ด้านหลังบานประตูพระมณฑปปิดทองล่องชาดเป็นรูปท้าวจตุโลกบาล
ที่ผนังด้านในเป็นรูปพระเกี้ยว
พระพุทธฉาย
พระพุทธฉาย ตั้งอยู่ที่หน้าผาของภูเขาลูกหนึ่งในเขตตำบลหนองปลาไหล อำเภอเมือง
ฯ อยู่ห่างจากถนนพหลโยธินไปทางทิศตะวันออก ตามถนนหมายเลข ๓๐๒๔ ประมาณ ๕ กิโลเมตร
มีตำนานเล่าสืบกันมาว่า ครั้งหนึ่งพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาโปรดฆาฎกพรานที่ภูเขาลูกนี้
ให้ดำรงตนอยู่ในสัมมาชีพ เมื่อพระพุทธองค์จะเสด็จกลับฆาฎก ทราบได้กราบทูลขอเจดีย์สถานไว้เป็นที่ระลึก
พระพุทธองค์ทรงกระทำพุทธปาฎิหารย์ให้พระฉายาของพระพุทธองค์ ปรากฎอยู่ที่หน้าผาของภูเขาดังกล่าว
การพบพระพุทธฉาย สันนิษฐานว่า พบในสมัยอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
(พ.ศ.๒๑๕๓ - ๒๑๗๑) พระองค์ได้ทรงสร้างพระมณฑปครอบพระพุทธฉายไว้
ในปี พ.ศ.๒๒๔๘ สมเด็จพระเจ้าเสือ ได้เสด็จมานมัสการพระพุทธบาท ทรงพักอยู่เจ็ดวันแล้วเสด็จมานมัสการพระพุทธฉายอีกสามวัน
ในปี พ.ศ.๒๓๐๘ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ได้เสด็จมานมัสการพระพุทธฉาย ทรงพักแรมอยู่สองวันจึงได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เสด็จมานมัสการ
และทรงบูรรณะพระพุทธฉาย ทรงสร้างมณฑปขึ้นใหม่แทนมณฑปเดิม เป็นมณฑปสองยอด ทรงปฎิสังขรณ์เสนาสนะสงฆ์และปฎิสังขรณ์มณฑปครอบรอบพระพุทธบาทจำลองบนภูเขาด้านตะวันออก
พระพุทธฉายเป็นที่เคารพบูชาของชนทั่วไป จะมีงานเทศกาลนมัสการพระพุทธฉาย พร้อมกับงานเทศกาลนมัสการพระพุทธบาทเป็นประจำทุกปี
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ
เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นธงชัยสักการะบูชาของชาวไทยทั้งสี่ทิศ
กรมการรักษาดินแดนได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้สร้างขึ้นสี่องค์ เมื่อปี
พ.ศ.๒๕๐๙ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ๔๙ นิ้ว โปรดเกล้า ฯ ให้นำไปประดิษฐานไว้ตามทิศทั้งสี่
ณ จังหวัดต่าง ๆ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ คือ
ทิศเหนือ
ประดิษฐานที่จังหวัดลำปาง
ทิศตะวันออก ประดิษฐานที่จังหวัดสระบุรี
ทิศใต้
ประดิษฐานที่จังหวัดพัทลุง
ทิศตะวันตก ประดิษฐานที่จังหวัดราชบุรี
พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศที่จังหวัดสระบุรี ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารจตุรทิศ
ในบริเวณวัดศาลาแดงตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดสระบุรี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕
หลวงพ่อศรีพุทธมงคล (หลวงพ่อดำ)
ประดิษฐานอยู่ที่วัดสูง ในเขตตำบลเสาไห้ อำเภอเสาไห้ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ทำด้วยหินทราย จัดเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย
|