มรดกทางวัฒนธรรม
โบราณสถานและโบราณวัตถุ
ในเขตจังหวัดอุทัยธานี เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
มาจนถึงปัจจุบัน ได้พบโบราณวัตถุที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้ประเภทต่าง ๆ ของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย
โบราณวัตถุที่พบทำจากอิฐ หิน ดินเผา โลหะ ฯลฯ ได้แก่ เครื่องมือหินต่าง ๆ
เครื่องประดับ เครื่องปั้นดินเผา อาวุธที่ทำจากโลหะเป็นต้น
สำหรับโบราณสถานมีทั้งสมัยก่อนประวติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ พอประมวลได้ดังนี้
แหล่งโบราณคดี
มีอยู่สองแหล่งด้วยกันคือ
แหล่งโบราณคดีราปลาร้าหรือเขาปลาร้า
อยู่ที่บ้านชายเขา ตำบลป่าอ้อ อำเภอลานสัก เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์
มีอายุอยู่ประมาณ ๕,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ภาพเขียนสีที่เพิงผาภูปลาร้า แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ในชุมชนบริเวณนี้ว่าเป็นชุมชนสังคมเกษตรกรรม
ที่มีแบบแผนและพิธีกรรม ภาพที่พบได้แก่ภาพสัตว์เลี้ยง ภาพคนจูงวัว และภาพขบวนแห่เป็นต้น
![](uthaithani24.jpg)
แหล่งโบราณคดีบ้านลาดหลุมเข้า
อยู่ที่บ้านลาดหลุมเข้า อำเภอหนองขาหย่าง มีลักษณะเป็นเนินรูปยาว ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
- ทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีแนวลำห้วยหลุมเข้าเป็นขอบเขตด้านเหนือ
จากการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่า แหล่งโบราณคดีแหล่งนี้มีมนุษย์อาศัยอย่างน้อยสองสมัยคือ
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
พบภาชนะดินเผาแบบต่าง ๆ เช่นลายเชือกทาบ ขัดมัน ปั้นดินมาต่อเติม เครื่องประดับ
ลูกปัดแก้ว และลูกปัดหินสีต่าง ๆ เครื่องมือเหล็ก ขวานหินขัด ขวดดินเผา โครงกระดูก
มนุษย์จำนวนมาก เครื่องมือจากกระดูกสัตว์ ลูกกระสุนดินเผา รูปปั้นตุ๊กตาดินเผา
กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า แหวน ลูกกระพรวนสำริด และตะกรัมจากการถลุงโลหะ
สมัยประวัติศาสตร์
พบภาชนะดินเผาลายกดประทับ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิงและสมัยราชวงศ์ชิง
โบราณสถานสมัยประวัติศาสตร์
พบเมืองโบราณอยู่หลายเมืองด้วยกันคือ
![](uthaithani25.jpg)
เมืองโบราณการุ้ง
อยู่ในตำบลวังหิน อำเภอบ้านไร่ พื้นที่เป็นที่ราบ ตัวเมืองเป็นรูปวงรี เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
๘๐๐ เมตร คูเมืองชั้นเดียว กว้างประมาณ ๒๐ เมตร ลึกประมาณ ๓ เมตร คันดินกว้างประมาณ
๖ เมตร สูงจากระดับพื้นดินภายในเมืองประมาณ ๑ เมตร
![](uthaithani26.jpg)
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบ ได้แก่ ระฆังหิน สระน้ำโบราณ พระพุทธรูป เทวรูป ขวานหิน
เครื่องประดับ เรือขุดโบราณทำจากไม้ทั้งต้น เศษภาชนะดินเผา และซากเจดีย์ อยู่ทางทิศใต้ของตัวเมืองห่างออกไปประมาณ
๓ กิโลเมตร เป็นเจดีย์ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่
เมืองโบราณบึงคอกช้าง
อยู่ในตำบลไผ่เขียว อำเภอสว่างอารมณ์ ตัวเมืองโบราณตั้งอยู่ในป่า คูเมืองกว้างประมาณ
๒๐ เมตร เนินดินสูงประมาณ ๗ เมตร มีกำแพงดินล้อมรอบประตูเข้าเมืองทั้งสี่ทิศ
ริมประตูเมืองมีสระน้ำ เฉพาะด้านทิศตะวันออกมีคูน้ำอีกชั้นหนึ่ง สันนิษฐานว่าขุดเพื่อเชื่อมโยงกับลำห้วยทางด้านตะวันออก
เพื่อให้น้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงในคูเมืองและกักเก็บน้ำไว้ใช้
![](uthaithani27.jpg)
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบได้แก่ อิฐขนาดใหญ่ขนาด ๑๘ x ๔๑ x ๙ เซนติเมตร เครื่องปั้นดินเผาประเภทหม้อ
ไหสีดำและสีน้ำตาล ทั้งหนาและบาง เครื่องมือโลหะประเภทใบมีด ใบหอก ทำด้วยเหล็ก
เครื่องประดับ ลูกปัดสีต่าง ๆ ห่วงดีบุก และศิลาจารึกเป็นภาษาปัลลวะสมัยทวารวดี
เมืองโบราณบ้านคูเมือง
อยู่ในตำบลดงขวาง อำเภอหนองขาหย่าง ลักษณะตัวเมืองเป็นรูปวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
๘๐๐ เมตร มีคูน้ำคันดินสองชั้น คันดินครึ่งวงกลม กว้างประมาณ ๒๐ เมตร ขอบคันดินลาดเอียงเป็นท้องกะทะ
คูน้ำตื้นเขิน
![](uthaithani28.jpg)
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบได้แก่ ระฆังหินจำนวนหลายใบ หินบดยา พระพิมพ์ดินเผา
พระพิมพ์เนื้อสำริด แจกันดินเผา ขวานหินขัด เศษเครื่องปั้นดินเผา ตุ๊กตาดินเผา
รูปกวางหมอบเหลียวหลัง และซากเจดีย์
เมืองโบราณบ้านด้าย
อยู่ในตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอเมือง ฯ ลักษณะตัวเมืองเป็นรูปวงรี มีแม่น้ำล้อม
กว้างประมาณ ๒๐ เมตร ยาวประมาณ ๒ กิโลเมตร พื้นที่ภายในคูเมืองประมาณ ๘๐ ไร่
มีคูน้ำคันดินเป็นขอบเขตเมืองโดยรอบ มีสระน้ำโบราณพื้นที่ประมาณ ๑๐๐ ตารางวา
อยู่ในสภาพใช้การได้
ย่านประวัติศาสตร์
มีอยู่แห่งเดียวคือชุมชนชาวจีนบ้านสะแกกรัง
ชุมชนชาวจีนบ้านสะแกกรัง
ชาวอุทัยธานีใช้บ้านสะแกกรังเป็นบ้านท่าสำหรับติดต่อทางน้ำกับเมืองอื่น ๆ
เช่น เมืองนครสวรรค์ และเมืองชัยนาท บ้านสะแกกรังเป็นชุมชนสำคัญตั้งแต่สมัยอยุธยา
จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ในรัชสมัยพระบาสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้มีการอพยพถ่ายเทประชาชนชาวแม่กลอง
หนองหลวง (หมู่บ้านเก่าในเขตอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก) ไปตั้งหลักแหล่งใหม่ที่บ้านแม่กลอง
และบ้านอัมพวา เมืองสมุทรสงคราม
สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ชาวจีนได้พากันอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ทั่วไปในเขตเมืองชัยนาท
เมืองนครสวรรค์ และบ้านสะแกกรัง ทำการเพาะปลูกและแลกเปลี่ยนสินค้า
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปรับปรุงการดูแลชาวจีน
โดยให้มีการแต่งตั้งนายอำเภอจีน
และจางวาง อำเภอจีน
ขึ้นมาดูแลชาวจีนที่อาศัยอยู่ตามเมืองต่าง ๆ แทนที่จะตั้งตำแหน่งนายอำเภอจีน
ให้เป็นขุนนางอยู่ในพระนครอย่างสมัยอยุธยา
หน้าที่นายอำเภอจีนและจางวางจีน ทางราชการแต่งตั้งขึ้น เพื่อช่วยเจ้าเมืองควบคุมดูแลชาวจีน
เดิมชาวจีนที่บ้านสะแกกรัง ขึ้นอยู่กับนายอำเภอจีนเมืองชัยนาท
บ้านสะแกกรัง ถูกตัดเป็นเขตเมืองอุทัยธานี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๑ และถูกยกขึ้นเป็นตัวเมืองอุไทยธานีแทนเมืองอุไทยธานีเก่า
และด้วยเหตุที่มีชาวจีนอพยพเข้ามาอยู่มาก จึงมีการแต่งตั้งปลัดจีนขึ้นมาอีกตำแหน่งหนึ่ง
เพื่อเป็นกลไกควบคุมชาวจีนที่อยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่มีนายอำเภอจีนหลายคน
โดยให้มีปลัดจีนเพื่อเป็นหัวหน้าพวกนายอำเภอจีน โดยปลัดจีนจะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้าเมือง
ปลัดจีนมักได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นหลวง ศักดินา ๖๐๐ - ๘๐๐ ไร่ บางเมืองมีปลัดจีนชั้นพระ
ศักดินา ๖๐๐ - ๑,๐๐๐ ไร่ ตำแหน่งปลัดจีนและนายอำเภอจีนนี้เรียกรวมกันว่า กรมการจีน
แหล่งอุตสาหกรรม
มีอยู่แห่งหนึ่งคือ บ้านท่าซุง
บ้านท่าซุง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ชาวจีนได้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานโรงงานถลุงเหล็กที่บ้านท่าซุง
และเมืองสรรคบุรี สังฆราชปาลเลกัวได้เล่าเรื่องชาวจีนที่บ้านท่าซุง มีความว่า
บ้านท่าซุงเป็นเมืองคนจีนล้วน พวกจีนได้ตั้งโรงต้มกลั่นสุราขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง
กับมีเตาหล่อราว ๑๒ เตา สำหรับหล่อเหล็กซึ่งมีอยู่เป็นอันมากในแถบนั้น เหล็กหล่อที่ได้จากเตาเหล่านี้ไม่เพียงแต่พอใช้ในราชอาณาจักรเท่านั้น
ยังเหลือเป็นสินค้าออกสำคัญอีกด้วย
ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เหล็กเป็นสินค้าออกที่มีมูลค่าอยู่ในอันดับ
๙ ทำรายได้ให้ประเทศสยามประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาทต่อปี ส่วนใหญ่ส่งไปจำหน่ายบริเวณหมู่เกาะมลายู
กัมพูชา และญวน การผลิตอาศัยแรงงานชาวจีนเป็นหลัก ราคาสินค้าอยู่ในเกณฑ์ย่อมเยา
ราคาเหล็กต่อหาบประมาณไม่เกิน ๔ รูปี โรงงานถลุงเหล็กของจีนทำงานกันทั้งกลางวันกลางคืน
มีคนงานตั้งแต่ ๕๐๐ - ๖๐๐ คน
![](uthaithani49.jpg)
รูปปั้น อนุสาวรีย์
ได้แก่ อนุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ประดิษฐานอยู่ในพลับพลาจตุรมุขยอดเขาสะแกกรัง
เป็นรูปเหมือนขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริง หล่อด้วยทองเหลือง ฉลองพระองค์ในชุดมหาเสนาบดีเต็มยศ
พระหัตถ์ซ้ายถือพระแสงดาบข้างพระองค์ ด้านขวามีพระมาลาเส้าสูง ปีกกว้าง วางอยู่บนพาน
ประทับนั่งบนพระแท่นสี่เหลี่ยม
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เสด็จเป็นประธานในพิธีประดิษฐาน
และสมโภชพระบรมรูป เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒
สิ่งสำคัญคู่บ้านคู่เมือง
มณฑปบนยอดเขาสะแกกรัง
ชาวเมืองอุทัยธานีสมัยโบราณมีความเชื่อว่า เขาสะแกกรังมีลักษณะเหมือนมังกรนอนหมอบเฝ้าเมืองอุทัยธานีอยู่
เมื่อมังกรพิโรธจะพ่นไฟเผาบ้านเมือง การสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาตรงหัวมังกรนั้น
เพื่อเป็นการสะกดมิให้มังกรลุกขึ้นมาพ่นไฟได้ จึงได้สร้างมณฑปขึ้นบนยอดเขาแห่งนั้น
ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาที่ชาวอุทัยธานีเคารพบูชา
![](uthaithani30.jpg)
ศาลหลักเมือง
ที่ตั้งตัวจังหวัดอุทัยธานีในปัจจุบันเดิมไม่มีหลักเมือง ต่อมาจึงได้มีการสร้างศาลหลักเมือง
ขึ้นที่หน้าศาลากลางจังหวัด หลักเมืองเก่าแก่อยู่ที่อำเภอหนองฉาง
![](uthaithani31.jpg)
พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์
มีประวัติว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้นำพระพุทธรูปขนาดย่อมและชำรุด
ซึ่งรวมพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ด้วยไปไว้ตามหัวเมืองต่าง ๆ พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วิหารวัดขวิด
เป็นพระพุทธรูปเนื้อสำริด ปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๓ ศอก
ต่อมาเมื่อย้ายวัดขวิดไปรวมกับวัดทุ่งแก้ว จึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้
ไปประดิษฐานที่วัดสังกัสรัตนคีรี และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้เบื้องพระเศียร
พร้อมกับถวายพระนามว่า พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ มีการจัดงานสมโภชเป็นประจำทุกปี
![](uthaithani32.jpg)
พระแสงราชศัสตรา
จังหวัดอุทัยธานีได้รับพระราชทานพระแสงราชศัสตรา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๔ ลักษณธพระแสงราชศัสตราเป็นดาบแบบไทย
ด้ามทำด้วยทอง ยาว ๑๐๘ เซนติเมตร ด้ามยาว ๓๓ เซนติเมตร ฝักยาว ๗๕ เซนติเมตร
ใบพระแสงยาว ๖๗ เซนติเมตร กว้าง ๔ เซนติเมตร ใบพระแสงด้านซ้ายจารึกว่า พระะแสงสำหรับเมืองอุไทยธานี
|