ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ต่อไป "แล้วจะเป็นไปได้
ไหมครับที่บางตำนานเขียนไว้ว่า เทพเจ้ารบกัน หรือทำสงครามกัน
หลวงปู่ตอบว่า "เป็นไปไม่ได้
พอไปถึงที่นั่นแล้วจิตใจเปลี่ยนหมด มีแต่ความซาบซึ้งและอ่อนโยน
แถมยัง มีอานิสงส์แห่งการทำความดีประจักษ์ชัดเจนจนไม่มีข้อสงสัย
จะสามารถทำลงได้อย่างไร ผมเข้าใจว่าไม่มีทาง เพราะหิริและโอตตัปปะ
มีประจำอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นทีท่านว่า หิริและโอตตัปปะ เป็นเทวธรรม
คือเป็นธรรมของเทวดา หรือของเทพเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง
และถ้าใครมีธรรมสองอย่างนี้อยู่ในใจจนตลอดชีวิตแล้ว เมื่อตายแล้วมี
หวังได้เป็นเทพเจ้าเสวยทิพย์สมบัติอยู่บนสรวงสวรรค์แน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย
"
ข้าพเจ้ากราบเรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า "เท่าที่หลวง ปู่ได้เที่ยวชมอูย่บนโลกทิพย์นั้น
ได้สังเกตเห็นอะไรบ้างที่ ต่างจากโลกมนุษย์ของเรา" หลวงปู่ตอบว่า
''มีมากจนไม่ สามารถจะนำมาเล่าให้หมดทุกอย่างได้แต่ผมจะเล่าคร่าวๆ
ให้ฟังในสิ่งที่จำได้ และเห็นชัด มีดังนี้. "
ในเบื้องต้นที่เราเหยียบย่างเข้าไป จะเห็นต้นไม้เป็น
ระเบียบเรียบร้อยและสูงมากสม่ำเสมอกันจริงๆ แม้แต่หญ้า
ที่เราเหยียบไปก็มีความสม่ำเสมอกันหมด ไม่มีสูงๆ ต่ำๆ ส่วน
ข้างบนต้นไม้จะมีกิ่งก้านเข้าประสานกัน ทำให้เกิดความร่มรี่น
และสวยงาม..
พอไปถึงแต่ละบ้าน เจ้าของบ้านเขาออกมาต้อนรับ
ด้วยไมตรีจิตอันดีงามจริงๆ เป็นให้เข้าไปในบ้านเขาด้วยความพอใจ
พูดถึงการต้อนรับ จะไม่มีที่ไหนในเมืองมนุษย์เราเสมอเหมือน
แต่ก็น่าแปลกใจว่า ทำไมเทพเจ้าที่มาต้อนรับเราจึงไม่
ปรากฏว่ามีลูกเล็กเด็กแดงอุ้มกันกระจองอแงเหมือนโลกมนุษย์เราเลย
มีแต่คนโตๆ เท่านั้น และเวลาทำการปฏิสันถารกับผมนั้น
ก็ไม่ปรากฏว่ามีอะไรมาต้อนรับ เช่น ข้าวปลาอาหาร น้ำร้อนน้ำเย็น
เป็นต้น ส่วนการมาของเทพเจ้า และการไปของผม
ซึ่งเขาพาไปชมในที่ต่างๆ ก็ดี ก็ไม่ปรากฏว่าม อะไรเป็นยาน
พาหนะขี่ไปเลยแม้แต่อย่างเดียว
พอตกลงใจว่าจะไปที่ไหนก็ปรากฏว่าถึงที่ทันที
และเวลาเขาพาเที่ยวชมในสถานที่ต่างๆ อยู่นั้น เท่าที่ผมสังเกตดู
แต่ละบ้านไม่ปรากฏว่ามีโรงครัวเลย แม้แต่หลังเดียว
ตลอดทั้งห้องน้ำห้องส้วมก็ไม่มี เทพเจ้าที่มา ต้อนรับทั้งหมด
ก็ไม่เห็นว่ามีท่าทีว่าจะปวดหนักปวดเบา
แม้แต่จะเอาของมารับประทานก็ไม่มี ผมเองก็เหมือนกัน
เพราะต่างก็มีความเอิบอิ่มและเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น
ไม่เคยรู้สึกว่าหิว อะไร นีก็แสดงให้เห็นว่า
โลกทิพย์เขาอยู่กันด้วยความอิ่ม คือ
"..อิ่มบุญกุศล "
ผมสังเกตดูหลายอย่าง เช่น ภายในบ้านแต่ละหลังเท่าที่
ผมเห็นมาไม่ปรากฏว่ามีผ้าผ่อนท่อนสไบหรือเครี่องประดับประดาอาภรณ์ต่างๆ
ตากเกะกะรุงรงไม่มีเลย ในห้องจะเห็นเป็นห้องโถงโล่งโปร่ง
มีลวดลายวิจิตรพิสดารสวยสดงดงามมาก ผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนในเมีองมนุษย์เราจะเปรียบปาน
เครื่องประดับในที่นี้หมายถึงเครื่องประดับปราสาท ไม่ใช่
เครื่องประดับของเทพเจ้าอย่างที่เขียนเรื่องเทวดา
ว่าเทวดาใส่ชฎาหัวแหลมๆ อันนีก็ไม่เห็นมีเหมีอนกัน
ผมเสียดายที่ผมไม่ใช่นักวาดเขียน ถ้าผมเป็นนักวาดเขียน
ผมจะวาดให้ดู ลักษณะของเทพเจ้าที่ผมเห็นมา
แต่ก็น่าเสียใจอยู่อย่างหนึ่ง เท่าที่ผม
สังเกตดูเทพเจ้ามีความยิ่งใหญ่ไม่สม่ำเสมอกัน ผมมองๆ ดูเทพ
เจ้าบางองค์รู้สึกว่ามีความยิ่งใหญ่มาก มีบริษัทบริวาร ตลอด
ถึงปราสาทที่อยู่อาศัยจะมีเครี่องประดับบารมีมากมายจนบอก
ไม่ถูกว่ามีอะไรต่ออะไรบ้าง ตรงนี้แหละผมนึกน้อยใจตัวเอง
เมื่อมองดูปราสาทของตัวเองแล้วสู้ของเขาไม่ได้ ยิ่งบางองค์
แล้วคล้ายๆ กับจะเป็นเทพเจ้าคนใช้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถึงแม้
จะเป็นเทพเจ้าระดับคนใช้ก็ยังดีกว่าการเป็นพระราชาในเมืองมนุษย์เลยอีก
แต่พระเจ้าจักรพรรดินั้นผมไม่เคยเห็น จึงไม่สามารถเอามาเทียบได้
ที่ผมว่าเทพเจ้าคนใช้ในโลกทิพย์ยังดีกว่าพระราชาในเมีองมนุษย์
หมายความว่าโลกทิพย์เขาไม่ได้ทำอะไร
ต่างองค์ต่างก็อิ่มในบุญกุศลของตนอยู่ตลอดเวลา เรื่องอิจฉาตาร้อน
และกลั่นแกล้ง พยาบาทอาฆาต จองเวรกัน รบราฆ่าฟันกัน
เพี่อแย่งดีชิงเด่นกันเป็นต้น จะไม่มีอยู่ในโลก ทิพย์นั้นเลย...
สรุปแล้วเรื่องที่จะทำให้กันและกันเดือดร้อนนั้นไม่มี
เพราะต่างองค์ต่างก็มีหิริและโอตตัปปะประจำใจอยู่ตลอดเวลา
นี่ผมเอาผมไปเทียบดู เพราะในเวลานั้นจิตผมนิ่มนวลและอ่อนโยนจริงๆ
และซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ว่ามีความซาบซึ้งอย่างไร
เรื่องอายชั่วกลัวบาปไม่ต้องพูดถึง เพราะเห็นผลชัดๆ ถึงขนาดนั้น
จิตจึงยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นผม จึงเข้าใจว่า
เทพเจ้าที่อยู่ในโลกทิพย์คงเหมือนกันทุกองค์...
ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนถามท่านต่อไปอีกว่า เรื่องสวรรค์และนรก
เท่าที่กระผมเคยได้เล่าเรียนศึกษามา
กระผมเข้าใจว่าเรียงกันเป็นชั้น ๆ เหมือนรังต่อ หรือ
เหมือนตึกในทำนองนั้น
หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า "แต่ก่อนผมก็เข้าใจในทำนองนั้น เท่าทีผ่มเคยอ่านตามตำรา
เหมือนว่านรกนั้นอยู่ใต้ดิน เพราะมีคำว่าธรณีสูบพระเทวทัตลงไปอเวจีมหานรก
ที่จริง อันนั้นก็ควรยกให้เป็นเรี่องของตำราไป เพราะว่าผู้แต่งตำรา
ท่านจะตีความหมายแค่ไหน เราไม่ทราบได้ บางทีเราอาจจะตี
ความหมายของผู้แต่งผิดไป" จะอย่างไรก็ตาม
ที่ผมพูดมาทั้งหมดในวันนี้ ไม่ประสงค์จะไปให้ยึดเรื่องตำรา
เพราะตำรามีทั้งผิดมีทั้งถูกเป็นเรื่องธรรมดา
ข้อสำคัญที่สุดคนที่อ่านตำราเป็นเขาไม่ไปยึดเรื่องตำรา
เขาต้องพิจารณาด้วย ปัญญาว่าอะไรดีหรีอไม่ดี อะไรผิดอะไรถูก
อะไรควรละ อะไรควรบำเพ็ญ จะ ควรเชื่อถีอได้แค่ไหนเพียงไรนั้นเป็นเรื่องของเรา
จะต้องกลั่น กรองด้วยปัญญาเสียก่อน
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั้นก็ขอให้ทุก
ท่านทุกคนที่อ่านนี้จงพิจารณาดูว่า มีเหตุผลสมควรเชื่อถือได้หรีอไม่
ควรเชื่อหรีอไม่ควรเชื่อด้วยประการใดนั้น โปรด
พิจารณาด้วยเหตุผลของแต่ละท่านแต่ละคนเอาเองก็แล้วกัน
หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ได้สรุปจบเรื่องการไปสู่โลก
ทิพย์ของท่านลงด้วยความปลื้มปิติของทุกท่าน
ที่ได้ฟังในวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวโลกทิพย์เสียนาน
เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจในเรื่อง
นี้จึงได้นำมาลงไว้ในคราวเดียวกันเสียเลย บัดนี้ก็จะได้พาท่าน
เข้าสู่เรื่องการออกบำเพ็ญกรรมฐานของหลวงปู่สมชาย
ฐิตวิริโยต่อไปใหม่
ภายหลังจากที่ท่านได้หายจากการป่วย
ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว
ท่านก็ยังได้อยู่ประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่สีลา อิสสโร ต่อมาอีก
เพราะว่าหลวงปู่สีลา อิสสโร นั้น
มีข้อวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าเลื่อมใสน่าเคารพกราบไหว้สักการะบูชาเป็นอย่างยิ่ง
เป็นครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ให้ความเคารพรองลงมาจากหลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร เมี่อหลวงปู่สีลา
อิสสโร ไม่สะดวกเรี่องอะไร หรือมีความประสงค์สิ่งใดแล้ว
ถ้าสิ่งนั้นไม่เหลือวิสัย หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย
ท่านจะต้องจัดการสนองเจตนาทุกครั้งไป
มีอยู่คราวหนึ่งซึ่งเป็นฤดูหนาว
ในปีนั้นจังหวัดสกลนครมีความหนาวเย็นมากกว่าทุกปี หลวงปู่ลลา
อิสสโร ได้ ปรารภขึ้นมาว่า " ปีนี้บ้านเราอากาศหนาวมาก ถ้าไม่มีโรง
ไฟบรรเทาความหนาวผมคงจะแย่.. เมื่อทราบความ
ประสงค์ของครูบาอาจารย์แล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้
ชักชวนหลวงปู่หาญ ชุติณธโร และพระภิกษุสามเณรอีกหลาย
องค์ช่วยกันก่อสร้างโรงไฟเพื่อถวายครูบาอาจารย์ทันที มีอยู่
วันหนึ่งหลวงปู่สมชายได้ขึ้นไปตีตะปูเพี่อจะมุงหลังคาโรงไฟนั้น
จะด้วยเหตใดไม่ทราบได้ไม้อันที่ท่านเหยียบอยู่บนนั้นได้หลุดออก
จากกันโดยบังเอิญ จึงเป็นเหตุให้ท่านพลัดตกลงมาจากหลังคาโรงไฟทันที
ร่างหล่นลงมากระแทกกับกองไม้ซึ่งกองระเกะระกะอยู่ข้างล่างนั้นเต็มที่
ถึงขนาดสลบหมดสติไป ขาข้างหนึ่ง กระดกหลดหมนได้รอบ
พระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อหายจากการตกตะลึงแล้ว
ก็ได้ช่วยกันหามหลวงปู่สมชายออกมาทำการปฐมพยาบาลจนรู้สึกตัว
หลวงปู่หาญ ชุติณธโร ได้ไปหาเก็บใบยาสมุนโพรต่างๆ
ซึ่งหาได้ง่ายตามป่านั้นมาทำเป็นยาลูกปะคบและทำเป็นยาย่างสลับกันไป
ในวันหนึ่งหลวงปู่หาญได้ทำยาสมุนไพรแบบย่าง คือเอาใบยาต่างๆ
ที่หามาได้ ปูลงบนเตียงเอาเสื่อปูทับแล้วช่วยกันหามหลวงปู่สมชาย
ฐิตวิริโย นอนทับเสื่อก่อไฟไว้ใต้เตียง โดยให้ความร้อนเผาใบยา
ใบยานั้นก็จะระเหือดไอ ขึ้นสู่ตามตัวของหลวงปู่สมชาย
เป็นการรักษาพยาบาลแบบโบราณและง่ายๆ แต่ได้ผลดีมาก
ได้รักษาแบบปะคบและย่าง
สลับกันอยู่หลายวันอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
วันหนึ่งหลวงปู่หาญ
ได้หามหลวงปู่สมชายขึ้นย่างบนเตียงเหมือนอย่างทุกวันที่เคยทำมาแล้ว
หลวงปู่หาญก็ได้ออกไปช่วยพระเณรก่อสร้างโรงไฟต่อ
เนื่องจากใบยาสมุนไพรนั้น ได้ถูกย่างมาหลายวันแล้วก็แห้งกรอบ
พอถูกไฟในวันนี้เข้าก็เลยกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี
ไฟที่หลวงปู่หาญได้ก่อไว้ใต้เตียงนั้นก็ได้ลุกไหม้ใบยาสมุนไพร
และลุกไหม้เสื่อไหม้เตียงที่หลวง ปู่สมชายนอนย่างอยู่นั้น
จนกระทั่งความร้อนถึงตัว จะลุกขึ้นหนีก็ลุกไม่ได้
เพราะขาที่หลุดยังไม่เข้าที่ ร้องเรียกพระเณรก็ไม่มีใครได้ยิน
เพราะกำลังทำงานกัน ไฟก็ ลุกไหม้แรงขึ้นๆ จนร้อน
ระบมไปทั่วแผ่นหลัง จึงได้ตัดสินใจดิ้นจนตกลงมาจากเตียง
ความสูงของเตียงจากพื้นดินก็สูงพอสมควร คนที่กำลังเจ็บอยู่
แล้วก็ต้องมาเจ็บซ้ำเป็นรอบที่สองอีก
จนกระทั่งพระเณรที่ทำงานอยู่ได้เวลาพัก หลวงปู่หาญจึงได้เดินมาดู
ก็ได้เห็นไฟไหม้เตียงเรียบร้อยไปแล้ว
ภายหลังจากรักษาพยาบาลหายเป็นปกติดีแล้ว
ก็ยังได้บำเพ็ญศึกษาปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติต่อมาอีกนานพอสมควร
แล้วจึงได้กราบลาเพื่อออกหาสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ต่อไป
และในครั้งนั้นหลวงปู่สีลา อิสสโร จึงแนะนำให้ไปพักบำเพ็ญที่
วัดบ้านกุดเรือ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร หลวงปู่สมชาย
ฐิตวิริโยก็ได้ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์ แนะนำ
ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดบ้านกุดเรีอนานพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงโด้กราบลา
หลวงปู่สีลา อิสสโร ออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยัง อำเภอท่าบ่อ
จังหวัดหนองคาย ที่สุดได้ เข้าไปพักบำเพ็ญอยู่ที่วัดพระงามศรีมงคล
ซึ่งมีท่านพระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ เป็นเจ้าอาวาส
เป็นวัดเก่าที่หลวงปู่มั่นภูริทตตเถร เป็นผู้สร้างไว้
ตลอดระยะเวลาการบำเพ็ญก็เป็นไปได้ดี
มากพอสมควรต่อจากนั้นก็ได้ออกเดินทางมุ่งไปทางจังหวัดมุกดาหาร
เพี่อแสวงหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ต่อไป