สังขละบุรี
ความเป็นธรรมชาติยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
สังขละบุรี
เที่ยวได้ทุกฤดู แม้หน้าฝน เช่นที่ผมไปมาล่าสุด
ฝนที่นี่ไม่ตกหนักแต่ตกบ่อย ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
สดชื่นดีเมื่อได้เห็นฝนตกลงบนทุ่งหญ้าหลังต้นไม้ใหญ่ หญ้าสีเขียวกำลังงอกงาม
ฝนตกกระทบพื้นน้ำอยู่ตรงหน้าโดยมีทิวเขาสูงใหญ่สลับเป็นชั้นอยู่สุดสายตา
พร้อมด้วยเมฆลอยต่ำบนยอดเขา บรรยากาศเย็นฉ่ำตอนฝนพรำ นั่งจิบชาหรือกาแฟร้อนๆสักถ้วย
พร้อมหนังสือดีๆสักเล่มนอนเอียงกายบนเก้าอีไม้เอนได้จะดีไม่ใช่น้อย
พอแดดเริ่มส่องลอดใต้ก้อนเมฆ จะได้เห็นวีถีชาวมอญแต่งตัวแบบวัฒนธรรมดั้งเดิม
สาวมอญนุ่งผ้าถุงสวนเสือสีขาวลายดอกเดินไปมาบนสะพานไม้
เรือหางยาวเริ่มออกหาปลา
แพนักท่องเที่ยวเรียงรายริมน้ำ
และเห็นเจดีย์สีเหลืองอร่ามของวัดวังวิเวกการาม์อยู่แต่ไกล
ความรู้สึกแบบนี้หากได้เพลงโปรดมาเปิดเบาๆ
ด้วยละก้อ...ต้องขอหยุดเวลาไว้สักพักใหญ่ๆ
แต่ทว่า
Highlight ของทริปไม่ได้มีอยู่เพียงเท่านี้...คำถามที่มีอยู่ในใจของผมคือ"วัดใต้น้ำ"
หรือ "เมืองบาดาล" อยู่ที่ไหน
ทราบมาตั้งแต่คราวแรกที่มาเยือนแล้วว่าอำเภอสังขละบุรีจริงๆแล้วได้ย้ายขึ้นไปอยู่บนที่สูงหลังจากทางการฯได้ทำเขื่อนเขาแหลม
(ชื่อใหม่ คือ เขื่อนรัชประภา)และกักน้ำ ทำให้ที่ตั้งอำเภอเดิมและวัดวังวิเวกการามจมอยู่ใต้น้ำ
แต่คราวนั้นยังไม่โด่งดังเหมือนปัจจุบัน หลังจากทททได้โปรโมทเป็น Unseen
Thailand
แล้วผู้คนก็หลั่งไหลกันเขามาชมไม่ขาดสาย ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวท้องถิ่น เช่น ที่พัก
เรือหางยาว ขี่ช้าง ล่องแก่ง หรือแม้แต่ร้านขายข้าวแกงในตลาด
เจริญเติบโตขึ้นตามๆกันไป
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ
เจดีย์และวัดวังวิเวกการาม
ซึ่งของเดิมอยู่ในน้ำ แต่ได้สร้างใหม่อยู่บนที่สูงวัดและเจดีย์อยู่ห่างกัน1
กม. ควรเที่ยวทั้งของใหม่และของเดิม เจดีย์เป็นแบบพุทธคยาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
วัดตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอสังขละบุรีประมาณ 3 กม.
มีวิหารริมแม่น้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอ้นงดงามและเป็นที่จำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ"
พระเกจิอาจารย์ชื่อดังซึ่งประชาชนชาวไทย ชาวมอญ
รวมทั้งกระเหรี่ยงและพม่า น่าเสียดายที่ปัจจุบันท่านมรณะภาพไปแล้ว
ส่วนวัดใต้น้ำต้องนั่งเรือไป ค่าโดยสารเหมาลำ 300
บาท ท่านสามารถติดต่อเรือหางยาวได้ทั่วไปริมสะพานไม้มอญ
หรือแพลุงเณร โทร. 034-595360, 09-2212330 บริการดี
แกรับพาเที่ยววัดจมน้ำ ตกปลา แพลาก แพล่อง แพเช่า (ผมเองก็ใช้บริการมาแล้ว)
สามประสบเป็นอีกที่ที่น่าสนใจ คือจุดที่ แม่น้ำ สามสายมาประจบกัน คือ แม่น้ำรันตี
ต้นกำเนิดจากป่าทุ่งใหญ่นเรศวร,
แม่น้ำซองกาเลีย และแม่น้ำบิคลี้ สองแม่น้ำหลังนี้มีต้นกำเนิดจากพม่า
น้ำจะมีสีออกแดง
สะพานไม้มอญ
อยู่ไม่ไกลจากวัดวังก์วิเวการามนัก
จะมีแยกทางเข้าเล็กๆ เข้าได้สองทาง คือทางเลยตลาดมาหน่อยอยู่ขวามือ
(ทางไปสาบประสบรีสอร์ท) อีกทางเลยตัวเมืองเข้าไปนิดนึงเป็นทางลาดชันลงไป
หากได้แวะไปถ่ายภาพสักหน่อยจะดีไม่น้อย
จากบริเวณสะพานจะได้เห็นทิวทัศน์ภูเขาและพื้นน้ำโดยรอบ สวยงามมากทีเดียว
ด่านเจดีย์สามองค์และชายแดนพม่า
ห่างจากตัวเมืองสังขละบุรี
22 กม. เดิมเรียกว่า หินสามกอง
เป็นที่สักการะของคนไทยในสมัยโบราณก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เขตพม่า ต่อมาในปี
2472 พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีของไทย
ได้เป็นผู้น้ำชาวบ้านสร้างเป็นเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์ดังที่เห็นในปัจจุบันนี้
นอกจากนี้บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ยังเป็นช่างทางเดินทัพที่สำคัญของไทยและพม่าในอดีต
ปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมตลาดชายแดนในเขตพม่าได้
โดยเสียค่าผ่านด่านชาวไทย 25 บาท ชาวต่างประเทศ 130
บาท ถ้าเราได้ข้ามไปฝั่งพม่า เลยไปตามทางลูกรัง ประมาณ 4-5
กม. เราจะพบ วัดเสาร้อยต้น ห่างจากชายแดนประมาณ 1
กม.จะมีตลาดของฝาก สินค้าส่วนใหญ่เป็น
ไม้เฟอร์นิเจอร์ เครื่องหวาย ผ้า พลอย ของป่า
แม่น้ำต่างๆ
เช่น
แม่น้ำรันตี แม่น้ำบิคลี้ แม่น้ำซองกาเลีย ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาล่องแก่งที่นี่
น้ำตกตะเคียนทอง น้ำตก
อาหารอร่อย ที่ร้านอาหารพันนที แบบดูดีหน่อย อยู่ริมน้ำ เลยตลาดประมาณ
1.5 กม. หรือร้านข้าวแกง 59
หม้อ อยู่ในตลาด หรือหาทานแถวตลาดก็ได้
ที่พักสังขละบุรี
รีสอร์ทส่วนใหญ่จะอยู่เรียงรายริมน้ำอยู่แล้วในตัวเมืองสังขละบุรี
พรไพลิน ดูหรูที่สุดในขณะนี้เพิ่งสร้างได้ไม่นาน ห้องพักมีสองแบบ
แบบโซนโรงแรม และบังกะโล ห้องมีทีวีระเบียงเห็นวิวน้ำ เข้าทางตลาดสดสังขละบุรีตรงเข้าไปตามป้ายเกือบสุดทาง
มีกิจกรรมล่องแพ และขี่ช้าง
P.Guest House รีสอร์ทบริหารโดยคนพื้นที่
Mr.P เหมาะสำหรับคนที่ชอบความคึกครื้น
มีเพลงร้องคาราโอเกะในยามเย็นถึงค่ำคืน กิจกรรมล่องแก่ง แพ ขี่ช้าง
พันนที รีสอร์ท
บริหารโดยคุรสุพจน์หนุ่มเชื้อสายจีนคนกรุงเทพฯแต่อยู่ประจำที่รีสอร์ได้หลายปี
บริหารแบบโรงแรมขนาดย่อย อาหารอร่อย บริการดี ห้องพักดี
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ สองเลนตลอดถึง อ.ไทรโยค ทางถนนพระบรมราชชนนี
หรือเพชรเกษม
จากตัวเมืองกาญจนบุรี ใช้เส้นทางหลวง 323
สู่ อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ แล้วเลี้ยวขวาไปอำเภอสังขละบุรี ใช้เวลาประมาณ
5 ชั่วโมง
บวกลบนิดหน่อยตามสภาพรถและฝีเท้าในการเหยียบคัน