ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองราชบุรี อยู่ในบริเวณบ้านพักทหารช่างราชบุรี ค่ายภาณุรังษี
ห่างจากตัวเมืองประมาณ 600 เมตร ฝั่งตรงข้ามกับตัวเมืองราชบุรีปัจจุบัน
ลักษณะเด่น
เป็นหลักเมืองเก่าที่สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายเมืองเดิมที่เคยตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกไปตั้งที่ริมแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันออก
เพื่อให้ปลอดภัยจากการรุกราน และป้งอกันข้าศึกได้โดยง่าย
กิจกรรม
เปิดให้ประชาชนเข้าไปสักการะทุกวัน
ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ กรมการทหารช่าง โทร. 0-3233-7388
,
0-3233-7811
การเดินทาง
ห่างจากตัวเมืองประมาณ 600 เมตร ฝั่งตรงข้ามกับตัวเมืองราชบุรี
และอยู่ตรงข้ามกับค่าย
ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองถือได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์คู่บ้านคู่เมือง
ซึ่งชาวจังหวัดราชบุรีเคารพบูชากราบไหวมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ
แต่ก่อนที่จะทราบถึงประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองราชบุรีในสมัยโบราณควบคู่กันไปเนื่องจากมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองด้วย
เมืองราชบุรีในสมัยโบราณ
ได้มีการสร้างและโยกย้ายไปหลายแห่งในอาณาบริเวณไม่สู้ห่างไกลจากกันมากนัก
พื้นแผ่นดินซึ่งที่ตั้งจังหวัดราชบุรีในปัจจุบันนี้
จากหลักฐานทางโบราณวัตถุและโบราณสถานที่ได้ค้นพบ ทำให้เชื่อได้ว่า
มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่มาตั้งแต่ยุคหินกลาง ซึ่มีอายุประมาณ ๑๐,๐๐๐
ปีมาแล้ว แต่หลักฐานเกี่ยวกับการสร้างบ้านแปลงเมืองนั้น
ได้ปรากฏหลักฐานแน่ชัดในสมัยทวารวดี หลังจากที่ได้ค้นพบโบราณสถานสมัยทวารดี
ที่ตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี
แล้วซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าตำบลคูบัวนี้เคยเป็นที่ตั้งเมืองราชบุรีเก่า
ครั้นถึงสมัยลพบุรี เมืองราชบุรีได้ย้ายมาตั้งอยู่บริเวณวัดมหาธาตุ
โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดมหาธาตุหรือมีวัดมหาธาตุเป็นแกนเมือง ตั้งอยู่ ณ
ริมแม่น้ำเฃแม่กลองฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวา) ส่วนนอกเมืองก็จะมีวัดอรัญญิก
ซึ่งบริเวณเมืองราชบุรีในสมัยลพบุรีนี้อยู่ในเขตท้องที่ ตำบลเจดีย์หัก
และตำบลหลุมดิน ส่วนหนึ่งของเนินดิน กำแพงเมืองด้านตะวันออก
ถูกถมทำเป็นถนนสายที่ผ่านไปยังเขางู เมืองราชบุรี
ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดมหาธาตุนั้น
เท่าที่ปรากฏหลักฐานได้ตั้งอยู่เป็นเวลาหลายร้อยปี
นับว่าเป็นเมืองตั้งอยู่ที่เดิมได้นานที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศไทย
มีอายุยืนนานมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระองค์ทรงดำริว่าที่ตั้งเมืองวซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกหรือฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลองเสียเปรียบในเชิงยุทธศาสตร์กับพม่าที่เข้ามารุกรานอยู่เสมอ
จึงได้โปรดเกล้าให้ย้ายเมืองไปตั้งทางฝั่งตะวันออกหรือฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง
เพื่อให้ข้าศึกเข้าถึงตัวเมืองได้ยากขึ้น และมีทางถอยเมื่อเสียเปรียบ
การย้ายเมืองครั้งนี้ได้มีการกำหนดฤกษ์ทำพิธีฝังหลักเมืองด้วย
พิธีการฝังหลักเมือง
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
ในยุคก่อนกรุงรัตนโกสินทร์มิได้มีการกล่าวหรืออ้างอิงในเรื่องของหลักเมืองเลย
จนกระทั่งมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ ๒)
ได้มีการย้ายเมืองราชบุรีตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และปรากฏหลักฐานว่า
ทรงจัดให้มีพิธีฝังหลักเมือง มีการสมโภช ๓ วัน ๓ คืน ตั้งแต่วันอังคาร แรม ๑๓
ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู จุลศักราช ๑๑๗๙ พ.ศ.๒๓๖๐ จนถึงวันพฤหัสบดี แรม ๑๕ ค่ำ เวลา ๗
นาฬิกา ถึงกำหนดฤกษ์ฝังหลักเมือง ซึ่งก็สรุปได้ว่า
หลักเมืองราชบุรีเรียกกันว่าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนั้น
ตั้งขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๒ นั่นเอง
เมื่อฝังหลักเมืองตามตามกำหนดฤกษ์แล้วจึงได้มีการก่อสร้างกำแพงเมืองก่อด้วยอิฐถือปูน
มีใบเสมา มีป้อม ๖ ป้อม มีประตู ๖ ประตู และยังก่อสร้างสิ่งอื่นๆ อีกด้วย
ปัจจุบันศาลเจ้าพ่อหลักเมืองก็ยังคงอยู่ในบริเวณกำแพงเมืองเก่า
ถึงแม้นว่าในในปี พ.ศ.๒๔๔๐ ได้มีการย้ายศาลากลางจังหวัด
ซึ่งเดิมตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง(ในกำแพงเมือง)
มารวมกันกับศาลาว่าการมณฑลฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลองก็ตาม
แต่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๘
ในบริเวณกำแพงเมืองได้เป็นที่ตั้งของกองพลทหารบกที่๔
ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของค่ายทหาร
ค่ายภาณุรังษี
มีกรมการทหารช่าง และจังหวัดทหารบกราชบุรี
เมื่อกรมการทหารช่างตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงเมือง
ซึ่งมีศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอยู่ด้วยก็มีความจำเป็นต้องดูแลและทำนุบำรุงรักษาบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองด้วย
ซึ่งภายหลังทางกรมศิลปากรได้ออกแบสร้างศาลขึ้นมาใหม่ และในปี พ.ศ.๒๕๒๗
กรมการทหารช่างได้ออกแบบและซ่อมปรับปรุงใหม่อย่างสวยงามจนถึงปัจจุบัน
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เมืองราชบุรีนี้เป็นที่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
มีประชาชนไปบูชากราบไหว้อยู่เสมอมิเคยขาด ทางฝ่ายทหาร
และฝ่ายบ้านเมืองจึงได้จัดงานสักการะขึ้น ในเดือนเมษายนเป็นประจำทุกปี
โดยมีความมุ่งหมายให้เป็นงานสมโภชเจ้าพ่อหลักเมืองและเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนโดยทั่วไปได้มาปิดทอง
และสรงน้ำ เมื่อถึงงานสงกรานต์อันเป็นประเพณีไทย
ปัจจุบันกรมการทหารช่างได้จัดเจ้าหน้าที่ของทหารคอยดูแลความสะอาดเรียบร้อยของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
และสร้างศาลาทองขึ้นเพื่อจัดดอกไม้ ธูปเทียน
เอาไว้บริการแก่ประชาชนทั่วไปอีกด้วย
กล่าวโดยสรุป แล้วศาลเจ้าพ่อหลักเมืองได้สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์
(รัชกาลที่ ๒ ) โดยสร้างขึ้นหลังจากที่ย้ายเมืองจากทางฝั่งขวา
(ในบริเวณกำแพงเมือง ) และศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
เมืองราชบุรีนี้ก็ยังคงอยู่ที่ในบริเวณกำแพงเมืองเก่ามาจนถึงทุกวันนี้