หาดสทิงพระ
อยู่ตรงกันข้ามที่ว่าการอำเภอสทิงพระ มีถนนแยกขวาเข้าไปอีก 500 เมตร หาดสทิงพระเป็นชายหาดยาวประมาณ
3 กิโลเมตรในวันหยุดจะมีชาวบ้านละแวกนั้นไปพักผ่อน
ที่ชายหาดไม่มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่มบริการ
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
อุทยานนกน้ำคูขุด
(เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลสาบสงขลา)
ตั้งอยู่ที่บ้านคูขุด หมู่ที่ 4 ตำบลคูขุด อำเภอสทิงพระ ห่างจากที่ว่าการอำเภอสทิงพระเข้าไปทางแยกประมาณ
3 กม. อยู่ทิศเหนือห่างจากสงขลา 32 กม.
ได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ทะเลสาบสงขลา เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2518
และเป็นอุทยานนกน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย มีพื้นที่อยู่ในเขตรับผิดชอบทั้งหมด
227,916 ไร่ (365 ตารางกิโลเมตร) ครอบคลุมพื้นที่ อ.เมืองสงขลา อ.รัตภูมิ อ.สทิงพระ
และกิ่ง อ.กระแสสินธุ์ และพื้นที่ส่วนหนึ่งติดต่อกับ อ.ปากพะยูน จังหวัดพัทลุง
อุทยานนกน้ำเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบสงขลา มีอาหารอุดมสมบูรณ์
จากการสำรวจของกรมป่าไม้พบว่ามีนกชนิดต่างๆ กว่า 112 ชนิด
ซึ่งนกเหล่านี้จะมาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมากในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายน
ที่บริเวณที่ทำการอุทยานมีเรือทัวร์ชมรอบๆ บริเวณอุทยานนกน้ำ ในราคาประมาณ 150
บาท ใช้เวลาเที่ยวชมนกประมาณ 1 ชั่วโมง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลสาบสงขลานี้
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเกาะ คือมีเกาะเล็กเกาะน้อยมากมาย
และหญ้าทะเลขึ้นเขียวขจีเหมือนกับทุ่งหญ้ากลางทะเลซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีทิวทัศน์งดงามมาก
เกาะเหล่านี้บางเกาะอยู่ในพื้นที่ของ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง เช่น เกาะนางคำ
เกาะญวน เกาะเสือ เกาะหมาก และบางเกาะไม่มีคนอาศัยอยู่เลย
แต่ทว่ามีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวกันมาก
เพราะมีบรรยากาศที่ดีเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ อย่างเช่น เกาะบรรทม
เกาะคำเหียง เกาะกระ และเกาะโคบ ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศด้านหนึ่งติดกับทะเลสาบ
อีกด้านเป็นภูเขาเล็กๆ เหมาะแก่การนั่งดูนก เพราะบริเวณนี้มีต้นราโพ
และต้นจากมากจึงเป็นที่อยู่และที่วางไข่ของนกอีโก้ง
วัดจะทิ้งพระ
ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ต.จะทิ้งพระ ห่างจากที่ว่าการอำเภอสทิงพระประมาณ 200 เมตร
เดิมเรียกว่า "วัดสทิงพระ" สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1542
ภายในวัดมีโบราณสถานซึ่งเป็นศิลปะสมัยศรีวิชัยที่น่าสนใจ เช่น เจดีย์พระมหาธาตุ
วิหารพระพุทธไสยาสน์ หอระฆัง
วัดพะโคะ
วัดพะโคะ หรือ วัดราชประดิษฐาน ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลชุมพร บริเวณเขาพัทธสิงค์
อยู่ห่างจากสงขลา 48 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายสงขลา-สทิงพระ วัดพะโคะเป็นวัดจำพรรษาของสมเด็จพะโคะหรือหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
อันเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทางภาคใต้ มีประวัติเล่าว่า
วันหนึ่งมีโจรสลัดแล่นเรือเลียบมาตามฝั่ง เห็นสมเด็จพะโคะเดินอยู่มีลักษณะแปลกกว่าคนทั้งหลายจึงใคร่จะลองดี
โจรสลัดจอดเรือและจับสมเด็จพระโคะไป
เมื่อเรือมาได้สักครู่เกิดเหตุเรือแล่นต่อไปไม่ได้ ต้องจอดอยู่หลายวัน
จนในที่สุดน้ำจืดหมดลงโจรสลัดเดือดร้อน สมเด็จพะโคะสงสาร
จึงเอาเท้าซ้ายแช่ลงไปในน้ำทะเลเกิดเป็นประกายโชติช่วง น้ำทะเลกลายเป็นน้ำจืด
โจรสลัดเกิดความเลื่อมใสศรัทธากราบไหว้ขอขมา และนำสมเด็จพะโคะขึ้นฝั่ง
ตั้งแต่นั้นประชาชนจึงพากันไปกราบไหว้บูชากันเป็นจำนวนมาก