วัดศรีโคมคำ
ตั้งอยู่ริมกว๊านพะเยา เลขที่ ๖๙๒ ถนนพหลโยธิน ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา
เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองพะเยา สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 20 ประดิษฐานพระเจ้าตนหลวง
พระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในแผ่นดินล้านนา
ประวัติ
วัดศรีโคมคำ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพะเยา ถนนพหลโยธิน
ห่างจากตัวเมืองไปทางเหนือประมาณ ๑,๐๐๐ เมตร ด้านทิศใต้ - ทิศตะวันตก
ติดกับกว๊านพะเยา ทิศเหนือ ตะวันออก ติดกับถนนพหลโยธิน
เริ่มก่อสร้างองค์พระประธาน (พระเจ้าตนหลวง) ราวพุทธศตวรรษที่ 20 เสร็จสมบูรณ์เมื่อ
พุทธศักราช ๒๐๖๗ ใช้เวลาสร้างโดยประมาณ ๓๓ ปี
การก่อสร้างในสมัยนั้นมีพระเมืองตู้ เจ้าผู้ครองเมืองพะเยาเป็นผู้ทรงอุปถัมภ์
กาลเวลาต่อมาราวปีพุทธศักราช 2100 หัวเมืองต่าง ๆ ของล้านนาไทยหลายหัวเมืองอาทิ
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ ลำพูน ถูกข้าศึกพม่าเข้ามารุกราน
ทำให้ประชาชนชาวบ้านชาวเมืองทิ้งบ้านทิ้งเมืองหนีเข้าป่า
รวมไปถึงทรัพย์สินก็โดนข้าศึกยึดเอาไปเสียสิ้น
แม้กระทั่งทรัพย์สินทางพระศาสนาก็ถูกทอดปล่อยทิ้งร้างไว้เป็นสิ่งเก่าแก่เสียหายปรักหักพัง
พระราชอาณาจักรล้านนานับแต่พุทธศตวรรษที่ 21 ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านับสองร้อยปี
บ้านเมืองก็รกร้างว่างเปล่าไร้ผู้คนอาศัย
เมืองพะเยาได้ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าเป็นเมืองร้างอยู่ประมาณ ๕๖ ปี
จนกระทั่งพุทธศักราช ๒๓๘๗ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรง
โปรดเกล้าแต่งตั้งให้เจ้าพุทธวงศ์ เจ้าหลวงนครเชียงใหม่องค์ที่ ๔
เป็นพระยาประเทศอุดรทิศ ขึ้นมาครองเมืองพะเยา ทรงตั้งเจ้ามหายศ เป็นพระยาอุปราช
ครั้นพระยาประเทศอุดรทิศถึงแก่พิราลัย ไปทรงโปรดเกล้าฯ เจ้ามหายศ
ขึ้นครองเมืองพะเยาแทน และตั้งเจ้าบุรีรัตน์ขั้นเป็นพระยาอุปราชแทน
ท่านทั้งสองได้เริ่มบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระประธานพระเจ้าตนหลวง วัดศรีโคมคำขึ้นใหม่
เริ่มก่อสร้างพระวิหารหลวงรวมไปถึงเสนาสนะขึ้นมาใหม่ ให้มีสภาพสมบูรณ์คงทนแข็งแรง
และได้ทำนุบำรุงวัดศรีโคมคำนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ไปจนกระทั่งถึงเจ้าผู้ครองเมืองพะเยาอีกหลายพระองค์ เช่น เจ้าหลวงอินทะชมพู
เจ้าหลวงขัตติยะ เจ้าหลวงชัยวงศ์ จนถึงเจ้าหลวงองค์สุดท้าย คือ เจ้าหลวงมหาชัยศีติสาร
พระยาประเทศอุดรทิศ เจ้าหลวงเมืองพะเยาทุกพระองค์ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดศรีโคมคำ
พระวิหารหลวงหลังเก่าที่สร้างมาช้านาน ทรงรื้อแล้วก่อสร้างใหม่ โดยให้นายพัฒน์เป็นช่างก่อสร้างก่อสร้าง
ได้ทำการบูรณะมาเป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่เสร็จกระทั่งนายช่างพัฒน์มาถึงแก่กรรมจึงได้ทอดทิ้งการบูรณะไว้ชั่วคราว
ครั้นต่อมาการปกครองบ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงจากเจ้าผู้ครองเมืองมาเป็นระบบการปกครองเป็นมณฑล
เมืองพะเยาตอนแรกขึ้นกับนครลำปาง ซึ่งขึ้นกับมณฑลพายัพ
ต่อมาได้ย้ายมาขึ้นกับเมืองเชียงราย
พอถึงสมัยรัชกาลที่ 6
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเปลี่ยนอำนาจการบริหารปกครองประเทศใหม่โดยยกเลิกมณฑลเปลี่ยนมาเป็นจังหวัด อำเภอ
ตำบล หมู่บ้าน ตำแหน่งเจ้าผู้ครองจึงได้เลิกร้างไป
พระยาประเทศอุดรทิศเจ้าเมืองพะเยาลำดับต่อมา กราบบังคมลาออกจากตำแหน่งทางการ
จึงตั้งนายคลาย บุษยบรรณ มาเป็นนายอำเภอเมืองพะเยา จังหวัดเชียงราย พระยา
ประเทศอุดรทิศถึงแม้จะพ้นจากตำแหน่งทางราชการแล้วก็ยังให้การอุปถัมภ์วัดศรีโคมคำเฉกเช่นเดิม
มิได้ทรงทอดทิ้ง ขณะนั้นได้ทราบกิตติศัพท์ว่า ครูบาศรีวิชัย
นักบุญแห่งล้านนาไทยเกิดขึ้น ท่านสังกัดอยู่วัดบ้านปาง อำเภอลี้
จังหวัดลำพูนท่านมีบารมีธรรมสูง
ทำการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์โบราณวัตถุ-สถานไปทั่วถ้วนแผ่นดินล้านนา
โดยเริ่มต้นจากลำพูน-เชียงใหม่ มีประชาชนเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก
ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดถ้วนทั่วแผ่นดินล้านนาไทย จึงได้ประชุมปรึกษากัน
ทางฝ่ายคณะสงฆ์เมืองพะเยาโดยมีพระครูศรีวิราชวชิรปัญญา
เจ้าคณะแขวงเมืองพะเยาขณะนั้น เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
ทางฝ่ายบ้านเมืองมีพระยาประเทศอุดรทิศ อดีตเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา และนายคลาย
บุษยบรรณ นายอำเภอเมืองพะเยา พร้อมด้วยพ่อค้า คหบดี
ประชาชนต่างก็มีมติเห็นชอบพร้อมเพรียงถ้วนทั่วกัน จึงได้ไปอาราธรา
พระคุณเจ้าครูบาศรีวิชัยมาเป็นประธานในการก่อสร้างพระวิหารหลวงใหม่ วัดศรีโคมคำ
โดยใช้ให้พระปัญญา วัดบ้านปิน และจ่าสิบตำรวจเอกอ้าย
พูนชัยไปอาราธนานิมนต์ท่านมาสร้างพระวิหาร
ท่านได้สอบถามถึงประวัติความเป็นมาของพระเจ้าตนหลวงว่าเป็นมาอย่างไร
เมื่อได้รับทราบตำนานแล้วว่าวัดศรีโคมคำ
เป็นโบราณสถานอันเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองพะเยามาแต่กาลก่อนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน
ท่านได้กล่าวว่า
"พระเจ้าตนหลวงนี้เป็นพระบ้านคู่เมืองแผ่นดินล้านนาว่าจะมาปล่อยทิ้งร้างว่างเปล่าเลยก็หาดูควรไม่"
ท่านมีเงื่อนไขว่า ให้คณะสงฆ์และราชการ คหบดี พ่อค้า ประชาชนชาวพะเยาเตรียมวัสดุ
อาทิ อิฐ ปูน ทราย หิน เหล็ก ไว้ให้พร้อม พระครูศรีวิราชวชิรปัญญา
เจ้าคณะแขวงเมืองพะเยา จึงได้ประชุมปรึกษาคณะสงฆ์ เจ้าคณะหมวด เจ้าอาวาส
ภิกษุสามเณรทุกวัดวาอาราม เข้ามาตั้งปางกระท่อม ปั้นอิฐก็ได้ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ก้อน
ทราย กิน โดยขอความร่วมมือผู้มีกำลังศรัทธา
ต่างก็หามาไว้จนครบถ้วนแล้วไปอาราธนาท่านมาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อวัสดุอุปกรณ์ครบถ้วยแล้ว
ท่านรับนิมนต์ทันทีแล้วเตรียมเอาพระภิกษุผู้ชำนาญการก่อสร้างมาเป็นบริวาร
ออกเดินทางมาจากจังหวัดลำพูนตามลำดับเส้นทานจนถึงเมืองพะเยา เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๔๖๕ ตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ เหนือ วันที่ ๒๘ ธันวาคมพ.ศ. ๒๔๖๕ ขึ้น ๑๑
ค่ำ เริ่มลงมือรื้อพระวิหารหลังเก่าจนเสร็จเรียบร้อย วันเสาร์ที่ ๖ มกราคม พ.ศ.
๒๔๖๖ ตรงกับวัน ๗ ฯ ๒ ค่ำ ปีจอ จุลศักราช ๑๒๔๘ วางศิลาฤกษ์ ลงเสาพระวิหารใหญ่
ต่อจากนั้นก็เทเสาพระวิหารต้นอื่นต่อไป ขุดรายฝาผนัง ก่อฝาผนัง และก่อกำแพงล้อมรอบ
สร้างศาลาบาตร(ศาลาราย)รอบกำแพงวัดสร้างพระอุโบสถ พระวิหาร พระพุทธบาทจำลอง
สร้างพร้อมกันทั้งหมดทุก ๆ หลังในคราวเดียวกัน
การก่อสร้างทั้งหมดได้สำเร็จเสร็จสิ้นภายในปีเดียวเหมือนเนรมิตขึ้น
คิดค่าก่อสร้างเป็นจำนวนเงิน ๑๑๓,๐๐๐ รูปี (รูปีหนึ่งคิดราคา ๗๕ สตางค์)
ครั้นเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๗
ได้ทำบุญสมโภชฉลองพระวิหารพร้อมกับเสนาสนะอื่น ๆ ที่ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
การทำบุญฉลองพระวิหารใช้เวลานานถึง ๑ เดือนเต็ม
หลังจากพิธีทำบุญสมโภชฉลองพระวิหารแล้วเสร็จ พระคุณเจ้าครูบาศรีวิชัย
ก็ได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ต่อ เพื่อสร้างวิหารวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่
จึงได้มอบหมายให้พระครูบาแก้ว คนฺธวํโส
เป็นผู้รับภาระดูแลรักษาโบราณสถาน-วัตถุและพระวิหารวัดศรีโคมคำ เมืองพะเยาแทน