พระพุทธมิ่งเมือง
เป็นพระรูปปางมารวิชัย แกะสลักด้วยไม้ประดู่ ลักษณะเป็นศิลปะของชาวลาว สร้างในราว พ.ศ. 2371 เป็นการสร้างขึ้นของชาวลาวอพยพที่เข้ามาอาศัยอยู่ในแถบนี้ เดิมประดิษฐานอยู่ในวัดร้าง "วัดผ้าขาวใหญ่" ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นก่อนเป็นวัดแรกในเขตตำบลพนัสนิคม ต่อมาเทศบาลเมืองพนัสนิคม ได้ปรับปรุงสถานที่และบริเวณวัดร้างนั้น พร้อมทั้งดำเนินการก่อสร้างวิหารเป็นที่ประดิษฐานองค์พระประธาน ณ ที่ตั้งอุโบสถเดิม ปัจจุบันอยู่ใกล้กับศาลาประชาคม เทศบาลเมืองพนัสนิคม
อันบุญญาบารมีอภินิหารอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงใครจะปฏิเสธเสียมิได้
และแข่งขัน ให้เท่าเทียมกันได้ยา ทั้งเป็นสิ่งที่เหนือเหตุเหนือผลของการพิสูจน์ดัง
พระพุทธองค์ ตรัสไว้ ว่า " สิ่งมหัสจรรย์นั้นเป็นอาจิณไตย " ทรงหมายความว่าใคร ๆ
ไม่ควรคิดความศักดิ์สิทธิ์จะดลบันดาลให้เกิดมีเฉพาะแก่ผู้มีบุญวาสนาเลื่อมใสเชื่อมั่นเท่านั้น
หลวงพ่อพระยืน (วัดสุวรรณาวาส)หลวงพ่อพระยืน (วัดพุทธมงคล)ทั้งสองพระองค์ทรงอานุภาพ
ศักดิ์สิทธิ์ เป็นปูชนียวัตถุ ที่ควรแก่กาสักการะเคารพบูชายิ่ง
ทั้งสององค์นี้ชาวบ้านนิยมเรียกกัน
ว่า " หลวงพ่อพระยืน "
เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเป็นมิ่งขวัญเป็นที่พึ่งพาทางใจของชาวพุทธทุกถ้วนหน้าโดยเฉพาะ
ชาว กันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
และเป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไปพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้ เป็นปรางสรงน้ำ
มีความสูงตลอดองค์ประมาณ 8 ศอก กว้าง 2 ศอก พระเนตรและเนื้อองค์พระ
สร้างด้วยศิลาแลงอย่างดี
เป็นพระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยขอมก่อนยุคสุโขทัยหลวงพ่อพระยืนทั้งสอง
ผินพระพักตร์ไปทางทิศทักษิณ หลวงพ่อพระยืนทั้งสององค์อยู่ห่างกันประมาณ 1,250 เมตร
เป็นปูชนียวัตถุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองตามตำนาน
หรือประวัติที่หาหลักฐานยืนยันได้จากใบเสมาที่ฝังอยู่ใกล้องค์พระ
เขียนเป็นอักษรขอมว่า สร้างปี ฮวยสง่า พุทธศักราช 1399 ปัจจุบันยัง
มีตัวอักษรปรากฏที่ใบเสมาแต่เลอะเลือนมากแล้ว ตามคำบอกเล่าสืบทอดกันมาผู้
เฒ่าผู้แก่บอกว่าได้รับฟังจากบรรพบุรุษเล่า
ประวัติ
เดิมที่ดินแถบนี้ขอมได้ครอบครองมาก่อน
ต่อมาทางนครเวียงจันทร์มีอำนาจเข้าครอบครองจากขอม มีเจ้าผู้เข้าครอบครองจากขอม
มีเจ้าผู้ครองโดยอิสระ เรียกกันว่า " เมืองกันทาง " หรือ " เมืองคันธาธิราช
"ก่อนปีมะเส็ง จุลศักราช 147 (ปี พ.ศ. 1328) ผู้ครองเมืองคนสุดท้ายที่นามว่า "
ท้าวลินจง " ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น " หลวงบริเวณ " มีภรรยาชื่อ
บัวคำ ปกครองราษฎรหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา
หัวเมืองต่าง ๆ ส่งส่วยขึ้นต่อเมืองคันธาธิราชที่หลวงบริเวณปกครองอยู่เป็นประจำ
ท้าวลินจงมีบุตรชายคนเดียวชื่อว่า " ท้าวสิงห์โต " หรือ" ท้าวลินทอง "
บุตรชายของท้าวลินจง เป็นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมทารุณมาก
เจ้าเมืองผู้เป็นพ่อชราลงจึงพิจารณาผู้ที่จะมาปกครองบ้าน เมืองแทนตน
หากจะให้ท้าวลินทองผู้บุตร เป็นผู้ปกครองเมืองแทนตนก็เป็นการไม่เหมาะสม
เพราะบุตรมีนิสัยโหดร้ายทารุณ ดังกล่าว
จะเป็นเหตุให้ราษฎรเดือดร้อนเนื่องจากขาดเมตตาความได้ทราบถึงท้าวลินทอง
จึงมีความโกรธแค้นบิดาอย่างยิ่ง จึงได้ตัดพ้อต่อว่าบิดาต่าง ๆ นา ๆ
แล้วบังคับให้บิดาตั้งตนเป็น ผู้ปกครองเมืองแทน ผู้เป็นบิดาไม่ยินยอม
ท้าวลินทองผู้เป็นบุตร จับขังทรมานด้วยการเฆี่ยน ทุบ ตี ใช้มีดกรีดตามเนื้อตัว
เพื่อบังคับให้ บิดายกเมืองให้แก่ตน บิดาก็หาได้ยอมไม่
บิดาได้รับการทรมานต่อไปด้วยการขังในห้องมืด ห้ามข้าว ห้ามน้ำ
มิให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมเด็ดขาด นอกจากมารดาเพียงผู้เดียว
แต่ห้ามมิให้นำน้ำและอาหารไปให้บิดา
มารดาได้ทัดทานอ้อนวอนอย่างใดท้าวลินทองก็หาได้ฟังไม่ ด้วยความรักและห่วงใยสามี
นางจึงทำอุบายนำข้าว น้ำ ให้เอาผ้าสะใบเฉียง ชุบข้าวบดผสมน้ำนำไปเยี่ยมสามี
ให้สามีได้ดูดกินประทังชีวิตไปวัน ๆ แต่หาได้พ้นสายตาของบุตรไม่
ท้าวลินทองผู้เป็นบุตร จึงห้ามมารดาเข้าเยี่ยมอีกต่อไป ท้าวลินจงอดข้าว อดน้ำ
ได้รับความทรมานแสนสาหัส ถึงแก่ความตายในที่สุด แต่ก่อนที่จะสิ้นลมปราณ
ท้าวลินจงได้ตั้งจิตอธิษฐานฝากเทพยดาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมผู้สถิตย์อยู่ ณ
พื้นธรณี นั้นว่า " ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า
เพื่อหวังความสงบสุขของบ้านเมือง อันเป็นที่ตั้งอยู่อาศัยของข้าพเจ้า แต่
่เหตุการณ์ในชีวิตกลับมีการเป็นไปได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัสขอให้เทพยดา ฟ้าดิน
ผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ขอให้ข้าพเจ้าไปเกิดในที่สุขเถิดพระพุทธมิ่งเมือง
เทศบาลตำบลโคกพระ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
และขอให้มนุษย์มีจิตใจโหดร้าย
ทารุณ ขาดคุณธรรม ไม่มีสัจจะ พูดโกหก หลอกลวง ไม่สัตย์ซื่อ
นับแต่นี้ไปข้างหน้าจะเป็นผู้ใดก็ตาม หากมาเป็นเจ้าเมืองนี้แล้ว
ขออย่าให้มีความสุขความเจริญเลย ขอให้ประสบแต่ความวิบัติ ความพินาศฉิบหาย
ขอให้เกิดความเดือดร้อนหายนะ ต่าง ๆ นา ๆ เถิด เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็สิ้นลมหายใจ
เมื่อท้าวลินจงถึงแก่ความตายแล้ว
นางบัวคำผู้เป็นมารดาจึงได้ต่อว่าท้าวลินทองผู้บุตรว่าทรมานบิดาของตนถึงแก่ความตาย
ท้าวลินทองไม่พอใจเกิดโทสะจริตกอปรด้วยโมหะจริต จึงฆ่ามารดาของตนอีกคนหนึ่ง
เมื่อท้าวลินจงกับนางบัวคำตายแล้ว ท้าวลินทองก็ได้ปกครองเมือง " คันธาธิราชสืบ "
สืบมานับแต่ท้าวลินทองปกครองเมืองคันธาธิราชเป็นต้นมา บ้านเมืองมีแต่ความระส่ำระสาย
ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ได้รับความเดือดร้อน ท้าวลินทองเองก็รู้สึกไม่สบายกายใจ
ไม่เป็นอันกินอันนอน ทั้งที่มีทรัพย์มากมายก่ายกอง
จึงหาโหรมาทำนายทายทักโหรทำนายว่า
ท้าวลินทองได้กระทำบาปกรรมมหันตโทษผลกรรมจึงทำให้เดือดร้อน
เป็นผลมาจากการอธิษฐานจิตอันแน่วแน่ของบิดาที่ได้สาปแช่งเอาไว้ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ
กอปรกับมาตุฆาตฆ่ามารดาตนเอง
ทั้งนี้การจะล้างบาปกรรมได้ก็โดยการสร้างพระพุทธรูปเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลผลบุญ
เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา ให้ลุกะทายหายกะโทษดังนั้นท้าวลินทองจึงได้สร้างพระพุทธรูป
2 องค์ขึ้นไว้เพื่อทดแทนคุณบิดามารดา
พระพุทธรูปองค์หนึ่งสร้างอุทิศเพื่อทดแทนคุณมารดา สร้างที่นอกเขตกำแพงเมือง
ทางทิศอุดร ผินพักตร์ไปเบื้องทักษิณทิศ (คือพระพุทธมิ่งเมือง)
ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดสุวรรณาวาสเมื่อสร้างองค์หนึ่งเสร็จแล้ว
ก็ได้สร้างพระพุทธรูปยืนองค์ที่ สอง ขึ้นเพื่อทดแทนคุณบิดา
โดยสร้างขึ้นในกำแพงเมือง ผินพักตร์ไปเบื้องทักษิณทิศ
(การพิมพ์ประวัติหลวงพ่อพระยืนมีการผิดพลาดมาหลายครั้ง
การพิมพ์ครั้งนี้นับว่าสมบูรณ์ที่สุด หลวงพ่อพระครูปัญญาวุฒิชัย
เจ้าคณะอำเภอซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธมลคลองค์ปัจจุบัน )
ได้ตรวจสอบหลักฐานหนังสืออ้างอิง และสันนิษฐานว่าอยู่วัดบ้านสระ (วัดพุทธมงคล)
มีลักษณะหน้าตาคล้าย ๆ บิดา และสร้างอยู่ภายในเขตกำแพงเมือง
ซึ่งมีคูคลองปรากฏให้เห็นเด่นชัดอยู่จนถึงทุกวันนี้
คือคูคลองที่ติดต่อกับบ้านสระ-บ้านคันธาร์ ระหว่างบ้านสระกับบ้านส้มป่อย
ทุกวันนี้ยังคงสภาพคูคลองให้เห็นสภาพเด่นชัดอยู่
พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในกำแพงเมืองก็มีลักษณะคล้ายชายโดยเด่นชัด
ส่วนพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นนอกเขตกำแพงเมืองที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดสุวรรณาวาสมีลักษณะละมุนละมัยคล้ายมารดา
ซึ่งสร้างไว้นอกเมืองทางด้านทิศเหนือตามทางสันนิษฐานดังกล่าวแล้วจึงคิดว่า
การพิมพ์ประวัติหลวงพ่อพระยืนครั้งนี้คงสมบูรณ์ที่สุดเมื่อท้าวลินทองได้สร้างพระพุทธรูปทั้งสององค์เสร็จแล้ว
ความกระวนกระวายหายใจก็มิได้เบาบางลง ท้าวลินทองก็ได้ล้มป่วยลงอย่างกระทันหันพอดีโหรจากเมืองพิมายเดินทางผ่านมา
และขอเข้าทำนายดวงชะตาชีวิตของท้าวลินทอง โหรได้ทำนายว่า ท้าวลินทองจะตายภายใน 7
วัน ท้าวลินทองได้ยินถึงกับบันดาลโทษะสั่งประหารชีวิตโหรทันที
แต่พวกข้าราชการที่ปรึกษาได้ขอชีวิตไว้โหรจึงได้ทำนายต่อไปว่า
หากท้าวลินทองสร้างพระพุทธรูปปางพุทธไสยาสน์ ด้วยทองคำหนักเท่าตัวขึ้นอีกองค์
หนึ่งความทุกข์ร้อนที่มีอยู่ก็จะบรรเทาเบาบางลง
ท้าวลินทองก็ได้สร้างพระพุทธรูปปางพุทธไสยาสน์ด้วยทองคำตามคำทำนายของโหรขึ้น
แล้วจึงสร้างพระอุโบสถขึ้นเพื่อครอบองค์พระไว้
แต่ด้วยบาปกรรมของท้าวลินทองเป็นมหันตโทษ คือ มาตุฆาตปิตุฆาต
จึงไม่สามารถสร้างให้สำเร็จได้ ท้าวลินทองก็ถึงแก่ความตาย แต่ก่อนจะสิ้นลมหายใจ
ท้าวลินทองก็ได้อธิษฐานว่า " ขอองค์พระพุทธรูปทองคำ อย่าให้คนพบเห็นเป็นอันขาด
หากผู้ใดมีเคราะห์กรรมได้พบเห็นขอให้ผู้นั้นล้มป่วย พินาศฉิบหายและให้ถึงแก่ความตาย
"
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีผู้ใดได้กล้ำกรายพระอุโบสถ (พระพุทธรูปทองคำ)
นั้นเลย กาลล่วงเลยมานาน
จนเกิดเป็นป่าร้างต้นไม้ปกคลุมหนาทึบพระพุทธรูปทองคำจึงไม่มีใครพบเห็น
ถ้าผู้ใดชะตากรรมถึงฆาต พบเห็นก็จะเกิดอาเพทป่วยไข้ถึงตายทุกราย
ความศักดิ์สิทธิเป็นที่เล่าลือตราบเท่าทุกวันนี้ ปัจจุบันสถานที่ดังกล่าว
คณะสงฆ์อำเภอกันทรวิชัย
โดยมีท่านหลวงปู่พระครูประจักษ์ธรรมวิชัย(อดีตเจ้าคณะอำเภอกันทรวิชัย)
กับหลวงพ่อพระครูปัญญาวุฒิชัยเจ้าคณะอำเภอ (เจ้าอาวาสวัดพุทธมงคล) บ้านสระ
หลวงพ่อพระครูวิชัยกิตติคุณ รองเจ้าคณะอำเภอกันทรวิชัย ( เจ้าอาวาสวัดสุวรรณมงคล )
บ้านคันธาร์ ได้ปรับปรุงเป็นสำนักเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ของคณะสงฆ์
และผู้สนใจในการปฏิบัติธรรมสถานที่ร่มรื่น เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างยิ่ง
ให้ชื่อว่า วัดพระพุทธไสยาสน์
(วัดดอนพระนอน)หลวงพ่อพระยืนกันทรวิชัยเป็นที่เคารพบูชาของชาวอำเภอกันทรวิชัยและใกล้เคียงโดยทั่วไป