พระตำหนักเกาะสีชัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงใช้เกาะสีชังเป็นสถานที่พักผ่อนพระราชอิริยาบท เช่นเดียวกับสมเด็จ
พระราชบิดา (รัชกาลที่
4) เหตุที่พระองค์เสด็จมาประทับบ่อยครั้ง
จึงได้โปรดให้สร้างพระตำหนักที่ประทับขึ้นบนเกาะ สีชัง 3
หลัง คือ พระตำหนักวัฒนา พระตำหนักผ่องศรี และพระตำหนักภิรมย์
จุดประสงค์หลัก ก็เพื่อจะได้ทรงใช้เป็น
สถานที่รักษาพระโรคของสมเด็จพระบรมราชินีนาถตลอดจนพระบรมวงศาสนุวงศ์
และในบางโอกาสก็ได้ทรงใช้เป็น
สถานที่ปรึกษาข้อราชการกับหมู่อำมาตย์ข้าราชบริพารอีกด้วยพระตำหนักเกาะสีชังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงใช้เกาะสีชังเป็นสถานที่พักผ่อนพระราชอิริยาบท
เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชบิดา (รัชกาลที่ 4)
เหตุที่พระองค์เสด็จมาประทับบ่อยครั้ง
จึงได้โปรดให้สร้างพระตำหนักที่ประทับขึ้นบนเกาะสีชัง 3
หลัง คือ พระตำหนักวัฒนา พระตำหนักผ่องศรี และพระตำหนักภิรมย์ จุดประสงค์หลัก
ก็เพื่อจะได้ทรงใช้เป็นสถานที่รักษาพระโรคของสมเด็จพระบรมราชินีนาถตลอดจนพระบรมวงศาสนุวงศ์
และในบางโอกาสก็ได้ทรงใช้เป็นสถานที่ปรึกษาข้อราชการกับหมู่อำมาตย์ข้าราชบริพารอีกด้พระตำหนักฤดูร้อนบนเกาะสีชัง
พระตำหนักฤดูร้อนบนเกาะสีชัง
ณ
ผืนท้องทะเลสีฟ้าคราม ห่างจากชายฝั่งอำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12
กิโลเมตร คือสถานที่ตั้งอันโดดเด่นของ "เกาะสีชัง"
เกาะขนาดใหญ่ที่เปรียบเสมือนประตูผ่านเข้าสู่ใจกลางอ่าวไทย
ซึ่งเป็นทั้งจุดพักการเดินเรือสินค้านานาชาติและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ในบรรยากาศแบบโรแมนติก
ชวนให้ระลึกถึงอดีตวันวานที่น่าพิศมัยบนเกาะใหญ่กลางทะเลแห่งนี้
เนื่องจากเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
เพราะเคยเป็นเกาะที่ประทับของพระมหากษัตริย์ 3 พระองค์
คือรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5
และรัชกาลที่ 6
การเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะสีชังสามารถเที่ยวได้ในวันเดียว
หรือจะพักค้างคืนเพื่อรอชมดวงอาทิตย์ในช่วงเย็นและเช้าก็ได้
โดยสามารถเช่ารถสามล้อเครื่องหรือสกายแล็บจากท่าเทียบเรือ
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปชมสถานที่ต่างๆ
ค่าเช่ารถสามล้อเครื่องคิดเป็นรอบๆ ละประมาณ 150-250
บาทขึ้นอยู่กับระยะทาง
แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์คือพระราชวังฤดูร้อนที่มีนามว่า
"พระจุฑาธุชราชฐาน"
สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อใช้เป็นทั้งที่ประทับสำหรับใช้บริหารพระราชกรณียกิจปกครองประเทศและดำเนินกิจการบ้านเมือง
นอกจากนี้ยังทรงใช้เป็นที่พักผ่อนและฟื้นฟูพระพลานามัยพระราชวงศ์
และเป็นที่ประสูติของสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑาธุชธราดิลก
ซึ่งเป็นที่มาของชื่อพระราชวังพระจุฑาธุชราชฐาน
พระราชฐานแห่งนี้ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสีชังตรงบริเวณแหลมวัง
ไม่เพียงแต่จะมีทัศนียภาพของเวิ้งน้ำสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ไพศาลและเรือสินค้าเป็นฉากประดับอันสวยงามเท่านั้น
หากยังมีสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เต็มไปด้วยหมู่ต้นลั่นทมออกดอกชูช่อส่งกลิ่นหอมเย็น
และมีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ตามชั้นเนินเขาที่สูงต่ำลดหลั่นกันอย่างเหมาะเจาะงดงาม
ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ พระตำหนัก 14
หลัง ศาลา 1 หลัง มีสวนดอกไม้ สระน้ำ
ธารน้ำ น้ำพุ ถ้ำและหน้าผาตกแต่งตามลักษณะอุทยานในพระราชวังของประเทศตะวันตก
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระราชวังแห่งนี้คือ
ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการประกาศสร้างพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์
แต่กลับเกิดสถานการณ์ไม่สงบ ร.ศ.112
จึงสร้างไม่ทันเสร็จ
ต่อมาภายหลังได้รื้อโครงสร้างพระที่นั่งที่เป็นไม้สักทองไปสร้างเป็นพระที่นั่งวิมานเมฆเหลือให้เห็นเพียงส่วนฐานของอาคารเท่านั้น
สำหรับตัวอาคารต่างๆ ที่น่าสนใจเช่น
ตึกผ่องศรีหรือศาลาแปดเหลี่ยม ภายในเป็นโถงรูปกลม
เพดานไม้ทำช่องระบายอากาศกึ่งกลางเป็นรูปกลีบดอกไม้
ลักษณะหลังคาเป็นทรงกลมยกเป็นรูปโดม ตึกวัฒนา หลังคาทรงปั้นหยา
เรือนไม้ลวดลายขนมปังผิง พระเจดีย์อุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร
เป็นพระอุโบสถที่อยู่ในเขตพระราชวัง มีลักษณะแตกต่างจากที่อื่น
คือมีพระอุโบสถอยู่ใต้เจดีย์ทรงกลมแบบลังกาภายในเป็นโถงรูปกลม
เพดานโค้งตามรูปเจดีย์ปลายยอดแหลม เป็นศิลปะแบบโกธิคพร้อมช่องแสงโค้งติดกระจกสี
ด้านข้างพระอุโบสถมีต้นศรีมหาโพธิ์ ซึ่งนำหน่อมาจากพุทธคยาประเทศอินเดียมาปลูกไว้ด้วย
ช่วงนี้ลมหนาวปกคลุมประเทศไทย
หากลองเปลี่ยนบรรยากาศการสูดไอหมอกจากภูผายอดดอยที่มีแต่ผู้คนแออัดมาเป็นการรับกลิ่นไอทะเลในหน้าหนาวบนเกาะสีชังก็น่าจะทำให้เก็บเกี่ยวความประทับใจที่แตกต่างจากคนอื่นๆ
โดยสามารถนั่งรถจากสถานีขนส่งเอกมัยไปลงที่หน้าห้างโรบินสันศรีราชาแล้วต่อรถมาลงท่าเรือจรินทร์
ซึ่งมีเรือโดยสารไปเกาะสีชังทุกวันตั้งแต่เวลา 07.00-20.00
น.ออกทุกชั่วโมงใช้ระยะเวลา 45 นาที
อัตราค่าโดยสารคนละ 20 บาท
เมื่อไปเที่ยวเกาะสีชังแล้วจะรู้ว่าสีสันของเกาะแห่งนี้สดใสไม่น่าชัง