วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
พระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร วัดประจำรัชกาลที่ ๑ สถานที่ตั้ง
หลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย เขตพระนคร
![](http://www.dooasia.com/database/pic/006/006k009/images.jpg)
วัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า
วัดโพธาราม หรือวัดโพธิ์ ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยธนบุรี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ใน พ.ศ. ๒๓๓๑ โดยสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร
ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อเสร็จใน พ.ศ. ๒๓๔๔ โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส"
เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
วัดพระเชตุพนฯ
ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่างๆ
ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐานไว้ตามศาลารายต่างๆ ในรัชสมัย
"วัดโพธิ์"
หรือนามทางราชการว่า
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ราชวรมหาวิหาร"
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก และเป็นวัดประจำรัชกาลที่
1
แห่งราชวงศ์จักรี
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนา "วัดโพธาราม"
วัดเก่า ที่เมืองบางกอก ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง
และที่ใต้พระแท่นประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุ
พระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย โดยพระอารามหลวงแห่งนี้มีเนื้อที่ 50
ไร่ 38 ตารางวาอยู่
ด้านทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง ทิศเหนือจดถนนท้ายวัง ทิศตะวันออกจดถนนสนามไชย
ทิศใต้จดถนนเศรษฐการ ทิศตะวันตกจดถนนมหาราช มีถนนเชตุพน
ขนาบด้วยกำแพงสูงสีขาวแบ่งเขตพุทธาวาส และสังฆาวาสชัดเจน
![](http://www.dooasia.com/database/pic/006/006k009/imagesCA1O9FY3.jpg)
มีหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกไว้ว่า
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังแล้ว ทรงพระราชดำริว่า มีวัดเก่าขนาบพระบรมมหาราชวัง
2 วัด ด้านเหนือ คือ วัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ)
ด้านใต้คือ วัดโพธาราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้าทรงกรม
ช่างสิบหมู่อำนวยการบูรณะปฏิสังขรณ์ เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2331
ใช้เวลา 7 ปี 5
เดือน 28 วัน จึงแล้วเสร็จ และโปรดฯ ให้มีการฉลองเมื่อ
2344 พระราชทานนามใหม่ ว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ"
ต่อมารัชกาลที่ 4 ได้โปรดฯ ให้เปลี่ยนท้าย นามวัดเป็น
"วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม"
ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่นานถึง
16 ปี 7 เดือน
ขยายเขตพระอารามด้านใต้และตะวันตก คือ ส่วนที่เป็นพระวิหารพระพุทธไสยาสสวน
มิสกวัน สถาปนาขึ้นใหม่พระมณฑป ศาลาการเปรียญ และสระจระเข้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่เป็นโบราณสถาน
ในพระอารามหลวงที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ แม้การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุด
เมื่อฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี พ.ศ. 2525
เป็นเพียงซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใดๆ
ทั้งนี้
เนื่องจากสมัยรัชกาลที่
3
ยังไม่มีการพิมพ์หนังสือการศึกษา ที่มีเรียนก็อยู่ตามวัด
ทำให้คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เรียน
ด้วยทรงมีพระราชประสงค์จะให้มีแหล่งเล่าเรียนความรู้ จึงโปรดเกล้าฯ
ให้รวบรวมและเลือกสรรตำรับตำรามาจารึกที่แผ่นศิลาไว้โดยรอบวัดเพื่อเผยแพร่แก่ประชาชน
วัดพระเชตุพนฯ จึงได้ชื่อว่าเป็น "มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย"
นอกจากนี้ที่วัดโพธิ์ยังมี "พระพุทธไสยาสน์"
(พระนอนวัดโพธิ์) องค์ใหญ่ สร้างในสมัยรัชกาลที่
3 ฝีมือช่างสิบหมู่ของหลวง ก่ออิฐถือปูนปิดทองทั้งองค์
ยาว 46 เมตร สูง 15 เมตร
ที่ฝ่าพระบาทแต่ละข้างมีลวดลายประดับมุกเป็นภาพมงคล 108
ประการ อันเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของมหาบุรุษตามคติของอินเดีย
ต่อมาได้ลงรักปิดทองใหม่ทั้งองค์, มี "พระพุทธเทวปฏิมากร"
ประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่นพระอุโบสถ ภายในองค์พระบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ที่ฐานชุกชีประดิษฐานพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 1 และ
"พระเจดีย์"
อาจเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรแห่งเจดีย์ มี 99 องค์
ซึ่งเป็นเจดีย์ที่มีความพิเศษคือ "พระมหาเจดีย์
4 องค์"์
อย่างไรก็ตาม นอกจากอาคาร พระวิหาร พระเจดีย์ต่างๆ
แล้ววัดโพธิ์ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น "รูปปั้นฤๅษีดัดตน"
โดยเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม
พระองค์ทรงได้รวบรวมการแพทย์แผนโบราณและ ศิลปวิทยาการของกรุงศรีอยุธยาเอาไว้
รวมทั้งได้ปั้นรูปฤๅษีดัดตนในท่าต่างๆ ไว้ด้วย
ซึ่งจำนวนของรูปปั้นฤๅษีดัดตนที่สร้างในรัชกาลที่ 1
นั้น ไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ต่อมาในรัชกาลที่ 3
ได้หล่อรูปปั้นฤๅษีดัดตนในท่าต่าง ๆ รวม 80 ท่า
โดยใช้สังกะสีและดีบุก แทนการใช้ดินที่เสื่อมสภาพได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีการแต่งโครงสี่สุภาพเพื่อบรรยายสรรพคุณท่าต่างของฤๅษีดัดตน ทั้ง
80 บทด้วย เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายรูปปั้น
รวมทั้งมีการลักลอบเอารูปปั้นไปขายบางส่วน ดังนั้น
รูปปั้นที่อยู่ภายในวัดโพธิ์จึงมีเหลือเพียง 24
ท่าเท่านั้น "ยักษ์วัดโพธิ์"
ที่ตั้งอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป โดยมีสีกายเป็นสีแดงและสีเขียว
ลักษณะคล้ายยักษ์ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์
ซึ่งมักมีผู้เข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือ "ลั่นถัน"
นายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูวัดนั้นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ นอกจากนี้
ยังมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนใน
ปัจจุบัน นั่นคือ
ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแล
วัดแจ้งนั้น ทั้ง 2 ตนเป็นเพื่อนรักกัน
วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์
เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืนยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่าย ดังนั้น ยักษ์ทั้ง
2 ตนจึงเกิดทะเลาะกัน
แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มหาศาลของยักษ์ทั้ง 2
ตน
เมื่อเกิดต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด
เมื่อพระอิศวรทราบเรื่องนี้
จึงได้ลงโทษให้ยักษ์วัดโพธิ์ยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์
และยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้งตั้งแต่นั้นมา
![](http://www.dooasia.com/database/pic/006/006k009/shutterstock_25113208.jpg) ![](http://www.dooasia.com/database/pic/006/006k009/untitled.bmp)
Loading...
|