www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
สถาปัตยกรรมดีเด่น
โฮเต็ลหัวหิน
ระหว่างก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ ช่วงบ้านชะอำถึงหัวหิน พบว่าที่ชายทะเลบริเวณบ้านแหลมหิน
มีสภาพธรรมชาติหาดทรายชายทะเลที่สวยงาม เงียบสงบและอากาศดี เหมาะสมที่จะเป็นแหล่งที่พักตากอากาศ
ได้มีการสร้างตำหนักและที่พักตากอากาศขึ้นเป็นจำนวนมาก ในการนี้พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวร์วรฤทธิ์
(ต้นตระกูลกฤษดากร) เป็นเจ้านายองค์แรกที่ทรงสร้างตำหนักหลังใหญ่ประทานชื่อว่า
แสนสำราญสุขเวศน์
ภายหลังได้ทรงสร้างตำหนักอีกหลังหนึ่ง จึงเรียกตำหนักแยกเป็นสองแห่งว่า แสนสำราญ
และสุขเวศน์ พร้อมทั้งทรงขนานนามชายหาดแห่งนี้ว่า หัวหิน
ในช่วงเวลาเดียวกัน กรมรถไฟหลวงได้จัดให้มีบ้านพักให้เช่าขึ้นในที่ดินของกรมรถไฟหลวง
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๔ การก่อสร้างทางรถไฟสายใต้แล้วเสร็จ สามารถเดินทางเชื่อมต่อกับแหลมมลายู
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูหัว มีพระราชประสงค์ที่จะให้ประเทศไทย มีสถานที่พักตากอากาศในระดับสากล
ได้มีพระราชดำริให้จัดสร้างโฮเต็ลหัวหินขึ้น
กำหนดให้เป็นโรงแรม สำหรับพักตากอากาศอย่างหรูหรา ตามแบบโรงแรมยุโรป
โฮเต็ลหัวหิน ตั้งอยู่ริมทะเลติดกับตำหนักสุขเวศน์ มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้
มีห้องพักจำนวน ๑๔ ห้อง ตัวอาคารเป็นรูปตัวแอล (L) ด้านหนึ่งหันหน้าไปสู่ทะเล
อีกด้านหนึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ชั้นล่างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
พื้นปูหินอ่อนอิตาลี พื้นห้องพักและประตูหน้าต่างเป็นไม้สัก ชั้นบนเป็นงานไม้ทั้งหมด
หลังคาทรงสูงมุงด้วยกระเบื้องว่าว มีรางน้ำรอบอาคาร ทางเดินและระเบียงกว้างมีกันสาดยื่นคลุมออกมา
อาคารหลังนี้เน้นทางเข้าตัวอาคาร ตรงห้องโถงกลาง ซึ่งเป็นโถงรูปโค้งเปิดโล่งไปสู่ทะเล
สามารถมองเห็นทะเลเมื่อเข้าสู่ตัวอาคาร หลังคาโครงเหล็กมุงด้วยกระจกยื่นออกมาจากตัวอาคารเป็นที่จอดรถ
มีทางเข้าโฮเต็ลสามทาง
พร้อมกันนี้ได้สร้างสนามกอล์ฟหัวหินด้วย
พ.ศ.๒๔๗๑ โฮเต็ลหัวหินได้ต่อเติมอาคารเป็นห้องอาหารไปทางด้านเหนือ ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงแรมรถไฟหัวหิน
รูปปั้นและอนุสาวรย์
พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
ฯ ประดิษฐานอยู่ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า
ที่บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงตั้งค่ายหลวงเพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๑
ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ จังหวัดประจวบ ฯ ได้แจ้งกรมศิลปากรถึงการพบเสาศิลาที่โรงเรียนหว้ากอ
ตำบลคลองวาฬ กรมศิลปากรสำรวจพบว่าเป็นที่ตั้งค่ายหลวง
ประกอบด้วยโบราณสถานห้ากลุ่ม สมควรอนุรักษ์เป็นหลักฐานทางโบราณคดี และประวัติศาสตร์เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
ฯ ทางจังหวัดประจวบ ฯ และกรมศิลปากรก็ได้เริ่มดำเนินงานไปตามลำดับ ตั้งแต่ปี
พ.ศ.๒๕๒๓ เป็นต้นมา
ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ ได้มีการอัญเชิญพระบรมรูปไปประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ในบริเวณอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า
ฯ องค์พระบรมรูปหล่อด้วยสำริด ขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริง
ทรงเครื่องแบบทหารเรือประทับนั่งบนพระเก้าอี้ ผินพระพักตร์ไปทางด้านอ่าวมะนาว
แท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ทำด้วยหินแกรนิต ตั้งอยู่บนเนินสูง ๑๒ เมตร บริเวณโดยรอบตกแต่งด้วยพรรณไม้งดงาม
ในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดประจวบ
ฯ ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ นักเรียน นักศึกษา พ่อค้า ประชาชน พร้อมใจกันจัดพิธีบวงสรวงสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
ฯ ในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย
อนุสาวรีย์วีรกรรม ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔
ตั้งอยู่ในบริเวณกองบิน ๕๓ (เดิมเป็นกองบินน้อยที่ ๕) ซึ่งเป็นแหลมคั่นอยู่ระหว่างอ่าวประจวบ
ฯ และอ่าวมะนาว เป็นรูปหล่อทหารอากาศในชุดนักบินขนาดเท่าคนจริง ยืนอยู่บนใบพัดเครื่องบินในลักษณะก้าวเท้าไปข้างหน้า
หันหน้าออกสู่ทะเล มือขวาถือธง ฐานที่ตั้งเป็นรูปทรงกระบอก ด้านข้างของแท่นจารึกรายชื่อผู้เสียชีวิต
อนุสาวรีย์แห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของผู้ที่เสียชีวิตป้องกันแผ่นดินไทย
จากการบุกเข้ายึดดินแดนไทยของกองทัพญี่ปุ่น ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อ
๘ ธันวาคม ๒๔๘๔
ในวันที่ ๘ ธันวาคม ของทุกปี จังหวัดประจวบ ฯ กองบิน ๕๓ และหน่วยงานต่าง ๆ
รวมทั้งเอกชน ได้ร่วมกันจัดพิธีวางพวงมาลา เพื่อระลึกถึงผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่ออธิปไตยของชาติ
อนุสรณ์สถานโผน กิ่งเพชร
ตั้งอยู่บริเวณชายหาดหัวหิน บนโขดหินริมทะเล เป็นรูปหล่อโลหะของโผน
กิ่งเพชร ในชุดนักมวย ยืนหันหน้าเข้าสู่ชายหาดด้านทิศใต้ แขนขวาชูเหนือศีรษะ
มือซ้ายถือเข็มขัดแชมเปี้ยนมวย
โผน กิ่งเพชร หรือ มานะ สีดอกบวบ เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘
เป็นแชมเปียนมวยสากลคนแรกของไทย
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๓ ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นชาวหัวหิน นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ
ในการนี้เทศบาลตำบลหัวหิน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกันจัดหาทุนสร้างอนุสรณ์สถานโผน
กิ่งเพชร ขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณงามความดี
สิ่งสำคัญคู่บ้านคู่เมือง
วังไกลกังวล หัวหิน
เป็นพระราชวังริมทะเล อยู่ห่างจากหาดหัวหินไปทางทิศเหนือประมาณ ๓ กิโลเมตร
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นในพื้นที่ประมาณ
๓๐๐ ไร่เศษ เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๙ ต่อมาได้มีการสร้างพระตำหนักขึ้นอีกหลายครั้ง
ได้แก่ พระตำหนักเปี่ยมสุข ปลุกเกษม เอิบเปรม
เอมปรีย์
พระราชนิเวศน์แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีพระราชหัตถเลขา เรียกว่า
วังไกลกังวล หรือ สวนไกลกังวล ไม่ปรากฏหลักฐานให้ยกเป็นพระราชวัง
พระบรมสารีริกธาตุและต้นพระศรีมหาโพธิ
ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี
ได้ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิบนเขาช่องกระจก
นับแต่นั้นมา ชาวประจวบ ฯ ก็มีสิ่งสำคัญคู่บ้านคู่เมืองอีกแห่งหนึ่ง ในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น
ทางจังหวัดได้จัดสถานที่ เพื่อเป็นที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถ ณ บริเวณหาดทุ่งมะเม่า
ตำบลคันกระได ด้วยเหตุนี้หาดทุ่งมะเม่าจึงได้ชื่อว่า
หาดเสด็จ
ตั้งแต่นั้นมา
ศาลหลักเมือง
เป็นศาลหลักเมืองที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยยอดปรางค์จตุรมุขศิลปะลพบุรี ก่อปูนทาสีคล้ายศิลาแลงเป็นองค์ประธาน
หน้าบันทั้งสี่ทิศเป็นรูปราหูอมจันทร์ ภายในประดิษฐานเสาหลักเมืองมีขนาดสูง
๒.๗๔ เมตร กว้าง ๓๗ เซนติเมตร แกะสลัดลวดลายศิลปะศรีวิชัย ส่วนยอดเป็นรูปพรหมสี่พักตร์
ตั้งอยู่บนเสาแปดเหลี่ยม
เสาหลักเมืองนี้ทำจากไม้ตะเคียนจากป่ากุยบุรีบริเวณบ้านย่านซื่อ ตำบลหาดขาม
เมื่อได้นำมาประดิษฐานแล้วได้ทำเสาขนาดเล็กสี่หลักตั้งล้อมเสาแม่ไว้
นอกจากนี้บริเวณรอบปรางค์จตุรมุข ยังมีศาลบริวารประจำอยู่ทั้งสี่ทิศ ภายในประดิษฐานรูปหล่อพระโพธิสัตว์ทุกหลัง
พิธีเปิดศาลหลักเมือง กระทำในปี พ.ศ.๒๕๓๗
พระแสงราชศัสตราประจำเมืองประจวบ ฯ
ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบหัวเมืองปักษ์ใต้ระหว่างวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๘
ถึงวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๘ รวม ๖๓ วัน
ในการเสด็จ ฯ หัวเมืองมณฑลปักษ์ใต้ครั้งนี้ นอกจากทรงตรวจราชการและทรงเยี่ยมราษฎรแล้ว
ยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่าง ๆ อีกหลายประการ เช่นพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
และสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์แก่บรรดาข้าราชการ พระราชทานพระราชหัตถเลขาขนานนามสกุลแก่ข้าราชการ
พระราชทานธงประจำกองลูกเสือ ตลอดจนเสด็จ ฯ ทรงร่วมในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเสือป่า
และที่สำคัญที่สุดคือ การพระราชทานพระแสงราชศัสตรา สำหรับมณฑล เมือง และจังหวัดต่าง
ๆ
ในการเสด็จตรวจราชการและเยี่ยมเยือนราษฎรเมืองประจวบคีรีขันธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้พระราชทานพระแสงราชศัสตรา ด้ามทองฝักทองแก่เมืองประจวบ ฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๕
โดยอำมาย์เอก พระยาศิริธรรมบริรักษ์ ผู้ว่าราชการเมืองประจวบ รับพระราชทาน
ตามจดหมายเหตุเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลราชบุรี มีความตอนหนึ่งว่า
"ตัวเราปรารถนาที่จะแสดงให้พลเมืองนี้รู้สึกว่า ใจเรายังมีไมตรีและยังสอดส่องทุกข์ศุขของราษฎรอยู่เสมอ
จึงขอให้เครื่องหมายแทนตัวเราไว้คือ พระแสงราชสาตรา ซึ่งเป็นของใช้สอยสำหรับตัวเราแก่เมืองนี้
เพื่อเป็นของแทนตัว ของมอบพระแสงนี้ให้แก่ผู้ว่าราชการเมืองแลข้าราชการ ให้ช่วยกันรักษาไว้เป็นของแทนพระราชอำนาจใช้โดยทางชอบธรรม
เพื่อบำรุงความศุขสำราญของอาณาประชาชนพลเมืองผู้เป็นที่รักใคร่ของเรา อีกประการ
๑ ขอให้ผู้เปนหัวหน้าพลเมืองช่วนกันกำหนดจดจำไว้ พระแสงนี้เราไม่ได้มอบให้ข้าราชการเท่านั้น
เรามอบให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนประชาชนด้วย ช่วยกันรักษาพระแสงนี้อย่าให้มีอันตรายได้
แลดูพระแสงนี้แล้วขอให้นึกถึงตัวเราว่ารักตัวเจ้าอยู่เสมอ แล้วตัวเจ้าต้องคิดตอบแทนด้วยความจงรักภักดี
ตั้งใจที่จะปฎิบัติให้สมควรแก่น่าที่พลเมือง"
ลักษณะพระแสงราชศัสตราประจำเมืองประจวบ เป็นฝีมือช่างทองหลวง ตีจากเหล็กกล้าอย่างดี
ยาว ๑๐๒ เซนติเมตร ด้ามพระแสงดุนลายทอง ยาว ๓๑ เซนติเมตร กว้าง ๒.๕ เซนติเมตร
ใบพระแสงยาว ๕๕.๒ เซนติเมตร มีข้อความจารึกเหมือนกันทั้งสองด้านว่า เมืองประจวบคีรีขันธ์
บริเวณปลอกพระแสงด้านซ้าย จารึกว่า ๓๐/๔ ฝักพระแสงยาว ๗๑ เซนติเมตร
ดุนลายงดงามเป็นภาพทะเล เรือ ปืนใหญ่ สัตว์น้ำ และสัตว์หิมพานต์ต่าง ๆ
|