www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
มรดกทางวัฒนธรรม
ลพบุรีเป็นเมืองเก่าแก่โบราณ มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และได้มีการตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย
โดยไม่ขาดสายมาจนถึงปัจจุบัน บรรดาโบราณสถานต่าง ๆ จึงมีอยู่เป็นจำนวนมาก
และยังคงปรากฎอยู่จนถึงทุกวันนี้ โบราณสถานที่สำคัญพอประมวลได้ดังนี้
เทวสถานหรือปรางค์แขก
อยู่ที่ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง เป็นปรางค์ที่สร้างด้วยอิฐไม่สอปูน
มีอยู่สามองค์ แต่ไม่มีเฉลียงเชื่อมต่อกันเหมือนปรางค์สามยอด มีกรอบประตูทางเข้าด้านหน้าอยู่องค์ละหนึ่งประตู
กรอบประตูไม่มีทางเข้าออก เดิมเป็นศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ลัทธิฮินดู
มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 มีลักษณะคล้ายปรางค์ศิลปะเขมร แบบพะโค
เป็นปรางค์แบบเก่าคือ มีประตูศิลาเข้ากรอบเลียนแบบเครื่องไม้
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช องค์ปรางค์ได้รับการซ่อมแซมด้วยอิฐสอปูน
และได้สร้างวิหารเล็กหน้าปรางค์ มีประตูทางเข้าแบบโค้งแหลม ที่หน้าจั่วมีลายปูนปั้น
และถังเก็บน้ำประปาอยู่ทางทิศใต้ของตัวปรางค์
เทวสถานปรางค์แขกนับว่าเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดลพบุรี ที่ยังคงเหลือสภาพสมบูรณ์และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
พระปรางค์สามยอด
อยู่ที่ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง เป็นโบราณสถานที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดลพบุรี
ตั้งอยู่บนเนินดินใกล้กับศาลพระกาฬ เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางพุทธศาสนา
มีอายุอยู่ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 18 สร้างด้วยศิลาแลง หินทรายตกแต่งด้วยลายปูนปั้นที่สวยงาม
ลักษณะเป็นปรางค์เรียงต่อกันสามองค์ องค์กลางสูงประมาณ 15 เมตร
มีฉนวนทางเดินเชื่อมต่อกันเป็นศิลปะเขมรแบบบายน
ปรางค์องค์กลางมีฐานซึ่งเดิมคงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป มีเพดานไม้เขียนลวดลายสีแดงเป็นรูปดอกไม้
ด้านหน้าเป็นวงโค้งที่นิยมทำกันในยุคนั้น ภาพในวิหารอัฐิมีพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย
ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี เป็นศิลปะแบบสมัยอยุธยาตอนต้น
มีอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20
ปรางค์สามยอดนี้ สันนิฐานว่าชนชาติขอมเป็นผู้สร้าง โดยได้นำแบบอย่างการก่อสร้างมาจากปรางค์อินเดีย
สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
ปรางค์องค์กลางประดิษฐานพระพุทธรูปปางนาคปรก
ปรางค์องค์ขวาประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปรางค์องค์ซ้ายประดิษฐานรูปนางปรัชญาปารมิตา
ปรางค์นางผมหอม
อยู่ที่ตำบลหนองยายโต๊ะ อำเภอชัยบาดาล มีลักษณะเป็นปรางค์องค์เดียวโดด
ๆ ก่อด้วยอิฐก้อนใหญ่ไม่สอปูน ปัจจุบันยอดปรางค์หักหมด มีประตูเข้าไปในตัวปรางค์ได้
กรอบประตูสร้างด้วยแท่งหิน ภายในตัวปรางค์เป็นห้องโถง รอบ ๆ องค์ปรางค์มีก้อนหินใหญ่อยู่เกลื่อนกลาด
ห่างออกไปจากองค์ปรางค์ไปไม่มากนักเป็นเนินดิน มีซากอิฐอาจจะเป็นฐานวิหารหรือเจดีย์
ชาวบ้านเรียกว่า โคกคลีน้อย
และยังมีเนินดินกว้างอยู่อีกแห่งหนึ่งเรียกว่า โคกคลีใหญ่
บริเวณที่ตั้งของปรางค์นางผมหอม มีแม่น้ำมาบรรจบกันสองสาย คือ ลำสนธิกับลำพญากลาง
สันนิษฐานว่าบริเวนนี้เดิมคงเป็นเมืองโบราณ
มีตำนานพื้นเมืองเรื่องปรางค์นางผมหอมอยู่ว่า ราชธิดาของเจ้าเมืองแห่งหนึ่งชื่อนางผมหอม
มีความงามเป็นเลิศ ทุกครั้งที่นางสระสนาน มักจะไปนั่งที่ก้อนหินก้อนหนึ่งแล้วสระผม
บริเวณที่ก้อนหินนั้นตั้งอยู่จึงเรียกว่า ท่านางสระผม
วันหนึ่งผมของนางลอยไปตามน้ำกษัตริย์อีกเมืองหนึ่งเก็บผมของนางได้ เกิดความหลงไหลเจ้าของผม
จึงให้ทหารออกตามหาเจ้าของผม จนพบแล้วกลับมากราบทูลให้ทรงทราบ กษัตริย์องค์นั้นจึงเสด็จไปหานาง
เมื่อพบแล้วก็เกิดความรักแต่นางมีคู่หมั้นก่อนแล้ว และเป็นสหายของพระองค์ด้วย
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงพนันตีคลีกัน ผู้ใดชนะก็จะได้นางผมหอมไปเป็นชายา
นางผมหอมเฝ้าดูการตีคลีด้วยความอัดอั้นตันใจจึงได้ผูกคอตาย ฝ่ายทั้งสองชายเมื่อทราบเรื่องก็ชวนกันกระโดดน้ำตายด้วยความเสียใจ
สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า ปากชวน
ส่วนศพนางผมหอมก็ได้บรรจุไว้ในปรางค์ จึงได้ชื่อว่า ปรางค์นางผมหอม
สถานที่ตีคลีพนันกันก็ได้ชื่อว่า โคกคลี
ศาลพระกาฬ
อยู่ใกล้ปรางค์สามยอด เป็นเทวสถานเก่าแก่สมัยขอมครองเมืองลพบุรี มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
16 สร้างด้วยศิลาแลงเรียงซ้อนกันเป็นฐานสูง จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ศาลสูง
เป็นเทวสถานแบบขอม มีลักษณะเป็นปรางค์เดี่ยวขนาดใหญ่ รูปร่างสี่เหลี่ยมจตุรัส
มีมุขยื่นด้านหน้า มีบันไดขึ้นลงทั้ง 4 ด้าน เรือนธาตุหรือองค์ปรางค์หักพังหมดแล้ว
ทับหลังสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ ทำด้วยหินทราย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่
17 ได้พบศิลาจารึกหลักที่ 18 เป็นเสาแปดเหลี่ยม กับศิลาจารึกศาลสูงหลักที่
19 และ 20 เป็นอักษรขอม ภายในวิหารประดิษฐานรูปพระนารายณ์ประทับยืนทำด้วยหินสององค์
หรือเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร องค์เล็ก เป็นเทวรูปรุ่นเก่า องค์ใหญ่เป็นประติมากรรมแบบลพบุรี
ศาลพระกาฬเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
คู่บ้านคู่เมืองลพบุรีมาช้านานจนถึงปัจจุบัน
ป้อม
ประตู เมือง ประตูชัย ประตูพะเนียด
ป้อมปราการของเมืองลพบุรี ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ค่อนข้างสมบูรณ์
มี 2 แห่งคือ ป้อมท่าโพธิ และป้อมชัยชนะสงคราม
ป้อมท่าโพธิ
อยู่บนเนินเขาท่าโพธิ ทางด้านเหนือของวัดมณีชลขันธ์
ป้อมชัยชนะสงคราม
อยู่ทางทิศตะวันออกของสถานีรถไฟลพบุรี เป็นป้อมที่มีลักษณะสูงใหญ่มาก สร้างในสมัยลพบุรี
กำแพงเมือง ป้อมค่ายและประตูหอรบของเดิม สร้างไว้แข็งแรงมากทั้ง 4 ด้าน ได้มีการสร้างเพิ่มเติมในสมัยพระราเมศวรเสด็จไปครองเมืองลพบุรี
ในสมัยสมเด็จพระมหาจักพรรดิ์ ทรงให้รื้อกำแพงเมืองออกเสีย ด้วยเกรงว่าข้าศึกจะมายึดใช้เป็นประโยชน์
ในรัชสมัยพระนารายณ์มหาราช พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างเพิ่มเติม
โดยสร้างเฉพาะตอนพระราชวังกับป้อมที่มุมเมือง และได้สร้างประตูเมืองขึ้นมาใหม่
ประตูเมือง สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือ ประตูชัย
และประตูพะเนียด
ประตูชัย
อยู่ทางมุมกำแพงพระนารายณ์ราชนิเวศน์ด้านตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะสูงเด่น
ช่องประตูโค้งแหลม ประตูนี้อยู่ติดกำแพงเมือง ซึ่งมีลักษณะเป็นกำแพงดิน
ขนานคู่กับพระราชวังด้านทิศใต้
ประตูพะเนียด
อยู่ในบริเวณค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซากประตูที่เหลือมีลักษณะค่อนข้างสมบูรณ์
ในบริเวณนี้มีร่องรอยพะเนียดคล้องช้าง เป็นเนินดินปรากฎอยู่ พะเนียดคล้องช้างนี้ได้ใช้จับช้างมาหลายยุคหลายสมัย
วัดนครโกษา
อยู่ที่ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง ใกล้กับศาลพระกาฬ เดิมเป็นเทวสถานของขอม มีพระปรางค์แบบลพบุรี
มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 อยู่ด้านหน้า พระพุทธรูปปูนปั้นแบบอู่ทองบนปรางค์
ได้สร้างเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง ได้พบพระพุทธรูปหินขนาดใหญ่แบบลพบุรี มีร่องรอยดัดแปลงเป็นพระพุทธรูปอยู่
2 องค์ ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ เทวสถานแห่งนี้
ภายหลังมีผู้สร้างเป็นวัดในสมัยอยุธยา จะเห็นได้จากซากวิหารที่เหลือแต่ผนังและเสาอยู่ทางด้านหน้า
มีเนินเจดีย์สูงก่อด้วยอิฐอยู่ด้านหลัง
การที่ได้ชื่อว่าวัดนครโกษา มีผู้สันนิษฐานว่าเนื่องจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี
(ขุนเหล็ก) ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เป็นผู้บูรณะจึงได้ชื่อนี้
พระนารายณ์ราชนิเวศน์
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลพบุรี ทางด้านตะวันตกของตัวเมืองลพบุรี เดิมเรียกว่า
วังนารายณ์
สันนิษฐานว่าเป็นพระราชวังของพระราเมศวร คราวที่ประทับอยู่ที่เมืองลพบุรี
เมื่อถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระราชวังที่เมืองลพบุรีอย่างงดงาม
ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยผสมกับยุโรป เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระราชวังนี้ได้ถูกทิ้งร้าง
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้บูรณะพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมาใหม่
เพื่อให้เป็นราชธานีชั้นใน และพระราชทานนามว่า พระนารายณ์ราชนิเวศน์
พระราชวัง แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ชั้น ชั้นนอกอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นที่ทำการรัฐบาลและเป็นคลัง
ชั้นกลางเป็นโรงช้างโรงม้า ชั้นในอยู่ทางด้านทิศตะวันตก เป็นพระราชมณเฑียร
ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสร้าง มีพระที่นั่ง 3 องค์ คือ พระที่นั่งจันทรพิศาล
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ และพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
พระที่นั่งและตึกต่าง ๆ ได้สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พอประมวลได้ดังนี้
พระที่นั่งและตึกที่สร้างในรัชสมัยพระนารายณ์มหาราช ได้แก่ พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
พระที่นั่งจันทรพิศาล พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ตึกเลี้ยงต้อนรับแขกเมือง
ตึกพระเจ้าเหา หมู่ตึกสิบสองท้องพระคลังและถังเก็บน้ำ
พระที่นั่งและตึกที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่
หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ หมู่ตึกพระประเทียบ ทิม บ้านหลวงรับราชทูต
หรือบ้านวิชาเยนทร์
บ้านหลวงรับราชทูต
หรือบ้านวิชาเยนทร์
ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ใกล้กับปรางค์แขก
และวัดเสาธงทองในเขตตำบลท่าหิน อำเภอเมือง สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ จึงได้ชื่อว่าบ้านวิชาเยนทร์
และเมื่อคราวที่ทูตจากประเทศฝรั่งเศส คือ เชอวาเลีย เดอโชมองต์ เข้ามาเมื่อปี
พ.ศ. 2228 ก็ได้พักอยู่ ณ ที่นี้จึงได้ชื่อว่าบ้านหลวงรับราชทูต
พื้นที่บริเวณบ้านวิชาเยนทร์ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน มีตึกใหญ่น้อยอยู่หลายหลัง
มีถังเก็บน้ำประปา และมีกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน นับว่าเป็นสถานที่ที่ใหญ่โต
รองลงมาจากพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ส่วนกลางและส่วนด้านตะวันออก
มีสิ่งก่อสร้างที่มีความสัมพันธ์กันคือ โบสถ์ และตึกหลังใหญ่สองชั้น ใช้เป็นที่ต้อนรับทูตต่างประเทศ
โบสถ์ทางคริสตศาสนาเป็นของนิกายเยซูอิต อาคารบริเวณด้านตะวันตกคงเป็นที่อาศัยของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของอาคารบางหลังเป็นแบบยุโรป แต่บางหลังเช่นอาคารที่เป็นโบสถ์
ผังและแบบของโบสถ์เป็นแบบยุโรป แต่ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว
และมีปลายเสาเป็นรูปกลีบบัวยาว อันเป็นศิลปะแบบไทย นับว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่ตกแต่งโบสถ์แบบพุทธหลังแรกในโลก
พระที่นั่งไกรสรสีหราช
หรือพระที่นั่งเย็น
อยู่ที่ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นบนเกาะกลางทะเลชุบศร
เพื่อใช้เป็นที่สำราญพระอริยาบท หลังจากเสด็จประพาสล่าช้างบริเวณภูเขาทางด้านทิศตะวันออก
เคยใช้เป็นที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะ จากฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2228
เพื่อสำรวจจันทรุปราคา ยังมีภาพการสำรวจจันทรุปราคาที่พระที่นั่งแห่งนี้
ซึ่งชาวฝรั่งเศสวาดไว้ เป็นรูปสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวมลอมพอก และทรงใช้กล้องส่องดูดาวยาววางบนขาตั้ง
พระที่นั่งนี้มีเขื่อนหินถือปูนล้อมรอบ ปัจจุบันเหลือแต่ผนัง เครื่องบนหักพังหมดแล้ว
เป็นพระที่นั่งชั้นเดียว มีผังเป็นทรงจตุรมุข ทะเลชุบศรเป็นพื้นที่ลุ่มมีพื้นที่ติดต่อกับทุ่งพรหมมาสตร์ไปทางทิศตะวันออก
ในฤดูฝน น้ำฝนจะไหลจากภูเขา มารวมอยู่ในแอ่งนี้ จนแลดูคล้ายทะเลสาบ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ได้ทำประตูกั้นน้ำ-ระบายน้ำไว้ แล้วไขให้น้ำไหลล้นลงมายังสระแก้ว แล้วฝังท่อดินเผา
นำน้ำจากสระแก้วไปยังตัวเมือง ปัจจุบันทะเลชุบศรตื้นเขินหมดแล้ว
วัดสันเปาโล
อยู่ในเขตตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง คำว่าสันเปาโล คงจะเพี้ยนมาจาก
เซนต์ปอลหรือ แซงต์เปาโล (Saint Paulo) วัดนี้ตั้งอยู่ตรงกับตำแหน่งแผนที่เมืองลพบุรี
ที่ชาวฝรั่งเศสทำขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นวัดในคริสตศาสนานิกาย
เยซูอิต มีหอคอยแปดเหลี่ยม สำหรับใช้เป็นที่สังเกตุปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์
เมื่อปี พ.ศ. 2228 นับว่าเป็นหอดูดาวแห่งแรกของไทย หอนี้ยังปรากฎอยู่จนบัดนี้
มีซากอาคารก่ออิฐเป็นผนังฉาบปูน แบ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมอยู่รวมกันเป็นแถวมีจำนวน
6 ห้อง เป็นสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป เพราะปรากฎว่ามีการใช้ลวดลายของบัวประดับอาคาร
เพนียดคล้องช้าง
ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศตะวันออกในบริเวณค่ายสมเด็จพระนารายณ์ ตำบลทะเลชุบศร
อำเภอเมือง ลักษณะเป็นเนินดินรูปสี่เหลี่ยม มีมาแต่สมัยขอม เป็นที่จับช้างป่ามาใช้ในราชการเป็นคราว
ๆ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมอร์ซิเออร์ เชวาเลีย
เดอโชมองต์ ราชาทูตฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับราชอาณาจักรไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก
ได้บันทึกเป็นจดหมายเหตุไว้ว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จับช้างให้ชมที่เพนียดแห่งนี้
ในบริเวณใกล้เพนียดมีประตูเมือง เรียกว่า ประตูเพนียด ซึ่งสร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สระมโนห์รา
อยู่ข้างปรางค์สามยอดในเขตตำบลท่าหิน อำเภอเมือง เป็นสระใหญ่มากสระหนึ่ง
สันนิษฐานว่าอาจจะขุดเป็นสระเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในเมือง
หรือมิฉะนั้นก็ใช้ดินที่ขุดจากสระ ถมสร้างหรือสร้างปรางค์สามยอด
สระเสวย
อยู่บนเนินดินติดกับแม่น้ำลพบุรี ห่างจากวัดมณีชลขัณฑ์ไปทางเหนือประมาณ
150 เมตร ในเขตตำบลพรหมมาสตร์ อำเภอเมือง ไม่มีประวัติว่าสร้างในสมัยใด
สันนิษฐานว่าคงมีมาแล้วแต่ครั้งกษัตริย์โบราณ (พระร่วง) ที่ครองเมือง
ใช้น้ำในสระส่งส่วยน้ำไปให้ขอม
สระแก้ว
อยู่ในเขตตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง เป็นสระที่มีมาแต่โบราณ ชาวเมืองได้อาศัยน้ำในสระนี้บริโภค
เชื่อว่าเป็นน้ำสะอาดบริสุทธ์ และเป็นศิริมงคล จึงได้นำไปใช้ในงานพระราชพิธี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำพิธีชุบพระแสงศัตราวุธ
ที่สร้างขึ้นใหม่ครั้งหนึ่ง
แท่งหินลูกศร
|
อยู่บริเวณหลังวัดปืนใหญ่ริมแม่น้ำลพบุรี มีแท่งหินโผล่ขึ้นมาเหนือระดับดิน
สูงประมาณ 1 เมตร เข้าใจว่าเป็นหลักเมืองโบราณ สมเด็จกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพ
ได้ทรงนิพนธ์เกี่ยวกับศาลลูกศรไว้ ในตำนาน เมืองลพบุรีมีความว่า
หลักเมืองลพบุรีอยู่ทางตลาดข้างเหนือวัง เรียกกันว่า ศรพระราม
จะมีมาแต่สมัยก่อนขอม ฤาเมื่อครั้งขอมทราบไม่ได้แน่ ที่เรียกกันว่า
ศรพระรามนั้น เกิดแต่เอาเรื่องรามเกียรติ์ มาสมมุติเป็นนามของเมืองนี้
ความในเรื่องรามเกียรติว่า เมื่อเสร็จศึกทศกัณฑ์ พระรามกลับไปครองเมืองอยุธยาแล้ว
จะสร้างเมืองประทานหนุมาณจึงแผลงศรไป ลูกศรพระรามไปตกบนยอดเขา ทำให้ยอดเขาราบลง
หนุมาณตามไปถึงจึงเอาหางกวาดดินเป็นกำแพงเมือง แล้วพระอินทร์ให้พระวิษณุกรรมลงมาสร้างเมือง
เสร็จแล้วพระรามจึงประทานนามว่า เมืองลพบุรี ด้วยเหตุนี้จึงอ้างกันมาก่อนว่า
หลักเมืองนั้นคือ ลูกศรพระรามกลายเป็นหิน ต่อมาได้มีการก่อกุฎิครอบรักษาไว้
นับถือกันอย่างเป็นศาลเทพารักษ์ |
|