www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
นครปฐม เป็นเมืองโบราณที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่ง ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย
เชื่อมต่อกับสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการตั้งถิ่นฐานทางพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรกในสมัยทวารวดีประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๑ เป็นต้นมา จากหลักฐานทางโบราณคดี ทำให้ทราบว่ามีกลุ่มชนเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายยุคโลหะ
ภายหลังสังคมเกษตรกรรม อายุประมาณ ๒,๐๐๐ ปี มาแล้ว ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นชุมชนสมัยประวัติศาสตร์ในสมัยทวารวดี
และได้พัฒนาการตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องกันจนถึงปัจจุบัน
เมืองโบราณในสมัยทวารวดี จะมีความสัมพันธ์กับแนวชายฝั่งทะเลเดิมของอ่าวไทย
มีความสูง ๓ - ๕ เมตร เมืองโบราณเหล่านี้ตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่สูงกว่าแนวชายฝั่งขึ้นไป
แนวชายฝั่งดังกล่าวเป็นอ่าวลึกเว้าเข้าไปในแผ่นดิน ด้านเหนือจรดลพบุรี และสิงห์บุรี
ด้านตะวันออกจรดนครนายก พนมสาคาม พนัสนิคม และชลบุรี ด้านตะวันตกจรดสุพรรณบุรี
อู่ทอง กำแพงแสน และนครชัยศร (เมืองพระประโทน)
อำเภอกำแพงแสน เป็นดินแดนที่มีประวัติการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาแต่สมัยโบราณ
เป็นเมืองสมัยทวารวดี ร่วมสมัยกับเมืองโบราณสมัยทวารวดีแห่งอื่น ๆ เช่น เมืองโบราณนครปฐม
เมืองอู่ทอง (สุพรรณบุรี) และเมืองคูบัว (ราชบุรี) นอกจากนี้ยังเป็นดินแดนที่ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เคยอยู่อาศัยมาก่อน
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ จะกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ที่มีแหล่งน้ำอันเป็นปัจจัยสำคัญ
ต่อมาได้พัฒนาเป็นชุมชนเมือง ชุมชนสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ในช่วงเริ่มแรกในจังหวัดนครปฐม
จะมีการดัดแปลงพื้นที่ โดยการขุดเป็นร่องน้ำล้อมรอบ และกันด้วยคันดินทั้งสี่ด้าน
สภาพชุมชนเมืองโบราณที่ยังคงเหลืออยู่ ในเขตจังหวัดนครปฐมมีอยู่สองแห่ง คือ
เมืองนครปฐมโบราณ
จากภาพถ่ายทางอากาศที่ได้มีการตรวจสอบกัน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ เห็นร่องรอยฝังเมืองโบราณอยู่ที่บริเวณพระประโทนเจดีย์
ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
กว้างประมาณ ๒,๐๐๐ เมตร ยาวประมาณ ๓,๖๐๐ เมตร ล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ กว้างประมาณ
๖๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ ๓,๘๐๐ ไร่ ที่เมืองเปรียบเทียบกับเมืองโบราณอื่น
แล้วเมืองนี้มีขนาดใหญ่กว่าบรรดาเมืองโบราณที่พบในประเทศไทย ก่อนสมัยอยุธยา
มีคลองขุดเป็นเส้นตรงเชื่อมคูเมืองด้านใต้ และด้านเหนือ ปัจจุบันคือ คลองพระประโทน
คลองนี้ตัดผ่านถนนเพชรเกษม และวัดพระประโทนไปบรรจบคูเมืองด้านเหนือ คลองนี้น่าจะขุดขึ้นเพื่อความสะดวกในการคมนาคม
ของประชาชนทั้งที่ยู่อาศัยในเมือง และนอกเมือง เช่นเดียวกับเมืองโบราณศรีมโหสถ
ในจังหวัดปราจีนบุรี นอกจากนี้ยังมีการขุดสระน้ำขนาดใหญ่ และเล็กเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันยังปรากฏอยู่ ๖ แห่ง สระที่สำคัญอยู่กลางใจเมืองทางด้านทิศตะวันตกของพระประโทนเจดีย์
มีร่องรอยการขุดคลองเข้ามาหล่อเลี้ยงสระอยู่หลายแห่ง
ปัจจุบันคูเมืองดังกล่าวตื้นเขิน ใช้ประโยชน์ได้เพียงบางช่วง ยกเว้นคูเมืองทางด้านทิศใต้
จะมีน้ำตลอดสายทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีแม่น้ำบางแก้วไหลแยกจากลำน้ำพะเนียง
ซึ่งมีต้นกำเนิดจากแม่น้ำแม่กลองไหลผ่านเข้าตัวเมือง โดยไหลตัดคูเมืองทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ไปออกคูเมืองทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ใกล้กับวัดธรรมศาลา ปัจจุบันแม่น้ำบางแก้วส่วนที่ไหลผ่านตัวเมืองตื้นเขิน
จนแทบไม่เห็นร่องรอยว่าเคยเป็นแม่น้ำมาก่อน ส่วนที่ผ่านวัดธรรมศาลาไปแล้ว
แปรสภาพเป็นคลองบางแก้ว
ไหลไปออกแม่น้ำท่าจีน ที่วัดกลางบางแก้ว อำเภอนครชัยศรี
ทางด้านทิศตะวันตกมีคลองวังตะกู
อันเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำทัพหลวง
มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำแม่กลอง ไหลผ่านวัดวังตะกู ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้
วัดใหม่ปีนเกลียว เข้าสู่ตัวเมืองนครปฐม ปัจจุบันผ่านวัดห้วยจระเข้ และไปบรรจบกับคูเมืองด้านทิศตะวันตก
ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีแม่น้ำบางแขม
ซึ่งไหลแยกจากแม่น้ำแม่กลอง
เมื่อถึงเมืองนครปฐมโบราณ จะไหลขนานไปกับคูเมืองด้านทิศใต้ มีร่องรอยการขุดคลองเชื่อมระหว่างคูเมืองด้านหัวมุมทิศใต้เรียกว่า
คลองบ่อโตนด
และยังขุดคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำบางแก้ว และแม่น้ำบางแขม
ศาสนสถาน
เท่าที่พบในบริเวณเมืองโบราณแบ่งออกได้ดังนี้
ศาสนสถานในเมือง คือ เจดีย์จุลประโทน
และที่อยู่กลางเมืองคือ วัดพระประโทน
ศาสนสถานนอกเมืองที่เป็นศาสนสถานสมัยทวารวดีคือ วัดพระเมรุ เนินพระ และวัดพระปฐมเจดีย์
ศาสนสถานซึ่งพบเพียงเนินอิฐคือ ศาสนสถานที่วัดธรรมศาลา วัดพระงาม และวัดหลวงประชาบูรณะ
เมืองเก่ากำแพงแสน
เมืองเก่ากำแพงเป็นเมืองโบราณรูปสี่เหลี่ยมมุมมน ยังปรากฏร่องรอยคันดินและคู่น้ำล้อมอยู่ในเขตตำบลทุ่งขวาง
อำเภอกำแพงแสน มีขนาดกว้างประมาณ ๗๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๑,๐๐๐ เมตร มีพื้นที่ประมาณ
๔๐๐ ไร่ ประตูเมืองยังคงเห็นได้ชัดเจนทั้งสี่ประตู คือ ประตูด้านทิศเหนือเรียกว่า
ประตูท่านางสรง
ประตูด้านทิศตะวันออกเรียกกันว่า ประตูท่าพระ
ประตูด้านทิศใต้เรียกกันว่า ประตูท่าช้าง
ประตูด้านทิศตะวันตกเรียกกันว่า ประตูท่าตลาด
ภายในตัวเมืองอยู่เกือบกลางเมืองอีกสองแห่ง ภายนอกเมืองทางด้านทิศตะวันออกมีคลองรางพิกุล
ที่มุมเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีช่องมาในเมืองเรียกว่า ช่องปากเมือง
หรือปากกลาง พบเศษอิฐจมอยู่ทางด้านใต้ของเมือง พบซากเจดีย์ที่ขุดแล้วหลายองค์
นอกบริเวณเมืองพบพระพุทธรูปปูนปั้นรูปสิงโต และซากเจดีย์สมัยทวารวดีอีกหลายองค์
มีลักษณะของฐานแบบเดียวกับที่เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี หลักฐานทางโบราณคดีที่พบได้แก่
หินบตยา ทำด้วยหินทรายสีแดง ซึ่งพบเป็นครั้งแรก (ส่วนใหญ่จะเป็นสีเขียวหรือสีดำเท่านั้น)
นอกจากนี้ยังพบจารึกบนฐานธรรมจักรศิลา อักษรปัลลวะ ภาษาบาลี อายุประมาณพุทธศตวรรษที่
๓
นครปฐมในพุทธศตวรรษที่
๓ - ๑๐
จากการสำรวจทางโบราณคดี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ ที่บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี
เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และบริเวณใกล้เคียง ได้พบลูกปัดโบราณฝังรวมกับสิ่งของเครื่องใช้อื่น
ๆ ในหลุมฝังศพ ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ลูกปัดที่พบในหลุมฝังศพ และบริเวณใกล้เคียงมีมากกว่า
๓,๐๐๐ เม็ด และมีอยู่จำนวนหนึ่ง มีลักษณะคล้ายลูกปัดที่พบในอินเดียตอนเหนือ
ซึ่งเป็นแหล่งผลิตลูกปัด มีอายุร่วมสมัยกับลูกปัดที่พบที่บ้านดอนตาเพชร
นอกจากลูกปัดแล้วยังพบ ภาชนะสำริดที่มีส่วนผสมดีบุกซึ่งใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
และใช้ในชีวิตประจำวัน ภาชนะดังกล่าวมีลวดลายแบบอินเดีย แต่ส่วนผสมของวัสดุที่ใช้ผลิตน่าจะเป็นของชาวเมืองผลิตขึ้นใช้เอง
และส่งไปขายยังที่อื่น เนื่องจากสำรวจพบว่า ภาชนะลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ในประเทศอินเดียด้วย
นอกจากนี้ยังพบขวานหิน กำไล ตะเกียงโรมัน โครงกระดูก หลุมฝังศพ ฯลฯ ล้วนสอดคล้องเชื่อมโยงกันได้ว่า
แหล่งที่พบสิ่งของดังกล่าว และบริเวณใกล้เคียง เคยเป็นแหล่งอาศัยของชุมชนพื้นเมือง
ที่มีขนาดต่าง ๆ กันกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณเมืองโบราณ ชุมชนแต่ละแห่งมีการแลกเปลี่ยนติดต่อสัมพันธ์กัน
และติดต่อค้าขายกับผู้ที่เดินทางมาจากที่อื่นด้วย โดยเฉพาะชาวอินเดีย มีหลักฐานจำนวนมากที่แสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดีย
และวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างอินเดีย กับพื้นเมืองปรากฏอยู่ทั่วไป โดยมีศาสนาและภาษามีความสำคัญในอันดับต้น
ๆ
จากสภาพทางภูมิศาสตร์ และหลักฐานโบราณคดี ในจังหวัดนครปฐม สรุปได้ว่าดินแดนแถบนี้ประกอบด้วยหลายชนชาติ
มีอารยธรรมของตนเอง รับอารยธรรมพุทธศาสนาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๖ มีศาสนสถานขนาดใหญ่
ที่ยังปรากฏร่องรอยถึงปัจจุบัน เช่น ศาสนสถานที่พระปฐมเจดีย์ วัดพระประโทน
วัดพระเมรุ วัดพระงาม วัดธรรมศาลา และที่เนินพระ ตำบลดอนยายหอม เป็นต้น
เมืองโบราณและศาสนสถานดังกล่าว มีมาแล้วก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๑ และได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา
โบราณวัตถุที่พบในเมืองโบราณดังกล่าว มีอายุถึงศตวรรษที่ ๑๑ เช่น พระปฐมเจดีย์
เมื่อแรกสร้างมีลักษณะคล้ายกับสถูปที่สาญจี ประเทศอินเดีย ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้
เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๓ - ๔ ลวดลายส่วนประกอบของพระพุทธรูป เครื่องประดับ
เข็มขัด เครื่องแต่กายบางชิ้นมีลวดลายเป็นอิทธิพลจากศิลปะแบบอมรวดี
และแบบคุปตะของอินเดีย
ซึ่งรุ่งเรืองอยู่ในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗ - ๑๓ ฐานเจดีย์ที่วัดพระงาม
วัดพระประโทน และวัดพระเมรุ มีร่องรอยว่ามีการสร้างเสริมหลายครั้ง ลวดลายปูนปั้นที่ประดับฐานเจดีย์มีอิทธิพลลวดลายแบบอินเดีย
สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ ภาพปูนปั้นรอบฐานเจดีย์จุลประโทน (ใกล้วัดพระประโทน)
เป็นเรื่องชาดกในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ใช้ภาษาสันสฤตรูปแบบโครงสร้างของเจดีย์วัดพระเมรุ
คล้ายกับอานันทเจดีย์ในอาณาจักรพุกามของพม่า สันนิษฐานว่า อานันทเจดีย์อาจได้แบบอย่างจากวัดพระเมรุ
นี้
นอกจากนี้ ยังปรากฏโบราณสถานโบราณวัตถุอื่น ๆ เช่น ซากสิ่งก่อสร้าง เสาศิลา
ธรรมจักรศิลา ระฆังหิน และกวางหมอบศิลา ตุ๊กตาปูนปั้นหน้าตาแบบแขก พระพิมพ์ดินเผา
พระพุทธรูปขนาดต่าง ๆ ศิลาจำหลักรูปนรสิงห์นั่งชันเข่า และโบราณวัตถุอื่น
ๆ พบอยู่ทั่วไปในเขตเมืองโบราณ พบเหรียญเงิน ที่ตำบลพระประโทน อำเภอเมือง
ฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ ทำด้วยเงิน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๙ มิลลิเมตร ด้านหน้าเป็นรูปหม้อกลศ
(หม้อน้ำที่น้ำเต็ม) ด้านหลังจารึกข้อความด้วยภาษาสันกฤตโบราณว่า ศรีทวารติปุณยุ
และการพบเหรียญอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง ทำให้ถือเป็นหลักฐานสรุปได้ว่า ในภาคกลางของไทย
ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๓ เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนขนาดใหญ่ อยู่รวมกันเป็นปึกแผ่น
ซึ่งคนสมัยหลังเรียกอาณาจักรนี้ว่า ทวารวดี
มีการติดต่อค้าขายกันระหว่างเมืองต่าง ๆ ในอาณาจักร ต่อมาได้มีผู้พบเหรียญเงินในลักษณะคล้ายคลึงกัน
ในเขตเมืองโบราณอื่น ๆ เช่น ที่เมืองอู่ทอง (ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี) ที่บ้านเมือง
(ในเขตจังหวัดสิงห์บุรี) และที่เมืองดงคอน (ในเขตจังหวัดชันนาท) โบราณสถาน
และโบราณวัตถุที่พบนี้ จัดเป็นศิลปแบบทวารวดีที่มีต้นเค้ามาจากศิลปะอินเดีย
ผสมผสานกับศิลปะพื้นเมืองเดิม
นครปฐมในสมัยพุทธศตวรรษที่
๑๑ - ๑๖
ในหนังสือบันทึกการเดินทางของภิกษุ เหี้ยนจัง
(พระถังซำจั๋ง) ที่เดินทางทางบกไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย ระหว่างปี พ.ศ.๑๑๗๒
- ๑๒๘๐ และบันทึกการเดินทางของภิกษุอี้จิง
ซึ่งเดินทางทางทะเล ในช่วงเวลาต่อมา ได้กล่าวถึงอาณาจักรหลายแห่งในขณะนั้น
บันทึกทั้งสองฉบับนี้ ได้ระบุชื่ออาณาจักรแห่งหนึ่งอยู่ระหว่างอาณาจักรศรีเกษตร
(อาณาจักรโบราณในพม่า) และอาณาจักรอิศานถปุระ (อาณาจักรเขมร) อาณาจักรดังกล่าวน่าจะเป็นอาณาจักรทวารวดี
ภิกษุจีนทั้งสองไม่ได้มาถึงอาณาจักรทวารวดีด้วยตนเอง แต่เขียนจากที่ได้รับฟังจากชนพื้นเมืองในอินเดีย
ในพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ถัง กล่าวว่า สามารถเดินทางด้วยเรือ จากเมืองกวางตุ้งไปอาณาจักรทวารวดีได้ในห้าเดือน
นอกจากหลักฐานของจีน แล้วยังมีคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา และนิทานพื้นเมืองอีกหลายฉบับ
เช่น ชินกาลมาลีปกรณ์ คัมภีร์มหาวงศ์ (พงศาวดารลังกาทวีป) มิลินทปัญหา และกถาสริดสาคร
เล่าถึงการเดินทางมาติดต่อกับผู้คนในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งมีอาณาจักรทวารวดีตั้งอยู่
และที่สำคัญพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งสมณฑูตในพระพุทธศาสนา คือ พระโสณเถระ
กับพระอุตรเถระ
มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ ซึ่งเรียกว่า สุวรรณภูมิ
จารึกพบในอาณาจักรทวารวดี ที่นครปฐมซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุด อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่
๑๑ - ๑๖ ได้แก่ จารึก เยธมฺมา เหตุปปภวา...
ซึ่งจารึกด้วยอักษรปัลลวะ (อินเดียใต้) เป็นภาษาบาลี พบจำนวนหลายชิ้น นอกจากนี้ยังมีจารึกรุ่นเก่าอีกชิ้นหนึ่งที่วัดโพธิร้าง
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ขององค์พระประปฐมเจดีย์ จารึกอักษรปัลลวะ เป็นภาษามอญ
นับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเกี่ยวกับอารยธรรมมอญโบราณ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ได้เป็นอย่างดี
จากหลักฐานจารึกดังกล่าวพอสรุปได้ว่า จังหวัดนครปฐม ในห้วงเวลาดังกล่าวเป็นเหล่งอาศัยของชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ถาวร
มีอารยธรรมของตนเอง และต่อมาได้รับอารยธรรมจากภายนอกมาประสมกลุ่มชนอาจมีหลายเชื่อชาติ
ให้ภาษาต่างกัน แต่บางกลุ่มที่อาศัยในแถบนครปฐม และเมืองใกล้เคียงใช้ภาษามอญในการบันทึก
นอกเหนือจากใช้ภาษาบาลี สันสกฤตซึ่งเป็นภาษาทางศาสนา อาจสรุปได้ว่า กลุ่มชนที่มีจำนวนอยู่ในนครปฐม
และในอาณาจักรทวารวดี เป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษามอญเป็นภาษาพื้นเมือง
|