www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
มรดกทางพระพุทธศาสนา
วัดพระปฐมเจดีย์
วัดพระปฐมเจดีย์วรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ในเขตตำบลพระปฐมเจดีย์
อำเภอเมือง ฯ มีองค์พระปฐมเจดีย์เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ เป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มีรูปลักษณะสัณฐานเป็นเจดีย์ทรงลังกา มีขนาดที่สำคัญดังนี้
- ความสูงจากพื้นดินถึงยอดมงกุฎ ๑๒๐ เมตร
- ฐานโดยรอบยาว ๒๓๕ เมตร
- คต (ระเบียง) โดยรอบยาว ๕๖๒ เมตร
- กำแพงแก้วชั้นในโดยรอบยาว ๙๑๒ เมตร
ฐานเจดีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีชั้นลดขึ้นไปเป็นเจดีย์ มีระเบียงคตล้อมรอบเป็นวงกลม
ที่ระเบียงคตตรงทิศทั้งสี่ มีวิหารประจำทิศ ถัดเข้าไปเป็นลานประทักษิณ แล้วเป็นฐานเป็นชั้นขึ้นไปจนถึงฐาน
ต่อจากนั้นเป็นองค์ระฆัง ซึ่งมีรูปลักษณะเป็นรูประฆังปากผายคว่ำ มีช่องบัวใบเทศอยู่ระหว่างกึ่งกลางองค์ระฆังทั้งสี่ทิศ
ถัดจากองค์ระฆังขึ้นไปเป็นบัลลังค์ เสาหานบัวถลาหน้ากระดาน ปล้องไฉนจำนวน
๒๗ ปล้อง ปลียอด เม็ดน้ำค้าง นพศุลและมงกุฎ
ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์
ตามหลักฐานในคัมภัร์มหาวงศ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "ให้พระโสณเถระกับพระอุตรเถระ
ไปยังสุวรรณภูมิ" สุวรรณภูมิในที่นี้น่าจะเป็นดินแดนที่เมืองนครปฐมตั้งอยู่
และสุวรรณภูมิน่าจะเป็นเมือง ตามความนิยมของการเรียกอาณาจักรในสมัยนั้น
การสร้างพระปฐมสันนิษฐานว่า มีการสร้างและปฏิสังขรณ์มาแล้วอย่างน้อยสามครั้ง
คือ
- สมัยสุวรรณภูมิ เป็นการสร้างครั้งแรก เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่
๓๐๐ - ๑๐๐๐
- สมัยทวารวดี มีการสร้างเพิ่มเติม เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๐๐๐ - ๑๖๐๐
- สมัยรัตนโกสินทร์ หลังจากถูกทิ้งร้างมานาน
จากหลักฐานทางธรณีวิทยา บริเวณพรปฐมเจดีย์ในสมัยทวารวดี อยู่ห่างจากฝั่งทะเลประมาณ
๑๐ กิโลเมตร จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า มีซากเจดีย์ที่ถูกรื้อออกไปเพื่อสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพ
ฯ ถึงนครปฐมเป็นจำนวนมาก เหลือองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งสูง ๑๙ วา ๒ ศอก
นอกจากนั้นยังพบพุทธอาสน์ รอยพระพุทธบาทธรรมจักรศิลา รูปปั้น รวมถึงซากกุฏิพระสงฆ์
วิหารอยู่โดยรอบ แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งเมืองใหญ่
องค์พระปฐมเจดีย์ถูกทิ้งร้างมานาน สันนิษฐานว่า ประมาณปี พ.ศ.๑๕๐๐ เป็นต้นมา
อาจจะเนื่องจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบที่เมืองพุกาม มีลักษณะเดียวกันกับที่พบที่เมืองนครปฐม
เช่น พระพิมพ์ในเงินเหรียญ รูปสังข์ รูปปราสาท ทั้งอานันทเจดีย์ที่เมืองพุกาม
ซึ่งสร้างหลังสมัยพระเจ้าอนุรุทธที่ ๑ ก็มีแบบเช่นเจดีย์พระเมรุ ซึ่งอยู่ห่างจาดองค์พระปฐมเจดีย์ประมาณไม่เกิน
๑ กิโลเมตร
พระปฐมเจดีย์กระทำปาฎิหารย์
ได้มีผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหารย์ที่เกิดจากพระปฐมเจดีย์มีความว่า พระปฐมเจดีย์ก่อนที่จะสร้างขึ้นมานั้น
ได้มีพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ที่นี้ ชาวบ้านเคยเห็นฉันพรรณรังสี
ปรากฏขึ้นในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา สถานที่ชาวบ้านเห็นได้แก่
องค์พระปฐมเจดีย์ทรงบาตรคว่ำ ที่พระโสณเถระ และพระอุตรเถระได้สร้างขึ้นไว้
ในการสร้างองค์พระปฐมเจดีย์ครั้งที่สองครอบองค์เดิม มีเรื่องที่กล่าถึงคือ
เมื่อประมาณ พ.ศ.๕๖๘ พระยาพานได้ทำปิตุฆาต ฆ่าบิดาของตนโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นบิดา
จึงปรึกษากับพระอริยสงฆ์ในตรั้งนั้น ได้รับคำแนะนำให้สร้างเจดีย์ใหญ่เท่านกเขาเหิน
เพื่ออุทิศกุศลให้พระบิดา ต่อมาพระองค์ได้สมาทานศีล และอธิฐานจิตอยู่หนึ่งวัน
เมื่อเวลาผ่านไปชั่วยามได้เกิดฉันพรรณรังสีปรากฏมีแสงสว่างไปทั่ว เห็นกันอยู่ทั่วกันทุกคน
พระองค์จึงปรึกษาหารือกับเหล่าปุโรหิต ข้าราชการ ตลอดจนสมณพราหมณ์ และหาฤกษ์มหามงคลสร้างพระเจดีย์
และมีมติให้เริ่มสร้างในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปี พ.ศ.๕๖๙ ได้สร้างพระปฐมเจดีย์ครอบเจดีย์องค์เดิม
เป็นเจดีย์ทรงปรางค์สูง ๔๒ วา ๒ ศอก (สูงเท่านกเขาเหิน) พระปฐมเจดีย์ได้แสดงปาฏิหาริย์เป็นระยะตลอดมา
ต่อมา เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๔ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้ามงกุฎ
เมื่อครั้งผนวชอยู่ที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) ได้เสด็จธุดงพร้อมด้วยคณะสงฆ์มายังเมืองนครปฐม
ทรงสังเกตุลักษณะและขนาดองค์พระปฐมเจดีย์ แล้วเห็นว่าเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ และน่าจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้
จึงทรงอธิฐานว่า ถ้ามีพระบรมสารีริกธาตุ ขอเทพยดารักษาจงได้แบ่งให้สักสององค์
เพื่อนำไปบรรจุพระพุทธรูปที่สร้างใหม่
หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับมาประมาณเดือนเศษ คืนหนึ่งขณะที่พระสงฆ์สวดมนต์ที่หอวัดมหาธาตุ
ได้เกิดควันสีแดง กลิ่นหอมเหมือนควันธูป จนพระพุทธรูปแลดูเหมือนสีนาก วันรุ่งขึ้นจึงไปกราบทูลให้ทรงทราบ
พระองค์จึงเสด็ไปทอดพระเนตรพระพุทธรูปเนาวรัตน์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ พบพระบรมสารีริกธาตุเพิ่มขึ้นจากเดิมสององค์
จึงโปรดให้บรรจุไว้ในพระสัมพุทธพรรณีองค์หนึ่ง ในเจดีย์สุวรรณผลึกอีกองค์หนึ่ง
และเกิดแรงศรัทธามุ่งมั่นที่จะบูรณองค์พระปฐมเจดีย์ให้จงได้
เมื่อพระองค์ขึ้นเสวยราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สองพรรษา
จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้เริ่มลงมือก่อสร้างปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ ในปี
พ.ศ.๒๓๙๖ โดยโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์
เป็นแม่กอง เมื่อสมเด็จเจ้าพระยา ฯ ถึงแก่พิราลัย ก็ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี
เป็นแม่กองต่อไป
เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๐๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดพระปฐมเจดีย์
เพื่อก่อพระเจดีย์เป็นปฐมฤกษ์โดยทางเรือ ๒๕ มีนาคม ๒๔๐๐ ทรงก่อพระปฐมเจดีย์เป็นปฐมฤกษ์
โปรดเกล้าให้ชายฉกรรจ์ที่อาศัยอยู่ปริเวณใกล้เคียงกับองค์พระปฐมเจดีย์ ถวายเป็นข้าพระ
๑๒๖ คน และทรงตั้งผู้ดูแลรักษา พระราชทานนามว่า ขุนพุทธเกษตรานุรักษ์
และมีผู้ช่วยพระราชทานนามว่า ขุนพุทธจักรรักษาสมุหบัญชี
พระราชทานนามว่า หมื่นฐานาภิบาล ทรงยกค่านาและสมพัสสร ที่ใกล้วัดขึ้นเป็นกัลปนาขึ้นวัด
ทรงถวายนิตยภัตแล้วเสด็จกลับพระนคร
การปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นการสร้างพระเจดีย์ใหญ่ครอบเจดีย์องค์เดิมไว้ภายใน
เปลี่ยนจากรูปทรงบาตรคว่ำ มีพุทธบัลลังค์เป็นฐานสี่เหลี่ยม มียอดนพศูลและมหามงกุฎไว้บนยอด
องค์พระเจดีย์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง
พระปฐมเจดีย์ได้มีปรากฏการณอันให้เห็นถึงป่ฏิหาริย์ปรากฎแก่สายตาผู้พบเห็นเป็นจำนวนมาก
เท่าที่ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน พอประมวลได้ดังนี้คือ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นปาฏิหาริย์ที่ยอดปรางค์ที่พระยาพานสร้างไว้รวม
๖ ครั้ง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นปาฏิหาริย์ที่องค์ระฆังคว่ำปัจจุบันรวม
๓ ครั้ง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นปาฏิหาริย์ที่องค์พระปฐมเจดีย์รวม
๒ ครั้ง
สถาปัตยกรรมและสิ่งสำคัญ
เริ่มจากประตูด้านทิศเหนือ ได้แก่ บันไดนาคตรงกลางพื้นปูหินอ่อน ๒ ข้าง เป็นราวบันไดนาคเลื้อยแผ่พังพานแบบศิลปะขอม
สร้างไว้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อขึ้นไปถึงชั้นลด
จะมีศาลาพักอยู่ทั้งสองข้าง นอกจากนั้นยังมีบันไดทางขึ้นอีกสองบันไดออกไปทั้งสองข้าง
ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมีระฆังใหญ่ ถัดจากชั้นลดขึ้นไปเป็นบันไดนาคเช่นกัน
ต่อขึ้นไปเป็นลานเจดีย์ ซึ่งมีหอระฆังอยู่โดยรอบจำนวน ๒๔ หอ
บนลานชั้นนี้มีวิหารทิศสี่วิหาร มีพระระเบียงเชื่อมต่อกันเป็นลักษณะวงกลม
ที่ผนังระเบียงคตด้านในมีคาถาพระธรรมบท เป็นภาษาขอมทำด้วยปูนปั้น หน้าต่างมีช่องรูปวงรี
ตัวหน้าต่างด้านในปิดทอง บนพื้นชาดเป็นรูปต้นไม้ในพุทธประวัติ ถัดจากระเบียงคตเข้าไปเป็นลานชั้นในแล้วเป็นฐานองค์พระเจดีย์
และมีบันไดขึ้นไปลานประทักษิณได้
วิหารทิศเหนือหรือวิหารพระร่วง วิหารพระร่วงเป็นที่ประดิษฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ ฯ แบ่งออกเป็นสามห้องคือ วิหารพระร่วง
ถัดเข้าไปเป็นห้องพระประสูติ และห้องในสุดเป็นพระปางปาลิไลยกะ
พระร่วงโรจนฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ สูง ๑๒ ศอก ๔ นิ้ว ประดิษฐานอยู่ในฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระบรมโอรสาธิราช
ได้พบพระพุทธรูปองค์นี้ที่เมืองศรีสัชนาลัย - สุโขทัย เมือปี พ.ศ.๒๔๕๑ อยู่ในสภาพชำรุดเสียหาย
จึงโปรดให้อัญเชิญมากรุงเทพ ฯ เมื่อพระองค์ขึ้นเสวยราชย์แล้ว จึงโปรดเกล้า
ฯ ให้จัดการพระราชพิธีสถาปนาพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นที่วัดพระเชตุพน ฯ
เมื่อปี พ.ษ.๒๔๕๖ แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานที่พระวิหารด้านทิศเหนือขององคืพระปฐมเจดีย์
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๗ เสร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ.๒๔๕๘ และถวายพระนามเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๖
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงระบุไว้ในพระราชพินัยกรรมว่า
ให้นำพระราชบรมราชสรีรังคารส่วนหนึ่ง มาบรรจุไว้ที่หลังองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์
ต้นศรีมหาโพธิจากพุทธคยา
ต้นศรีมหาโพธิอยู่ทางด้านมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือขององค์พระปฐมเจดีย์ เป็นต้นศรีมหาโพธิที่
ดอกเตอร์ ยอห์น สไคว์ นำเมล็ดจากต้นโพธิที่พุทธคยามาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์โปรดให้เพาะแล้วพระราชทานไปยังพระอารามที่สำคัญในประเทศไทยแห่งละต้น
สำหรับองค์พระปฐมเจดีย์พระราชทานมาห้าต้น ปลูกไว้ที่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ และตะวันตกเฉียงเหนือ มุมละหนึ่งต้น และบนลานหน้าวิหารพระนอนอีกหนึ่งต้น
นอกจากนี้ยังมีรางน้ำมนต์ อันเป็นโบราวัตถุสมัยทวารวดีอยู่สามราง ตั้งอยู่ตรงบันไดจะลงไปที่ต้นตะกร้อหนึ่งราง
และอยู่ใกล้ทางลงไปยังชั้นลดด้านทิศตะวันออกอีก ๒ ราง แสดงว่าในบริเวรนี้เคยมีศาสนาพราหมณ์มาก่อน
วิหารด้านทิศตะวันออกหรือวิหารหลวง
วิหารด้านทิศตะวันออกมีอยู่ ๒ ห้อง ห้องนอกมีพระพุทธรูปปางตรัสรู้อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว
ที่ผนังด้านหลังพระพุทธรูปเหนือขึ้น ไปเป็นจิตรกรรมฝาผนังสีน้ำมัน รูปต้นพระศรีมหาโพธิเหมือนจริง
ห้องในด้านทิศตะวันออกเป็นภาพจิตรกรรมองค์พระปฐมเจดีย์องค์เดิม และองค์ปัจจุบันตัดขวางซ้อนกัน
แสดงให้เห็นลักษณะการสร้างแต่สมัยแรกจนถึงปัจจุบัน เหนือขึ้นไปเป็นจิตรกรรมรูปเทวดา
ถัดมาที่ผนังทั้งสองด้านคือ ด้านทิศเหนือ และด้านทิศใต้เป็นภาพคนธรรท์ นักสิทธิ์
ฤาษี ครุฑ นาค พนมมือบูชาไปยังองค์พระปฐมเจดีย์ ด้านละสองแถวเรียงซ้อนกันเป็นสองชั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เขียนภาพเหล่านี้ขึ้น
แท่นบูชา
ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของห้อง เป็นพระแท่นสำหรับวางเครื่องนมัสการบูชาองค์พระปฐมเจดีย์
เป็นที่สำหรับประกอบพระราชพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปูด้วยหินอ่อน ด้านซ้ายและขวาประดับด้วยปูนปั้นรูปหัวกวาง
มีเขากวางจริงประดับ ส่วนฐานที่มุมบนมีปูนปั้นรูปหัวสิงห์ประดับ ที่มุมส่วนฐานประดับด้วยปูนปั้นรูปเท้าสิงห์
พระพุทธสิหิงค์
จากแท่นบูชา มองสูงขึ้นไปทางองค์พระปฐมเจดีย์จะเห็นพระพุทธสิหิงค์ ประดิษฐานอยู่ในซุ้มรูปทรงแบบไทย
ลายเป็นฝรั่งผสมจีน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ
ให้จำลองจากพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งประดิษบานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ในพระบวรสถานมงคล
(วังหน้า) แต่ขยายให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม หล่อด้วยโลหะขนาดหน้าตักกว้างสองศอกสิบนิ้ว
เกย
อยู่ตรงกับประตูกำแพงชั้นในด้านทิศตะวันออก เกยอยู่ตรงกลางยื่นออกมาจากฐานแคบ
ๆ ด้านข้างของชานเป็นบันไดขึ้นบนเกย จากชานมีซุ้มบันไดขึ้นไปบนชั้นลด
พ้นบันไดขึ้นไปหน้าซุ้มประตูมีทวารบาล เกยนี้เป็นสถานที่ที่พระมหากษัตริย์เสด็จมาโดยเสลี่ยงจากวังปฐมนคร
(พระที่นั่งปฐมนคร) เสด็จมาขึ้นเกยที่ตรงนี้ แล้วเสด็จขึ้นบันไดไปยังพลับพลาเปลื้องเครื่อง
เพื่อเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นชุดขาว จากนั้นจึงเสด็จไปนมัสการที่แท่นบูชาในพระวิหารหลวง
ที่เชิงบันไดระหว่างชั้นลด ทับลานเจดีย์ชั้นบนจะมีช้างหมอบ และราวบันไดเป็นรุปตัวนาค
ที่ซุ้มประตูและพลับพลาเปลื้องเครื่องมีตรามหาพิชัยมงกุฎประดับ
ทวารบาล
เป็นรูปคนนุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงิน ผิวกายสีน้ำตาล เฝ้าประตูช่องบันไดด้านละสองตน
ซุ้มช่องบันไดขึ้นนี้ ส่วนบนเป็นรูปรีเหนือขึ้นไปเป็นตรามหาพิชัยมงกุฎ
พลับพลาเปลื้องเครื่อง
วางตัวอยู่ในแนวเหนือ - ใต้ หน้าพลับพลาหันเข้าหาองค์เจดีย์ หน้าบันไดด้านทิศเหนือ
และใต้ มีตรามหาพิชัยมงกุฎประจำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนองค์พลับพลาทรงไทย
ประดับด้วยศิลปะผสมระหว่างไทย จีน และตะวันตก
พระอุโบสถ
อยู่บนลานขึ้นลด หน้าพระอุโบสถหนันไปทางทิศหนือ ในพระอุโบสถมีพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา
สลักด้วยศิลาขาวสมัยทวารวดี ซึ่งนำมาจากวัดพระเมรุ พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทบนฐานกลีบบัวเรียกว่า
ภัทรอาสน์ พระหัตถ์วางหงายอยู่พระเพลา พระหัตถ์ขวาหงายอยู่บนลำตัว พระพุทธรูปองค์นี้เรียกชื่อทั่วไปว่า
พระพุทธรูปศิลาขาว
ที่มุมพระอุโบสถทั้งสี่มุม เป็นใบเสมาหินอ่อนจากเมืองคาราราร์ ในประเทศอิตาลี
สลักเป็นรูปท้าวจตุโลกบาลติดกับตัวพระอุโบสถ เป็นผลงานของสมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ศิลปสกุลช่างหลวงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้สร้างผลงานศิลปกรรมไว้ที่องค์พระปฐมเจดีย์หลายชิ้น
วิหารด้านทิศใต้
วิหารด้านทิศใต้
วิหารด้านทิศใต้ มีอยู่สองห้องเช่นกัน ห้องนอกมีพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา พร้อมปัจวัคคีย์
ห้องในมีพระพุทธรปปางนาคปรก
เสาประทีป
เป็นเสาสำหรับตามไฟให้สว่าง ตั้งอยู่บนลานหน้าวิหาร
เจดีย์จำลองที่ชั้นลด
ที่ชั้นลอด้านทิศใต้ มีสิ่งสำคัญอยู่สามสิ่งคือ ลานด้านทิศตะวันออก จะเป็นองค์พระปฐมเจดีย์องค์เดิมจำลอง
ถัดมาตรงกลางเป็นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท สมัยทวารวดี เรียกกันว่า
พระพุทธรูปศิลาขาว ขนาดและรูปลักษณะคล้ายกับพระประธานในพระอุโบสถ ได้รับการถวายพระนามว่า
พระพุทธนรเชษฐ์ เศวตอัศวมัยมุนี ศรีทวารวดี ปูชนียบพิตร ถัดมาทางด้านทิศตะวันตกจะเป็นพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชจำลอง
วิหารด้านทิตะวันตก
วิหารด้านทิศตะวันตกมีสองห้ง ห้องแรกเป็นวิหารพระนอน ห้องนอกเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์
ห้องในเป็นพระพุทธรูปปางปรินิพพาน
ต้อนศรีมหาโพธิ
อยู่หน้าวิหารพระนอน มีต้นโพธิเพาะจากเมล็ดต้นศรีมหาโพธิจากอินเดีย ปลูกอยู่ในกะเปาะ
มีขนาดไม่ใหญ่นัก
ต้นไม้สำคัญในพุทธประวัติ
ที่ชั้นลดด้านทิศตะวันตก มีต้นศรีมหาโพธิ ซึ่งนำเมล็ดจากพุทธคยามาปลูกไว้ที่หน้าพระวิหารพระนอน
นอกจากนั้นยังมีต้นไม้สำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงโปรดให้ปลูกไว้คือ
- ไม้ราชายตน
(ไม้เกต) เป็นต้นไม้เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าได้รับสตูก้อนผงของปุสสะ และภัลสิกะ
หลังจากตรัสรู้ได้ ๔๘ วัน
- ไม้นิโครธ
หรือ อชปาลนิโครธ เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ร่มเป็นเวลาเจ็ดวันหลังจากที่ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ
- ไม้พหูปุตตนิโครธ
(ต้นกร่าง) เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับ แล้วได้พบพระมหากัสสป
- ไม้มุจลินท์
(ต้นจิก) เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับแล้วเกิดฝนตกหนัก พญานาคจึงทำกายขดวงให้ล้อมพระพุทธเจ้าไว้
แล้วแผ่พังพานบังฝนไม่ให้ตกมาต้องพระองค์
- ไม้สาละ
เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าได้ประสูติ และปรินิพพาน และเป็นต้นไม้ที่ประทับใต้ร่ม
ก่อนตรัสรู้
- ไม้ชมพู
หรือไม้หว้า เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับ เมื่อตามพระราชบิดาไปแรกมาขวัญ
เมื่อครั้งทรงพระเยาว์
- ไม้อัมพวา
หรือมะม่วง เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าแสดงยมกปฏิหาริย์
ลายปูนปั้น
ที่ผนังชั้นลดด้านตะวันตก จะมีรูปเทพในรูปลักษณะต่าง ๆ
องค์พระปฐมเจดีย์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ เป็นสำดับที่หนึ่งของจังหวัดนครปฐม
พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองนครปฐม
พระพุทธรูปศิลาขาว
เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดีปางปฐมเทศนา ประทับนั่งห้วยพระบาท มีขนาดใหญ่กว่าคนธรรมดาสามเท่า
ขุดพบสี่องค์ที่วัดพระเมรุ ซึ่งเป็นวัดเก่าสมัยทวารวดี มีอายมากว่าหนึ่งพันปี
ตั้งอยู่ที่สวนนันทอุทยาน ตำบลห้วยจรเข้ อำเภอเมือง ฯ ห่างจากองค์พระปฐมเจดีย์ไปทางทิศใต้ไม่ไกลนัก
องค์ที่สมบูรณ์ได้อัญเชิญมาประดิษบานไว้เป็นพระประทานในอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร
พระพุทธรูปศิลาขาว เป็นที่เคารพนักถือของชาวไทยสืบมานานนับพันปี
พระร่วงโรจนฤทธิ์
เป็นพระพุทธรูปสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพบพระเศียรและพระหัตถ์ของพระพุทธรูปที่เมืองศรีสัชนาลัย
จังหวัดสุโขทัย พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ช่างปั้นองคืพระขึ้นใหม่ แล้วโปรดให้นำมาประดิษฐานไว้ที่องค์พระปฐมเจดีย์
ด้านซุ้มทิศเหนือ พระราชทานนามว่า พระร่วงโรจนฤทธิ์ ฯ ที่ใต้ฐานชุกชึที่ประดิษบานพระร่วงโรจนฤทธิ์
เป็นที่บรรจุพระสรีรังคารของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลวงพ่อวัดไร่ขิง
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก ๒ นิ้ว ตามตำนานหล่าวว่า พระพุทธรูปองค์นี้ลอยน้ำมา
ชาวบ้านได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ทีวัดศาลาปูน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อครั้งสร้างวัดไร่ขิง
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๔ สมเด็จุฒาจารย์ (พุก ป.ธ.๓) ผู้สร้างวัดเป็นชาวนครชัยศรี
และได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ครองวัดศาลาปูน เมื่อครั้งเป็นพระธรรมราชานุวัตร
เป็นเจ้าคณะใหญ่มณฑลกรุงเก่า ได้กลับมาสร้างวัดไร่ขิง และได้อัฐเชิญพระพุทธรูปองค์หนึ่งจากวัดศาลาปูน
นำล่องแพไม่ไผ่มาตามลำน้ำ และอัฐเชิญไปประดิษฐานที่อุโบสถวัดไร่ขิง
พระศรีศากยทศพลญาฌ ฯ โดยทั่วไปนิยมเรียกกันว่า
พระใหญ่ เป็นพระพุทธรูปปางลีลา
ที่มีความงามด้วยพุทธศิลปแบบสุโขทัย สูง ๒,๕๐๐ (๑๕.๘๗๕ เมตร) หล่อด้วยโลหะรมดำ
ประดิษฐานเป็นพระประฐา ฯ พุทธมณฑล อำเภอพุทธมณฑล สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓
แล้วเสร็จ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ ศาสตราจารน์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้อกกแบบสร้างขึ้นในโอกาสที่เฉลิมฉลองพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาครบ
๒๕ พุทธศตวรรษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระศรีศากยทศพลญาณ
ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์
พระพุทธนวราชบพิตร ประจำจังหวัดนครปฐม
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปรัตนโกสินทร์ หน้ากว้าง ๒๓ เซนติเมตร สูง ๔๐
เซนติเมตร มีฐานบัวหงายรองรับ มีพุทธลักษณะที่งดงามอย่างยิ่ง ผู้ที่ออกแบบปั้นคือ
นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ จากกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ช่างเททองหล่อพระพุทธรูปขึ้น เมื่อปี
พ.ศ.๒๕๐๙ และพระราชทานนามว่า พระพุทธนวราชบพิตร ที่ฐานบัวหงายขององคืพระ ได้บรรจุพระพิมพ์เล็กไว้หนึ่งองค์
คือ สมเด็จจิตรลา
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง ประกอบด้วยเส้นพระเกษา
ชันยาเรือในพระองค์ และผงศักดิ์สิทธิ์จากจังหวัดต่าง ๆ ทุกจังหวัด
มรดกทางพระพุทธศาสนาอื่น
ๆ
มรดกทางพระพุทธศาสนาอื่น ๆ ได้แก่ วัดพระเมรุ พระประโทนเจดีย์วรวิหาร
เจดีย์ประโทน เนินพระ วัดพระงาม อุโบสถหลังเก่าวัดบางพระ วิหารวัดพระศรีมหาโพธิ์ อุโบสถวัดละมุด วิหารเก่าวัดห้วยพลู วัดไทร วัดกลางบางแก้ว วัดโคกพระเจดีย์
วัดท่าพูด วัดสรรเพชญ์ วัดพระประโทนเจดีย์ วัดธรรมศาลา วักไร่ขิง วัดดอนหวาย
จารึกทวารวดี (จารึก เยมฺมา ฯ จารึกธรรมจักร จารึกวัดโพธร้าง) จารึกสมัยสุโขทัย
(จารึกพ่อขุนรามพล จารึกบนเสาศิลาห้าเหลี่ยม) จารึกสมัยอยุธยา (จารึกบนแผ่นอิฐมอญที่ฝาผนังวัดท่าพูด)
จารึกสมัยรัตนโกสินทร์ (จารึกที่ฝาผนังระเบียงคตทั้งสี่ด้านขององค์พระปฐมเจดีย์
เป็นจารึกกถาธรรม จารึกที่หอระฆังขององค์พระปฐมเจดีย์ ฯลฯ รายละเอียดมีอยู่ในเรื่องมรดกทางวัฒนธรรม
|