www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
ปราสาทช่องสระแจง
อยู่ในอำเภอตาพระยา ตั้งอยู่บนยอดของทิวเขาบรรทัด และใกล้หน้าผาที่เชิงเขาบรรทัด
มีสระน้ำใหญ่รูปกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นสระน้ำโบราณ
ตัวปราสาทสร้างด้วยหินทราย และศิลาแลง มีประตูทางเข้าสองด้าน ด้านหลังมีสระน้ำและร่องรอยการตัดหิน
โบราณสถานอยู่ในสภาพหักพังมาก คงเหลือส่วนประกอบของอาคารทำด้วยหินทรายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป
กำหนดอายุอยู่ประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๗
กรมศิลปากร เคยพบศิลาจารึกภาษสันสฤกต อักษรขอมที่ปราสาทแห่งนี้มีความว่า "พระราชาองค์ใด
พระนามว่า มเหนทรวรมะ ปรากฎเหมือนพระศิวะ พระราชาองค์นั้นเป็นผู้กระทำทำความสุข
เพราะฉะนั้นพระองค์จึงสร้างบ่อน้ำนี้ไว้สำหรับอาบ จารึกนี้มีอายุอยู่ประมาณ
พ.ศ.๑๑๔๓ - ๑๑๕๘
ปราสาทบ้านน้อย
อยู่ในอำเภอวัฒนานคร เป็นปราสาทขนาดใหญ่ ฐานก่อด้วยศิลาแลง ผนังก่อด้วยอิฐ
ผนังสูงประมาณ ๑ เมตร ด้านตะวันออกของปราสาท เฉียงมาทางใต้เล็กน้อย เป็นที่ตั้งของบรรณาลัย
หรือห้องสมุด ก่อด้วยอิฐบนฐานศิลาแลง ตัวปราสาทเป็นกำแพงสองชั้น กำแพงชั้นในเป็นกำแพงศิลาแลง
ก่อล้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงชั้นนอกเป็นกำแพงดินก่อล้อมอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
ในระหว่างกำแพงทั้งสองชั้นตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือ มีสระน้ำขนาดใหญ่ ผนังบางแห่งกรุด้วยศิลาแลงทำเป็นชั้น
ๆ ลึกประมาณ ๒.๕๐ เมตร ชาวบ้านเรียกว่า บ่อแล้ง เพราะน้ำขังไม่อยู่
นอกกำแพงชั้นนอก ไปทางทิศตะวันออก มีสระน้ำขนาดใหญ่ กว้างประมาณ ๘๐ เมตร ยาวประมาณ
๑๘๐ เมตร
รูปแบบอาคารสอดคล้องกับผังอาคารที่เรียกว่า อโรคยศาล ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสุขศาลา
ที่สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พบทับหลังทำด้วยหินทราย มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๓ และเครื่องประกอบราชยานคานหามสมัยบายน มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ปราสาทสด๊กก๊อกธม หรือปราสาทเมืองพร้าว
อยู่ในกิ่งอำเภอโคกสูง ตั้งอยู่กลางป่าตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ชื่อปราสาทนี้แปลว่า
ปราสาทใหญ่ที่มีต้นกกขึ้นรกรุงรัง เป็นปราสาทที่ก่อด้วยหิน และศิลาแลง กว้าง
๑๒๐ เมตร ยาว ๑๒๗ เมตร มีทางเข้าสองทางคือ โคปุระ หรือซุ้มประตูทางเข้าด้านทิศตะวันออก
ตัวซุ้มประตูสร้างด้วยหินทราย ประตูกลางผ่านเข้าไปได้ ทางเข้าอีกด้านหนึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก
ทางเข้าเป็นทางเล็ก ๆ พอตัวผ่านเข้าไปได้ ส่วนประตูด้านข้างอีกสองประตูเป็นประตูหลอก
ถัดเข้าไปเป็นคูน้ำรูปตัวยู ในอักษรอังกฤษล้อมตัวปราสาท เว้นเส้นทางเข้าออกทางด้านทิศตะวันออก
และตะวันตกไว้สองด้าน ตัวคูกว้างประมาณ ๑๒๐ เมตร
ถัดเข้าไปเป็นระเบียงคดล้อมรอบตัวปราสาท กว้างประมาณ ๓๖ เมตร ยาวประมาณ ๔๒
เมตร มีโคปุระอยู่กึ่งกลางกำแพงทั้งสี่ทิศ ซุ้มประตูทางทิศตะวันออก สามารถผ่านเข้าออกได้
อีกสามด้านเป็นประตูหลอก ด้านข้างของซุ้มประตูทำเป็นหน้าต่างหลอกไว้สองข้าง
ภายในซุ้มทำช่องทางเดินเข้าไปภายใน แต่เดินทะลุเข้าไปที่แนวระเบียงคดไม่ได้
เพราะก่อหินปิดกั้นไว้ทั้งสองด้าน ประตูกลางเป็นประตูขนาดใหญ่ ส่วนประตูด้านข้างอีกสองด้านเป็นประตูขนาดเล็ก
ที่มุมทั้งสี่ของระเบียงคด ยังมีทางเข้าออกเห็นได้ชัดเจน
บริเวณภายในระเบียงคดเป็นที่ตั้งปราสาทประธานอยู่บริเวณกลางพื้นที่ มีประตูเข้าภายในเพียงทางเดียว
ทางด้านทิศตะวันออก ส่วนอีกสามด้านในทำเป็นประตูหลอก ปราสาทประธานมีสภาพไม่สมบูรณ์
คงสภาพให้เห็นบริเวณด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ ด้านหน้าปราสาทประธาน ที่มุมระเบียงคดเป็นที่ตั้งของบรรณาลัยมีสองหลัง
มีประตูเข้าอยู่ทางทิศตะวันตก บริเวณซุ้มประตูระเบียงคดมีทางเดินปูด้วยศิลาแลง
ผ่านซุ้มประตูกำแพงแก้ว มุ่งหน้าสู่บารายหรือสระน้ำทางทิศตะวันออก
ข้างทางเดินด้านทิศเหนือนอกจากกำแพงแก้ว มีร่องรอยสระน้ำขนาดเล็ก กว้างประมาณ
๒๐ - ๓๐ เมตร
บารายแห่งแรกอยู่ห่างจากกำแพงแก้ว ที่ล้อมรอบตัวปราสาทไปทางทิศตะวันออก ระยะทางประมาณ
๑๗๐ เมตร ตัวบารายและคันดินที่ล้อมรอบมีขนาดกว้างประมาณ ๒๘๐ เมตร ยาวประมาณ
๔๔๐ เมตร
บารายแห่งที่สองห่างจากกำแพงแก้วด้านทิศเหนือ เป็นระยะทางประมาณ ๑๒๐ เมตร
มีสะลมซึ่งเป็นแนวคันดินคล้ายฝายกั้นน้ำ ยังไม่ทราบขอบเขตรูปร่างที่แน่ชัด
ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก มีการค้นพบจารึกซึ่งมีความสำคัญต่อการศึกษาลำดับ
กษัตริย์ราชวงศ์เขมรอย่างมาก
แม้ในดินแดนเขมรเองก็ยังไม่เคยมีการพบจารึกลักษณะนี้
ได้พบจารึกชื่อจารึกสต๊กก๊อกธม สองหลักคือ หลักที่ ๑ พบเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑
ระบุศักราชตรงกับ พ.ศ.๑๔๘๐ ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๔ (ศิลปะแแบเกาะแกร์)
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการถวายทาสชายหญิงดูแลรักษาศิวลึงค์ จารึกหลักที่ ๒ พบเมื่อปี
พ.ศ.๒๔๔๔ ระบุศักราชตรงกับ พ.ศ.๑๕๙๕ กล่าวถึงการที่พระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่
๒ พระราชทานที่ดินและคนเพื่อสร้างปราสาทถวายแด่พราหมณ์สทาศิวะผู้เป็นอาจารย์
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงประวัติการตั้งลัทธิเทวราชและประวัติการสืบสายตระกูลพราหมณ์
ในราชสำนักเขมรที่มีความสัมพันธ์กับลำดับการสืบสันตติวงศ์ของกษัตริย์เขมร
จารึกหลักแรกระบุว่าพบที่ตำบลโคกสูง ส่วนหลักที่สองระบุว่าพบที่ปราสาทเมืองพร้าวอันเป็นชื่อเดิมของปราสาทแห่งนี้
ปราสาทเขาโล้น
ตั้งอยู่บนยอดเขาโล้น อำเภอตาพระยา ห่างตัวอำเภอไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๐๖๘
(ตาพระยา - บุรีรัมย์)
ประมาณ
๒๐ กิโลเมตร เป็นปราสาทแบบเขมร มีปราสาทบริวารประกอบอยู่ที่ด้านหน้าสองหลัง
ด้านหลังหนึ่งหลัง ปราสาททั้งหมด
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ตัวปราสาทก่อด้วยอิฐ ลักษณะของปราสาทอยู่ในผังย่อเก็จ ก่อเป็นห้องสี่เหลี่ยมเรียกว่าครรภคฤหะ
สำหรับประดิษฐานรูปเคารพซึ่งอาจเป็นรูปศิวลึงค์ เพราะพบว่ามีการทำทับหลังเหนือประตูเป็นรูปใบไม้ม้วน
ตรงกลางมีพระศิวะประทับเหนือเกียรติมุข เหนือจากส่วนครรภคฤหะขึ้นไป มีการจำลองลักษณะห้องสี่เหลี่ยมให้มีขนาดเล็กลง
และซ้อนลดหลั่นขึ้นไป มีประตูหลอกทีด้านทั้งสี่เลียนแบบประตูหลอกของส่วนครรภคฤหะ
จากตัวปราสาทไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีสระใหญ่อยู่สองแห่ง และมีแนวถนนโบราณติดต่อจากตัวปราสาทถึงสระน้ำรอบภูเขาโล้นลูกนี้
จะมีลักษณะเป็นหมู่บ้านมาแต่เดิม
ปราสาทเขาโล้นมีวงกบประตูหินทราย มีจารึกอักษรโบราณที่เสากรอบวงกบประตูมีลายบัวคว่ำบัวหงาย
ทับหลังมีลวดลายใบไม้ล้อมรอบ ตรงกลางมีเกียรติมุขและพระอิศวร ตามแบบศิลปะเขมรแบบบาปวน
จากลักษณะของทับหลังและชิ้นส่วนโบราณสถานที่พบ ปราสาทเขาโล้นน่าจะมีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๗
จากการที่กรอบประตูปราสาทมีจารึกภาษาสันสกฤตระบุศักราช ๙๓๘ ตรงกับ พ.ศ.๑๕๕๙
ทำให้กำหนดอายุของปราสาทหลังนี้ว่าอยู่ในศิลปะเขมรแบบบาปวน ในพุทธศตวรรษที่
๑๖
ปราสาทตาใบ
ตั้งอยู่ในตำบลโคกสูง กิ่งอำเภอโคกสูง ประกอบด้วยปราสาทหนึ่งหลัง ก่อด้วยศิลาแลงเพียงส่วนฐานและบางส่วนของผนังอาคาร
มีคูน้ำล้อมรอบ
พบประติมากรรมรูปบุคคลยืน สูง ๕๐ เซนติเมตร มีสองมือ มือข้างหนึ่งถือดอกบัวยกขึ้นระดับอก
อาจเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นอกจากนี้ยังพบหินทราย ซึ่งอาจเป็นชิ้นส่วนของทับหลังและธรณีประตู
สันนิษฐานว่า ปราสาทแห่งนี้มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘
ปราสาททัพเซียม
ตั้งอยู่ในตำบลหนองแวง กิ่งอำเภอโคกสูง เป็นปราสาทก่อด้วยศิลาแลงและหินทราย
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
รอบปราสาทมีมูลดินทับถมตัวปราสาทเป็นเนินสูง
มีกำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลงล้อมรอบ
ที่ปราสาทพบศิลาจารึกสองหลัก เป็นจารึกเนื่องในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย
มีการกล่าวถึงศิวลึงค์ และพระศิวะ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗
ศิลาจารึกหลักแรกอยู่ที่หลืบประตูด้านทิศเหนือของปราสาทองค์กลาง จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษาเขมร
กล่าวถึงผู้รับใช้ และทรัพย์สมบัติที่ถวายแด่ศิวลึงค์ และกล่าวถึงดินแดนบิงขลาแห่งจวารโบ
ทั้งแปดทิศติดต่อกับหลักเขต
ศิลาจารึกหลักที่สองอยู่ที่หลืบประตูด้านทิศใต้ของปราสาทองค์กลาง จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษาสันสกฤต
แต่งเป็นฉันท์คือ อุเปนทรวิเชียรฉันท์ อินทรวิเชียรฉันท์ และอุปชาติฉันท์
เป็นเรื่องการสรรเสริญพระเจ้าศรีสุริยวรมัน พระราชประวัติบางส่วนของพระองค์และพระเทวี
รวมทั้งการประดิษฐานศิวลึงค์บนภูเขาใหญ่
ปราสาทพูนผลหรือปราสาทหนองเตาปืน
อยู่ในตำบลโคกสูง กิ่งอำเภอโคกสูง ตั้งอยู่กลางทุ่งนา เหลืออยู่เพียงรากฐานของปราสาทแบบเขมร
ก่อด้วยศิลาแลง ในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวในแนวตะวันออก - ตะวันตก
ห่างจากตัวปราสาทไปยังทิศตะวันออกประมาณ ๑๕๐ เมตร มีบารายขนาดใหญ่มีคันดินล้อมรอบ
พบทับหลังและเครื่องยอดของปราสาท สันนิษฐานว่า ปราสาทแห่งนี้มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๖ - ๑๘
ปราสาทหนองบอน
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอวัฒนานคร ห่างจากตัวอำเภอไปประมาณ ๕ กิโลเมตร อยู่บนเนินดินขนาดเล็กในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก
ประกอบด้วย ปราสาทประธาน กำแพงแก้วและบาราย
ปราสาทประธานก่อด้วยศิลาแลง สร้างอยู่ในผังสี่เหลี่ยม ย่อมุมไม้สิบสอง
ภายในมีรูปเคารพ ประตูเข้าอยู่ด้านทิศตะวันออกโดยก่อเป็นมุขยื่นออกมา ประตูที่เหลืออีกสามด้าน
สร้างเป็นประตูหลอก
กำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง อาจมีซุ้มประตูที่ด้านตะวันออก นอกกำแพงแก้วมีบารายขนาดเล็กและใหญ่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก
สันนิษฐานว่า เป็นอโรคยาศาลสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ปราสาทหนองผักบุ้งใหญ่
ตั้งอยู่ที่บ้านน้อยละลมติม ตำบลโคกสูง กิ่งอำเภอโคกสูง เป็นปราสาทแบบเขมร
เหลือเพียงส่วนฐาน ก่อด้วยศิลาแลง
ทางทิศตะวันออกของตัวปราสาท กว้างออกไปประมาณ ๕๐ เมตร มีบารายขนาด ๑๐๐
๑๔๐ เมตร ด้านเหนือของปราสาทมีคันดิน สันนิษฐานว่า เป็นถนนโบราณที่ทอดผ่านไปยังกัมพูชาปรากฎอยู่
ปราสาทแห่งนี้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการแพร่กระจายของอารยธรรมเขมรโบราณ ในดินแดนของประเทศไทยปัจจุบัน
มีอายุสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘
แหล่งโบราณคดี
แหล่งโบราณคดีเมืองไผ่
อยู่ที่บ้านเมืองไผ่ อำเภออรัญประเทศ ห่างจากตัวอำเภอประมาณ ๑๕ กิโลเมตร มีลักษณะเป็นเมืองโบราณ
ที่มีคูเมืองกำแพงล้อมสองชั้น ผังเมืองเป็นรูปไข่ขนาด ๑,๐๐๐ ๑,๓๐๐ เมตร
ตัวเมืองแบ่งเป็นสองส่วน คล้ายสองเมืองติดกัน มีห้วยไผ่ไหลผ่านกลาง
หลักฐานที่พบเป็นเนินดินที่อยู่อาศัยและเนินดินโบราณสถานหลายแห่ง บางแห่งน่าจะเป็นปราสาทแบบเขมร
เพราะพบแผ่นหินรูปอัฌจันทร์
แหล่งโบราณคดี แห่งนี้มีหลักฐานว่ามีอายุอยู่ในสมัยทวารวดีตอนต้น ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๒ - ๑๔ และเชื่อกันว่าเป็นเมืองหน้าด่าน และที่พักคนเดินทางระหว่างเมืองชายทะเลภาคกลางของไทย
และเมืองเสียมราฐในกัมพูชา คนพื้นบ้านเล่ากันว่าชื่อเดิมคือ เมืองไพศาลี
แหล่งโบราณคดีเขาฉกรรจ์
อยู่ที่บ้าเขาฉกรรจ์ ตำบลเขาฉกรรจ์ อำเภอเขาฉกรรจ์ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปตามทางหลวงหมายเลข
๓๑๗ (สระแก้ว - จันทบุรี) ประมาณ ๑๗ กิโลเมตร
เขาฉกรรจ์เป็นเขาหินปูน มีถ้ำอยู่ประมาณ ๓๒ แห่ง ลักษณะเป็นคูหา สามารถกันแดดกันฝนและกันภัยจากสัตวว์ร้ายได้
เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย
จนถึงสมัยทวารวดี หลักฐานที่พบเช่นลูกปัด แก้ว ลูกปัดดินเผา ขวานหิน เบ้าหลอมโลหะ
และภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ ลายเชือกทาบกับเศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่งเผาด้วยอุณหภูมิสูง
ๆ เคลือบสีน้ำตาล แบบเครื่องถ้วยเขมร ซึ่งมีเทคนิคการผลิต และรูปแบบที่แสดงให้เห็นว่า
ได้รับอิทธิพลมาจากเครื่องถ้วยจีนในสมัยต่าง ๆ และจากอินเดีย
สันนิษฐานว่า ชื่อเขาฉกรรจ์อาจกร่อนมาจากคำว่าเขาฉอกัณฑ์ ซึ่งมีที่มาจากชื่อพิธีฉอกัณฑ์
อันเป็นพิธีตัดไม้ข่มนาม ซึ่งเชื่อกันว่าในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
(พ.ศ.๒๓๑๐) พระยาวชิรปราการ ได้รวบรวมกำลังพลเพื่อกอบกู้เอกราชคืน ได้มาทำพิธีตัดไม้ข่มนาม
ณ บริเวณนี้
ถ้ำมะกา
อยู่ที่บ้านห้วยกระบอก ตำบลศาลาลำดวน อำเภอเมือง ฯ เป็นถ้ำที่อยู่บนภูเขาหินปูน
มีความสูงจากระดับพื้นดินประมาณ ๑๐๐ เมตร เขามะกามีถ้ำอยู่หลายแห่ง ที่สำคัญและสำรวจแล้วสามแห่งคือถ้ำมะกา
ถ้ำพระพุทธและถ้ำม่าน ลักษณะของถ้ำเป็นโว่งคูหาสต่อเนื่องกันสองคูหา ซึ่งเหมาะสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย
จากการสำรวจพบหลักฐานทางโบราณคดี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายจน ถึงสมัยประวัติศาสตร์ในสมัยวัฒนธรรมแบบเขมรในประเทศไทยได้แก่
กำไลสำริด แท่งหินทรายบดยา และไหเคลือบสีน้ำตาล
หนองสระพระเนตร
อยู่ในตำบลท่าเกษม อำเภอเมือง ฯ ไม่มีประวัติกล่าวถึงไว้ คงเหลือแต่หลักฐานของโบราณสถานที่สร้างด้วยศาลาแลงและอิฐ
ประกอบด้วยปราสาทประธานตั้งอยู่ตรงกลาง ทางทิศตะวันออกมีโคปุระ ซึ่งเป็นประตูทางเข้าโบราณสถาน
และมีแนวกำแพงแก้วล้อมราย
ทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่า เป็นองค์ประกอบของกลุ่มโบราณสถาน
ถัดจากตัวสระไปทางทิศใต้ ด้านนอกปราสาทมีคูน้ำล้อมรอบ ถัดเข้าไปเป็นกำแพงแก้วก่อด้วยศาลาแลง
ถัดเข้าไปเป็นตัวปราสาทประธาน
ในระยะห่างจากกลุ่มโบราณสถานไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ ๑๐๐ เมตร มีบ่อตัดศิลาแลง
สันนิษบานว่า เป็นแหล่งวัตถุดิบสมัยโบราณ ที่ใช้ศิลาแลงจากบ่อนี้ไปก่อสร้างศาสนสถาน
เมื่อพิจารณาจากลักษณะการก่อสร้าง สันนิษฐานว่า เป็นรูปแบบปราสาทในศิลปะเขมร
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘
แหล่งโบราณคดีเขาสมพุง
อยู่ในตำบลหนองหว้า อำเภอเมือง ฯ เขาสมพุงเป็นเขาขนาดย่อม มีวัดเขาสมพุงตั้งอยู่
บนเขาสมพุงมีถ้ำอยู่สองแห่ง ถ้ำที่พบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นถ้ำใหญ่ ปากถ้ำหันไปทางทิศตะวันออก
อยู่สูงจากเชิงเขาประมาณ ๑๕ เมตร ปากถ้ำเป็นลานโล่ง ตัวถ้ำมีสองคูหา
ห่างจากเขาสมพุงไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นเนินดินขนาดใหญ่ พบโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ประเภทภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ
สันนิษฐานว่า ถ้ำสมพุง น่าจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
|