www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
แหล่งประวัติศาสตร์
สระแก้ว - สระขวัญ
อยู่ในตำบลสระแก้ว อำเภอเมือง ฯ ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเมือง
ในสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาจักรี
เป็นแม่ทัพยกทัพไปตีกับกัมพูชา ได้มาพักทัพอยู่บริเวณสระทั้งสองนี้ กองทัพได้อาศัยน้ำในสระทั้งสองในการบริโภคและใช้สอย
จึงได้ให้นามสระทั้งสองนี้ว่าสระแก้วและสระขวัญ
หลังจากนั้นได้เมีการนำน้ำจากสระทั้งสองมาใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
และในพระราชพิธบรมราชาภิเษก ต่อมาได้นำไปใช้ในงานพระราชพิธีอีกหลายครั้ง และเป็นที่มาของชื่อจังหวัดสระแก้ว
จารึกพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลบจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
อยู่ที่บ้านช่องตะโก ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยา เป็นจารึกลงบนก้อนหินขนาดใหญ่
ตั้งอยู่ด้านหลังศาลาเพียงตา คำจารึกมีอยู่ว่า
"ให้ข้าราชการสร้างเส้นทางระหว่างจังหวัดปราจีนบุรีกับทางภาคอีสาน"
จังหวัดปราจีนบุรีในที่นี้คือจังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน
จากแนวพระราชดำริดังกล่าว ชาวจังหวัดสระแก้ว จึงได้ดำเนินตามพระราชดำริ และสร้างเส้นทางเชื่อมจากเขตจังหวัดสระแก้ว
กับเขตจังหวัดบุรีรัมย์
สถานีรถไฟอรัญประเทศ
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๓ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จนิวัติพระนคร
หลังจากเสด็จประพาสไซ่ง่อน เวียดนาม และอินโดจีนของฝรั่งเศส โดยรถยนต์พระที่นั่งถึงอำเภออรัญประทศ
ประมาณ ๓๐ นาที แล้วจึงเสด็จประทับรถไฟขบวนพิเศษจากอรัญประเทศเข้ากรุงเทพ
ฯ
ถนนเจ้าพระยาบดินทรเดชา
เป็นถนนโบราณสายหนึ่งที่ผ่านจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ทางเหนือหมู่บ้านอัญ
ห่างออกไปประมาณ ๔๐๐ เมตร ชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมาว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชา
(สิงห์ สิงห์เสนี) เป็นผู้สร้างไว้ ต่อมาจึงมีผู้ตั้งชื่อว่า ถนนเจ้าพระยาบดินทรเดชา
สันนิษฐานว่า ถนนสายนี้เจ้าพระยาบดินทรเดชา คงสร้างขึ้นเมื่อคราวยกทัพกลับจากไปตีเขมร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แรงงานที่ใช้สร้างถนนสายนี้คงใช้แรงงานเชลยที่กวาดต้อนมา
รวมทั้งทหารไทยในกองทัพช่วยกันสร้างเพื่อความสะดวก ในการเดินทัพครั้งต่อไป
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เส้นทางนี้คงถูกเกณฑ์มาช่วยสร้างด้วย
เดิมถนนสายนี้มีความยาวถึง ๑๓๐ กิโลเมตร โดยเริ่มจากแม่น้ำศรีโสภณฝั่งขวาในเขตกัมพูชา
จนถึงแควหนุมาน อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ต่อมาได้สร้างถนนสุวรรณศร
ทับแนวถนนนี้เกือบตลอดสาย เหลือเพียงในอำเภอกบินทร์บุรี บางส่วนและในตลาด
อำเภออรัญประเทศบางส่วนเท่านั้น
รูปปั้นอนุสาวรีย์
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ประดิษฐานอยู่ริมถนนสายสระแก้ว - อรัญประเทศ ก่อนถึงตัวที่ว่าการอำเภอวัฒนานครเล็กน้อย
เป็นพระบรมรูปประทับยืนบนแท่นสูงมีขนาดใหญ่ พระหัตถ์ขวาชูพระขรรค์ ที่แท่นสลักพระราชประวัติว่า
"สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชต่อจากพระราชบิดา
เมื่อทรงพระชนมายุดได้ ๓๕ พรรษา ครองราชย์อยู่ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๒๐ ถึงปี พ.ศ.๒๑๓๕
พระองค์มีพระปรีชาสามารถในการทำศึกสงคราม เพื่อปกป้องราชอาณาจักร ตั้งแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งพระยศ
เป็นสมเด็จพระมหาอุปราช ในการปกป้องพระราชอาณาจักรทางด้านตะวันออก พระองค์ได้ยกทัพมาปราบปรามอริราชศัตรู
ซึ่งลอบเข้ามาโจมตีกวาดต้อนผู้คนบริเวณชายแดนอยู่เนือง ๆ โดยในปี พ.ศ.๒๑๒๔
ได้ทรงยกทัพมาปราบปรามครั้งแรก ต่อมาในปี พ.ศ.๒๑๒๕ จึงได้โปรดให้ตั้งค่ายคูเมือง
ปลูกยุ้งฉางข้าวลำเลียงไว้ที่ค่ายพระทำนบ
(บริเวณอำเภอวัฒนานครในปัจจุบัน) และในปี พ.ศ.๒๑๒๕ จึงได้ยกทัพปราบปรามอริราชศัตรูอย่างราบคาบ
ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า
ฯลฯ
เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยในอดีตกาล พสกนิกรทุกหมู่เหล่า
ในจังหวัดสระแก้ว ...ดำเนินการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์แล้วเสร็จ เมื่อวันที่
๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๘ สิ้นเงินดำเนินการ จำนวน ๓,๓๕๕,๓๐๓ บาท
พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประดิษฐานอยู่หน้าศาลากลางจังหวัด เป็นพระบรมรูปประทับยืน หล่อด้วยโลหะทองเหลืองรมดำ
ฉลองพระองค์เต็มยศ ทรงพระภูษาโจง พระหัตถ์ขวา ทรงถือพระคฑา พระหัตถ์ซ้ายทรงกุมพระแสงกระบี่
มีขนาดเท่าของพระองค์จริง
ประวัติการสร้างเนื่องจากจังหวัดสระแก้ว เป็นจังหวัดใหม่แยกจากจังหวัดปราจีนบุรีเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๓๖ ชาวจังหวัดสระแก้วจึงร่วมใจกันสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ที่ทรงสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศเป็นเอนกประการ ตลอดจนทรงห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ดุจบิดาห่วงใยบุตร
จนได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยะมหาราช
ได้มีการประกอบพิธีวางศิลาฟกษ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗ และมีพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘
อนุสาวรีย์เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนีย์)
ตั้งอยู่ที่กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดนที่ ๑๒ อำเภออรัญประเทศ ได้รับการตั้งชื่อค่ายว่า
ค่ายเจ้าพระยารชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนีย์) โดยได้รับความเห็นชอบจากตระกูลสิงหเสีนีย์
เพื่อเป็นอนุสรณ์และรำลึกถึงพระเกียรติประวัติของวีรบุรุษ นักรบผู้เก่งกล้าในอดีต
ตามประวัติศาสตร์เมืองปราจีนบุรี เป็นที่ตั้งประชุมพลจัดกระบวนการทัพของพระยาราชสุภาวดี
ในการยกทัพไปปราบกบฎทางหัวเมืองบูรพา คราวกบฎเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
ฯ ท่านสมารถปราบกบฎได้โดยเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว จนได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาราชสุภาวดี
ว่าที่สมุหนายก ในปี พ.ศ.๒๓๗๐
ได้มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์ และชื่อค่าย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๓
ประตูชัยอรัญประเทศ
ตั้งอยู่ที่พรมแดนไทย-กัมพูชา ที่บ้านคลองลึก ตำบลท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ ประตูชัย ฯ เป็นประตูทางผ่านเข้าออกที่พรมแดน ด้านอำเภออรัญประเทศของไทยกับปอยเปตของกัมพูชา
โดยมีสะพานเหล็กเชื่อมคลองลึก นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีประวัติศาสตร์ควรแก่การทรงจำ
ประตูชัยสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ มีป้อมสองป้อมอยู่คนละฟากถนนเป็นรูปหกเหลี่ยมด้านเท่า สูง ๑๕ เมคร ที่ฐานประตูทำเป็นห้องรักษาการหกเหลี่ยมด้านเท่าด้านละ ๑.๕๐ เมตร ย่อมนเรียงลดหลั่นขึ้นไปจนถึงยอดบนสุดเป็นคอคอยหกเหลี่ยมด้านเท่า ด้านละ ๐.๓๐ เมตร มีลับแลบังตาสำหรับสังเกตการณ์ได้ทุกด้าน บนสุดหอคอยมีครุฑพ่าห์ อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย
ประตูชัย ฯ ได้รับการบูรณะซ่อมแซม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๑ หลังจากปล่อยให้เป็นซากปรักหักพังมานานถึง
๑๘ ปี เป็นการซ่อมให้รักษารูปเดิมไว้ เฉพาะด้านซ้ายเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความกล้าหาญและเสียสละของ
ร้อยโท สุรินทร ปั้นดี กับพวกที่ได้พลีชีพเพื่อชาติไว้ ณ ที่นั้น ด้านขวามือสร้างเป็นเสมาขนาดใหญ่
หันหน้าไปทางกัมพูชา ทำด้วยหินอ่อนสลักครุฑพ่าห์ไว้ด้านบน ด้านล่างใต้ตัวครุฑจารึกคำว่า
"ประเทศไทย" บรรทัดถัดลงมา ได้อัญเชิญบทพระราชนิพนธ์สยามานุสติ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
บทหนึ่งมีความว่า
หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง |
เราก็เหมือนอยู่คง
ชีพด้วย |
หากสยามพินาศลง
ไทยอยู่ได้ฤา |
เราก็เหมือนมอดม้วย
หมดสิ้นสกุลไทย |
|