ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี

www.dooasia.com > เมืองไทยของเรา > เมืองเก่าของไทย

เมืองเก่าของไทย
ภาคกลาง
กรุงเทพฯ
กาญจนบุรี
จันทบุรี
ฉะเชิงเทรา
ชลบุรี
ชัยนาท
ตราด
นครนายก
นครปฐม
นนทบุรี
ปทุมธานี
ประจวบฯ
ปราจีนบุรี
เพชรบุรี
ระยอง
ราชบุรี
ลพบุรี
สมุทรปราการ
สมุทรสงคราม
สมุทรสาคร
สระแก้ว
สระบุรี
สิงห์บุรี
สุพรรณบุรี
อยุธยา
อ่างทอง
อุทัยธานี
ภาคเหนือ
กำแพงเพชร
เชียงราย
เชียงใหม่
ตาก
นครสวรรค์
น่าน
พะเยา
พิจิตร
พิษณุโลก
เพชรบูรณ์
แพร่
แม่ฮ่องสอน
ลำปาง
ลำพูน
สุโขทัย
อุตรดิตถ์
ภาคอีสาน
กาฬสินธุ์
ขอนแก่น
ชัยภูมิ
นครพนม
นครราชสีมา
บุรีรัมย์
มหาสารคาม
มุกดาหาร
ยโสธร
ร้อยเอ็ด
เลย
สกลนคร
สุรินทร์
ศรีสะเกษ
หนองคาย
หนองบัวลำภู
อุดรธานี
อุบลราชธานี
อำนาจเจริญ
ภาคใต้
กระบี่
ชุมพร
ตรัง
นครศรีธรรมราช
นราธิวาส
ปัตตานี
พัทลุง
พังงา
ยะลา
ระนอง
สงขลา
สตูล
สุราษฎร์ธานี

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

มรดกทางวัฒนธรรม

            สิงห์บุรีมีความอุดมสมบูรณ์ในหลาย ๆ ด้าน ทำให้มีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่ต่อเนื่องกันมานาน ได้สร้างสมผลงานที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจากการประดิษฐคิดค้นเครื่องมือเครื่องใช้งานศิลปกรรม และศาสนวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เป็นหลักฐานทางวิชาการที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี หรือชาติพันธุ์วิทยา บอกถึงความเป็นมาของชุมชน วิถีชีวิตผู้คนในอดีตต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
โบราณวัตถุ

            โบราณวัตถุที่พบในเขตจังหวัดสิงห์บุรี ตามยุคสมัยของศิลปะในประเทศไทยคือ
            สมัยก่อนประวัติศาสตร์  โบราณวัตถุที่พบได้แก่ หินดุ ขวานหิน
            สมัยทวารวดี  โบราณวัตถุที่พบได้แก่ ธรรมจักร พระพุทธรูปหิน แท่นหินบด ภาชนะดินเผา แว ตะคัน ลูกปัดหินสี
            สมัยอยุธยา  โบราณวัตถุที่พบได้แก่  พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาทั้งเคลือบและไม่เคลือบ จากเตาแม่น้ำน้อย เช่นไหสี่หู กระปุก แจกัน ฯลฯ
            สมัยรัตนโกสินทร์  โบราณวัตถุที่พบได้แก่ พระพุทธรูป  เครื่องถ้วยเบญจรงค์ เครื่องถ้วยจีน และสิ่งของเครื่องใช้ในการพระพุทธศาสนา
โบราณสถาน
            โบราณสถานในเขตจังหวัดสิงห์บุรี มีทั้งในส่วนที่เป็นแหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ แหล่งอุตสาหกรรม และสถานที่สำคัญของทางราชการ ที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมดีเด่น นอกจากนี้ยัวมีอาคารโบราณสถานที่เป็นวัดสำคัญทางพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยโบสถ์ วิหาร พระปรางค์ มณฑป ฯลฯ ล้วนเป็นมรดกที่ภาคภูมิใจ
            โบราณสถานของจังหวัดสิงห์บุรี ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่สำคัญ มีอยู่หกแห่งด้วยกันคือ วัดพระนอนจักรสีห์ วัดหน้าพระธาตุ เมืองโบราณบ้านคูเมือง วัดโพธิเก้าต้น คูค่ายพม่า และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินทรบุรี

            เมืองโบราณบ้านคูเมือง  อยู่ในเขตตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี เป็นชุมชนโบราณสมัยทวารวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๖ ลักษณะตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบสี่ด้าน มีพื้นที่ประมาณ ๕๐๔ ไร่ สภาพโดยทั่วไปในปัจจุบันยังปรากฎร่องรอยการอยู่อาศัยของชุมชนโบราณ พบเศษภาชนะดินเผา และสิ่งของเครื่องใช้ประเภทต่าง ๆ ที่บริเวณเนื้อดิน พบลูกปัดดินเผาและหินสี ในส่วนที่เป็นโบราณสถานไม่ปรากฎให้เห็นรูปทรงชัดเจน เหลือแต่เพียงชิ้นส่วนที่ใช้ตบแต่งสถาปัตยกรรมเท่านั้น
            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓

            คูค่ายพม่า  ตั้งอยู่บริเวณหลังวัดคู ตำบลโนนแป้ง อำเภอพรหมบุรี มีลักษณะเป็นแนวคันดินรูปปีกกา ส่วนหนึ่งของคูค่ายมีทางหลวงสายเอเชีย (ทางหลวงหมายเลข ๒) ตัดผ่าน เป็นคูค่ายที่พม่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๑๒๗ เมื่อครั้งพระเจ้าเชียงใหม่ยกทัพมาที่เมืองชัยนาท และให้ทัพหน้าลงมาตั้งค่ายที่ปากน้ำบางพุทรา แขวงเมืองพรหม โดยจะมาสมทบกับกำลังของเจ้าเมืองพสิม ที่ยกมาทางด่านเจดียสามองค์เพื่อรวมกำลังกันเข้าตีกรุงศรีอยุธยา กองทัพฝ่ายกรุงศรีอยุธยา ได้ต่อสู้จนกองทัพพม่าที่ปากน้ำบางพุทรา ต้องถอยร่นไปที่เมืองชัยนาท พระเจ้าเชียงใหม่ต้องถอยทัพกลับ ทิ้งร่องรอยคูค่ายไว้ให้เห็นถึงปัจจุบัน
            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘

            พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  เดิมเป็นพิพิธภัณฑ์ของวัดโบสถ์ ต่อมาได้รวบรวมโบราณวัตถุและสิ่งของต่าง ๆ ที่เก็บรวบรวมไว้ออกมาจัดแสดงในรูปพิพิธภัณฑ์ของวัด มีผู้เข้าชมมากขึ้นตามลำดับ ทำให้อาคารไม้หลังเดิมไม่เพียงพอแก่การนี้ จึงได้ก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่ แต่ยังไม่พอจึงได้ซ่อมแซมศาลาการเปรียญขึ้น เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์อีกหลังหนึ่ง
            มีโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ตั้งแต่สมัย ทวารวดี สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น พระพุทธรูปต่าง ๆ พระธรรมจักร ตาลปัตรพัดยศ เครื่องประกอบสมณศักดิ์ของพระสงฆ์
            กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖
แหล่งโบราณคดี
            แหล่งโบราณคดีเป็นแหล่งที่มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ในอดีต แต่ไม่ปรากฎสิ่งก่อสร้างให้เห็นอย่างชัดเจน ในเขตจังหวัดสิงห์บุรี มีการค้นพบแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง ซึ่งมักจะพบเศษชิ้นส่วนภาชนะรูปทรงต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ที่ยังมีร่องรอยปรากฎให้เห็นชัดเจนมีดังต่อไปนี้
            แหล่งโบราณคดีบ้านชีน้ำร้าย  อยู่ในเขตตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทรบุรี เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีพื้นที่เป็นที่ราบน้ำท่วมถึง พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบเผาด้วยอุณหภูมิต่ำ มีทั้งชนิดปากขอบโค้งเข้า โค้งออก และปากตรง การตกแต่งมีแบบเคลือบน้ำดินข้น ลายเชือกทาบ ลายขูดขีด ลายกดประทับ ลายปั้นแปะ และผิวเรียบไม่มีลาย แวดินเผาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ชิ้นส่วนกำไลสำริด ชิ้นส่วนที่คล้ายตุ๊กตาดินเผา ชิ้นส่วนขวานหิน
            แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ เป็นชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่คือ แม่น้ำเจ้าพระยา
            แหล่งโบราณคดีเมืองบ้านคู  ตั้งอยู่ที่บ้านคู ตำบลพักทับ อำเภอบางระจัน ปัจจุบันเหลือร่องรอยของคันดินเฉพาะทางด้านทิศเหนือ อีกส่วนหนึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคันดินชั้นเดียวแต่ปัจจุบันถูกไถออกไปหมดแล้ว เมืองโบราณทั้งสองแห่งนี้ตอดต่อกันโดยคูน้ำ

            จากการสำรวจภายในเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ เศษเครื่องถ้วยจีนลายคราม ขวานหินขัด ระฆังหิน และยังพบซากเจดีย์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๙ เมตร ยอดเนินดินสูงประมาณ ๑ เมตร บริเวณนอกเมืองทางด้านทิศเหนือ
            ส่วนเมืองโบราณขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ได้พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบเผาด้วยอุณหภูมิต่ำ ตกแต่งผิวภาชนะด้วยลายขูด ลายเส้นขนานสลับฟันปลา เหมือนกับเศษภาชนะดินเผาที่พบในสมัยอยุธยาตอนกลาง - ตอนปลาย เศษภาชนะดินเผาเนื้อแกร่ง เผาด้วยอุณหภูมิสูงชนิดไม่เคลือบ มีการตกแต่งผิวภาชนะแบบลายเส้นขนานสลับลายหวี
            แหล่งโบราณคดีแห่งนี้มีอายุเก่าถึงสมัยทวารวดี และคงมีผู้คนอยู่อาศัยภายในเมือง บริเวณรอบ ๆ เมืองในสมัยอยุธยา
            แหล่งโบราณคดีบ้านคีม  ตั้งอยู่ในเขตตำบลสระแจง อำเภอบางระจัน  มีลักษณะเป็นเนินดินรูปวงรี กว้าง ๒๐๐ เมตร ยาว ๕๐๐ เมตร มีคูน้ำขนาดกว้าง ๕ เมตร ล้อมรอบพื้นที่เป็นลานตะพักน้ำระดับต่ำ มีลักษณะเรียบจนถึงเป็นลูกคลื่นลอนลาด สภาพตัวเมืองโบราณแต่เดิมมีลักษณะเป็นเนินสูง
            จากการสำรวจ พบเฉพาะเศษภาชนะดินเผาเนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ พบไม่มากนักและเป็นชิ้นเล็ก ๆ  มีการตกแต่งผิวแบบเคลือบน้ำดินข้นและลายเชือกทาบ สันนิษฐานว่า เป็นชุมชนโบราณที่มีการสร้างคูน้ำคันดินล้อมรอบ ซึ่งคงมีอายุร่วมสมัยกับชุมชนโบราณทวารวดี ที่กระจายตัวอยู่ทั่วไป บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน
            เมืองโบราณบ้านคูเมือง  อยู่ในเขตตำบลห้วยชัน อำเภออินทร์บุรี  เป็นแหล่งชุมชนโบราณขนาดใหญ่ มีขนาดกว้างประมาณ ๖๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๗๐๐ เมตร ลักษณะเป็นเนินดินรูปร่างกลมรี สูงกว่าพื้นที่โดยรอบประมาณ ๓ เมตร มีคูน้ำล้อมรอบ ๑ ชั้น คูน้ำกว้างประมาณ ๑๐ เมตร บางตอนกว้าง ๕๐ เมตร คูน้ำยาวรอบตัวเมือง มีน้ำขังตลอดปี ปัจจุบันบริเวณเมืองเป็นสวนรุกขชาติของกรมป่าไม้ สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นทุ่งนา
            หลักฐานทางโบราณคดีส่วนใหญ่พบภาชนะดินเผาประเภทหม้อ ไห ชาม กาน้ำ ตะคันดินเผา ตะเกียง พระพุทธรูปหินสีเขียว พระธรรมจักรหิน เครื่องประดับประเภทต่าง ๆ เช่น ตุ้มหู สำริด ลูกกระพวนสำริด ตุ้มหูตะกั่ว ลูกปัดหินสี ลูกปัดแก้ว เบี้ยดินเผาหินบดยา โครงกระดูกกลายเป็นหิน ฐานศิวลึงค์ กังสดาล เหรียญเงินมีคำจารึกว่า ศรีทวารวดีศวรปุณยะ และพบสระน้ำโบราณอยู่ ๓ สระ
            จากการนำชิ้นส่วนถ่านที่ได้จากชั้นดินที่ทับถมอยู่บริเวณคูเมืองโบราณไปทดสอบอายุ พบว่ามีอายุสัมพันธ์กับโบราณวัตถุสมัยฟูนันตอนต้น ติดต่อมาถึงสมัยทวารวดี ที่เห็นเด่นชัดคือภาชนะดินเผาที่มีการตกแต่งด้วยลวดลายประดับรูปสัตว์สลับดอกไม้กรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า และกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรียงในแนวนอน มีลวดลายไข่ปลาในแนวตั้ง ลายแบบนี้นิยมทำภาพสลักที่เจดีย์สมัยทวารวดีในจังหวัดนครปฐมด้วย
แหล่งประวัติศาสตร์
            พิ้นที่ที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ของสิงห์บุรี เป็นสถานที่สู้รบระหว่างชาวบ้านบางระจันกับกองทัพพม่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุงครั้งที่สองในปี พ.ศ.๒๓๑๐ โดยรวมตัวกันตั้งค่ายป้องกันข้าศึก ได้ชัยชนะถึงเจ็ดครั้ง ต้านทานข้าศึกได้นานถึง ๕ เดือน นับเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาติ

            ค่ายบางระจัน  อยู่ในเขตตำบลบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน มีประวัติความเป็นมาโดยสังเขปคือ เมื่อเดือนสาม ปีระกา พ.ศ.๒๓๐๘ พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่าแห่งกรุงอังวะ ให้เนเมียวสีหบดี (มังโปสุพลา) เป็นแม่ทัพฝ่ายเหนือยกกำลังมาทางเหนือเข้าตีเมืองรายทาง แล้วลงไปตั้งค่ายอยู่ที่วัดป่าฝ้าย (ในเขตอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปัจจุบัน)
            ให้มังมหานรธาเป็นแม่ทัพฝ่ายใต้ พร้อมด้วยติงจา แมงข่อง จอกาโม งาจุนหวุ่น และจิกแก ปลัดเมืองทวาย ยกกำลังมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ แล้วมาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลสีกุก (ในเขตอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในปัจจุบัน)
            เนเมียวสีหบดีให้สุรินทจอข่องเป็นแม่ทัพถือพลหนึ่งพันเศษ ยกไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษไชยชาญ เที่ยวออกปล้นสะดมชาวบ้านเป็นที่เดือดร้อนไปทั่ว
            ได้มีชาวบ้านสี่คนคือนายแทน นายอิน นายเมือง และนายโชติ เป็นชาวบ้านศรีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์บุรี และอีกสองคนคือ นายดอกและนายทองแก้ว เป็นชาวเมืองวิเศษไชยชาญ บ้านสี่ร้อย  ทั้งหกคนได้ร่วมสาบานกันและขอเป็นศิษย์พระอาจารย์ธรรมโชติ สำนักวัดเขาขึ้น ยอดเขานางบวช
            ขุนสรรค์สรรพกิจ กรมการเมืองสรรคบุรี ศิษย์ของพระอาจารย์ธรรมโชติ ได้อพยพครอบครัวและราษฎรประมาณสองร้อยคน
มาพึ่งพระอาจารย์ธรรมโชติ พระอาจารย์ธรรมโชติจึงหาทำเลที่ตั้งค่ายที่วัดโพธิ์เก้าต้น ตำบลบ้านบางระจันทร์ แขวงเมืองสิงห์บุรี เพราะมีภูมิประเทศคล้ายเป็นเกาะ เหมาะแก่การตั้งรับข้าศึกและป้องกันตัว มีเสบียงอาหารสมบูรณ์
            ขณะนั้นได้มีกลุ่มคนซ่องสุมกำลังฝึกอาวุธอยู่บริเวณเหนือวัดโพธิ์ทะเล อยู่หลายกลุ่มด้วยกันคือ
                   นายพันเรือง กำนันตำบลบางระจัน
                   นายจันเขียว  หรือนายจันหนวดเขี้ยว นายบ้านโพธิ์ทะเล
                   นายทองเหม็น ผู้ใหญ่บ้านกลับ
                   นายทองแสงใหญ่  ผู้ช่วยกำนันตำบลบางระจัน
            ทั้งสี่คนเป็นชาวเมืองสิงห์บุรี ทุกคนเป็นศิษย์พระอาจารย์ธรรมโชติ ได้มารวมตัวกันกับพระอาจารย์ธรรมโชติ ได้มีการสร้างค่ายสองค่าย ค่ายใหญ่อยู่บริเวณวัดโพธิ์เก้าต้น ค่ายเล็กอยู่บริเวณวัดประโยชน์ (วัดยวด) ให้นายแท่นเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้นายทองเหม็นเป็นนายกอง ทางปีกขวา นายพันเรืองเป็นนายกองทางปีกซ้าย ขุนสรรค์สรรพกิจ เป็นกองหน้า ชาวบ้านบางระจันได้รวมกำลังกันดังกล่าวต่อสู้กับพม่าหลายครั้งดังนี้
                     - ครั้งที่ ๑ สุรินจอข่อง รู้ว่ามีการจัดตั้งค่ายบางระจัน จึงให้จัดกำลังร้อยคนมุ่งหน้าไปบางระจัน ทางค่ายบางระจันให้นายแท่นเป็นนายกองออกไปสู้พม่า เมื่อพม่ายกมาถึงด้านใต้ลำราง ชาวค่านบางระจันก็เข้าโจมตีพม่าได้ฆ่าฟันพม่าตายเกือบหมด เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็ทำให้ผู้ที่หลบซ่อนอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ อพยพเข้ามาอยู่ในค่ายบางระจันมากขึ้นจนมีกำลังเกือบพันคน
            สุรินจอข่อง เห็นสถานการณ์เช่นนั้น จึงมีใบบอกไปยังแม่ทัพใหญ่ เนเมียวสีหบดีจึงให้งาฉุนหวุ่นถือพล ๕๐๐ ยกออกไปปราบเมื่อมาถึงบ้านแสวงหา พระอาจารย์ธรรมโชติให้นายดอกกับนายทองแก้วคุมกำลังออกรบ ฝ่ายพม่าแตกกลับไป
                     - ครั้งที่ ๒  เนเมียวสีหบดีจัดกำลังเจ็ดร้อยคน ให้เยกินหวุ่นยกกำลังไปปราบ ทางค่ายบางระจันยกกำลังไปตั้งรับที่บ้านห้วยไผ่ เมื่อปะทะกับฝ่ายค่ายบางระจัน ได้ชัยชนะฆ่าฝ่ายพม่าตายเป็นจำนวนมาก
                     - ครั้งที่ ๓  เนเมียวสีหบดีจัดกำลังเก้าร้อยคน ให้ติงจาโปคุมกำลังไปปราบ ฝ่ายค่ายบางระจันซุ่มคอยที่อยู่ เมื่อพม่ายกมาถึงทุ่งขุนโลก (ปัจจุบันอยู่ที่วัดประดับ) ฝ่ายไทยยกกำลังเข้าตีพม่าแตกกลับไป
                     - ครั้งที่ ๔  เนเมียวสีหบดีจัดกำลังหนึ่งพันคน ให้สุรินจอข่องนำไปปราบค่ายบางระจัน เมื่อมาถึงบ้านหัวไผ่ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญใกล้ค่ายบางระจัน ทางค่ายบางระจันให้นายแท่นเป็นกองกลาง นายทองเหม็นเป็นปีกขวา นายพันเรืองเป็นปีกซ้าย มีกำลังพลกองละสองร้อยคน และให้ขุนสรรค์คุมพลแม่นปืน ร้อยคนเป็นกองหน้า กำลังทั้งหมดไปพร้อมกันที่สะตือสี่ต้น ริมคลองบางระจัน ตั้งรับพม่าอยู่ด้านเหนือบ้านห้วยไผ่ เมื่อเข้ารบกันได้มีกองม้าบ้านโพธิคำหยาด แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ มีม้า ๓๐ ตัว ผ่านมาพบเหตุการณ์จึงได้เข้าร่วมรบด้วย ฝ่ายพม่าแตกยับเยินกลับไป สุรินจอข่องนายทัพพม่าตายในที่รบ นายแท่นถูกปืนพม่าได้รับบาดเจ็บ
                     - ครั้งที่ ๕  เนเมียวสีหบดีให้แยจอฮากา ถือพลพันสองร้อยคนมาตีค่ายบางระจัน ทางค่ายบางระจันจัดกำลังออกไปซุ่มระหว่างทาง ฝ่ายพม่าเดินทัพเข้าสู่ที่ล้อมที่บ้านขุนโลก กองทัพพม่าแตกร่นไปไม่เป็นขบวนล้มตายเป็นจำนวนมาก แยจอฮากาหนีกลับไปได้
                     - ครั้งที่ ๖  เนเมียวสีหบดีจัดกำลัง ๑,๒๐๐ คน ให้จิกแกปลัดเมืองทวาย ยกไปตีค่ายบางระจันกำลังทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันที่ชายทุ่งบ้านกระทุ่มรายและวัดบ้านสร้าง ฝ่ายพม่าแตกกลับไป
                     - ครั้งที่ ๗  เนเมียวสีหบดีจัดกำลัง ๑,๕๐๐ คน ให้อากาปันคยีเป็นเม่ทัพ มีทั้งทหารราบและทหารม้า ยกไปตีค่ายบางระจัน ใช้วิธีเดินทัพช้า ๆ ตั้งค่ายเป็นระยะ ๆ สุดท้ายมาตั้งที่ชายป่าบ้านขุนโลก ตอนนี้ทางค่ายบางระจันมีกำลังคนมากขึ้น ได้จัดกำลัง ๑,๐๐๐ คนเศษ ให้นายจันหนวดเขี้ยวเป็นเม่ทัพมีกำลัง ๓๐๐ คน นายโชติเป็นปีกขวามีกำลัง ๒๐๐ คน นายทองแก้วเป็นปีกซ้ายมีกำลัง ๓๐๐ คน ขุนสรรมีกำลัง ๑๒๐ คน กองม้ามี ๔๐๐ ตัว มอบให้นายทัพเป็นนายกองม้าประจันบาน ฝ่ายค่ายบางระจันตีพม่าแตกพ่ายกลับไป
                     - ครั้งที่ ๘ หลังจากการรบคร้งที่ ๗ ต่อมาอีก ๒๐ วัน มีมอญคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไทยมานาน พม่าได้ตั้งตัวให้เป็นพระนายกอง รับอาสาคุมกำลังไปตีค่ายบางระจัน ได้คุมกำลังผสมพม่ามอญจำนวน ๒,๐๐๐ คน พร้อมยุทธภัณฑ์ เครื่องม้า ปืนเล็ก ปืนใหญ่ เดินทัพอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงที่เหมาะสมก็จะตั้งค่าย โดยตัวค่ายแต่ละครั้งจะมีสามค่าย แล้วรื้อค่ายหลังไปตั้งค่ายหน้า ทำเช่นนี้ตลอด ๒๐ วัน ก็เข้าประชิดบ้านขุนโลกใกล้เขตบ้านบางระจัน ฝ่ายค่ายบางระจันจัดทัพเข้าโจมตี แต่ฝ่ายพม่าตั้งมั่นอยู่ในค่ายแล้วใช้ปืนใหญ่ปืนเล็กยิงต่อสู้ นายทองเหม็นออกรบถุฝ่ายพม่ารุมตีตาย นับเป็นครั้งแรกที่ชาวบางระจันแพ้ ส่วนนายแท่นถูกพม่ายองบาดเจ็บและตายในที่สุด พม่าพยายามขุดอุโมงค์เข้าประชิดค่ายบางระจัน เพื่อตั้งปืนใหญ่ยิงได้สะดวกขึ้น
            ชาวค่ายบางระจัน ได้ทำใบบอกไปยังกรุงศรีอยุธยา ขอปืนใหญ่กับกระสุนดินดำมาต่อสู้พม่า แต่ทางกรุงศรีอยุธยาเกรงว่าจะถูกพม่าช่วงชิงระหว่างทาง แต่ได้ให้พระยารัตนาธิเบศร์มาแนะนำช่วยเหลือ โดยได้เรี่ยไรทองเหลือง ทองแดง ตลอดจนโลหะที่พอมีมาหล่อปืนใหญ่ แต่ปรากฎว่า ปืนใหญ่ที่หล่อทั้งสองกระบอกร้าวใช้การไม่ได้ เมื่อพม่าขุดอุโมงค์เข้าประชิดค่ายบางระจัน แล้วใช้ปืนใหญ่ระดมยิงติดต่อกันสามวัน พม่าก็เข้ายึดค่ายเล็กไว้ได้ ต่อมาอีก ๒๐ วันพม่าก็รวมกำลังกันเข้าตีค่ายบางระจันได้ เมื่อวันแรมสองค่ำเดือนแปด พ.ศ.๒๓๐๙ รวมเวลาที่ชาวบ้านบางระจันได้ตั้งค่ายสู้พม่าอยู่ถึงห้าเดือน
            ร่องรอยของค่ายบางระจันคงเหลือแต่คันดินเป็นแนวอยู่ทางทิศใต้ของวัดโพธิ์แก้ว ทางราชการได้แต่งตั้งคณะกรรมการบูรณะฟื้นฟูค่ายบางระจัน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ โดยให้กรมศิลปากรขุดแต่งตัวค่ายและสระ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๓ คณะกรรมการได้มีดำริให้สร้างค่ายจำลองแทนค่ายเก่าซึ่งสร้างด้วยไม้ประกอบด้วยเชิงเทิน ระเนียด ป้อมและหอคอยห้าป้อม เป็นป้อมใหญ่สองป้อม ป้อมเล็กสามป้อม อยู่ที่มุมทิศตะวันออกหนึ่งป้อม ทิศตะวันตกสองป้อม ตัวป้อมสูง ๘ เมตร กว้าง ๔.๖๐ เมตร มีหอคอยหลังคาเหลี่ยมมุงด้วยแฝก กว้าง ๒.๕๐ เมตร ป้อมใหญ่มีพื้นสามชั้น ป้อมเล็กมีสองชั้น มีบันไดขึ้นกำแพงค่ายหรือระเนียด กำแพงป้อมรักษาการณ์ มีลักษณะการเรียงเสาสามต้นให้สูงขึ้น มาสลับกับเสาสองต้นเป็นระยะ สำหรับบังตัวตามแบบใบเสมาของกำแพงเรียกว่า ลูกป้อม เสาระเนียดทั้งหมดเสี้ยมปลายแหลม หลังค่ายยกเป็นเนินดินสูง ๑.๒๐ เมตร ตัวค่ายจำลอง มีความยาวประมาณ ๑.๗๕ เมตร

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |


 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์