www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
มรดกทางพระพุทธศาสนา
ศาสนสถานและศาสนวัตถุ
วัดพระบรมธาตุ และพระบรมธาตุ
อยู่ในตำบลเกาะตะเภา อำเภอบ้านตาก ตามตำนานพระเจ้าเลียบโลก กล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้
และประกาศพระพุทธศาสนาแล้ว ได้เสด็จจาริกไปแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ เมื่อเสด็จมาถึงดอยมหิยกะ
ซึ่งเป็นสถานที่สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ทรงเห็นว่าเป็นที่ร่มรื่นจึงได้ตรัสกับพระอรหันต์
ซึ่งตามเสด็จครั้งนั้นว่า หากตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ให้นำเอาพระบรมอัฐิ (พระบรมธาตุ)
บางส่วน กับพระเกศาสี่เส้น มาบรรจุไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้ประชาชนสักการบูชา
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระอรหันต์จึงได้นำพระบรมอัฐิ
และพระเกศามาบรรจุไว้ในพระบรมธาตุเจดีย์ โดยมีสุรกวัตถิเศรษฐี แห่งดอยมหิยกะ
เป็นผู้สร้างพระเจดีย์ เมื่อ พ.ศ.๔๐
วัดนี้ตามคำบอกเล่าของนักค้นคว้า เรื่องโบราณสถานโบราณวัตถุว่า สร้างเมื่อพุทธศตวรรษที่
๑๘
เจดีย์พระบรมธาตุที่เห็นอยู่ปัจจุบัน ได้สร้างเลียนแบบมาจากเจดีย์ชะเวดากองในพม่า
ได้มีการต่อเติมเสริมองค์เจดีย์ให้สูงใหญ่ มีเจดีย์องค์เล็ก ๆ รายรอบ
วัดพระบรมธาตุ เป็นวัดเก่าแก่ และสวยงามที่สุดในจังหวัดตาก ได้รับการบูรณะปฎิสังขรณ์มาหลายครั้ง
ตัวอุโบสถมีประตูเป็นไม้แกะสลักสวยงาม หน้าบันและจั่วเป็นไม้ หน้าต่างแกะเป็นภาพพุทธประวัติปิดทอง
หัวบันไดเป็นนาค
วิหาร เป็นวิหารเก่ามีเพดานสูงสองชั้น มีช่องลมอยู่โดยรอบทำให้อากาศภายในเย็น
ภายในบริเวณประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง นอกจากนี้ภายในบริเวณวัดยังมีวิหารไม้เก่าแก่
ที่มีลายแกะสลัก นับเป็นวัดที่มีคุณค่าทางโบราณคดีมาก
วัดดอยข่อยเขาแก้ว
หรือวัดพระเจ้าตากสิน ตั้งอยู่บนเนินดินในตำบลแม่ท้อ อำเภอเมือง ฯ อยู่ห่างจากแม่น้ำปิงประมาณ
๒๕๐ เมตร มีโบสถ์ที่มีใบเสมาคู่ วิหาร เจดีย์ และมีรอยพระพุทธบาทจำลองอยู่ในโบสถ์
วัดนี้สันนิษฐานว่าสร้างสมัยอยุธยา ปรากฎในพระราชพงศาวดารว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จไปตีเมืองเชียงใหม่
ครั้งที่สอง ในปี พ.ศ.๒๓๑๗ ได้เสด็จไปหาสมภารวัดนี้ ตรัสถามเรื่องลูกแก้วที่พระองค์ทรงเสี่ยงงทายเมื่อครั้งยังเป็นพระยาตากอยู่
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
โปรดให้ปฏิสังขรณ์ใหม่หมดทั้งพระอาราม เมื่อคราวเสด็จกลับจากเชียงใหม่ ในปี
พ.ศ.๒๓๑๗ ฝีมือในการก่อสร้างเป็นแบบสมัยธนบุรีทั้งสิ้น
วัดสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ตั้งอยู่บนเนินเขาแก้ว ตำบลแม่ท้อ อำเภอเมือง ฯ ใต้วัดข่อยเขาแก้วไปประมาณ
๑,๒๐๐ เมตร มีซากพระอุโบสถซึ่งผูกพัทสีมาสองชั้น ทำให้เข้าใจว่าเป็นวัดหลวงมาแต่เดิม
มีกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ กำแพงด้านในทำเป็นช่องเล็ก ๆ เต็มไปหมดทั้งสี่ด้าน
ช่องเหล่านี้คล้ายกับช่องสำหรับตามประทีปที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช น่าจะโปรดให้สร้างเฉลิมพระเกียรติที่ทรงตีเมืองเชียงใหม่ได้
หลังจากเสด็จกลับจากเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๒๐๕ รูปทรงลักษณะของพระอุโบสถ
และกำแพงแก้วที่ยังเหลืออยู่เป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยา
เจดีย์คู่
ในบริเวณวัดสมเด็จพระนารายณ์ มีวิหารน้อยอยู่อีกแห่งหนึ่งสร้างในสมัยอยุธยา
ต่อจากวิหารน้อยออกไปมีเจดีย์ฝีมือช่างสมัยอยุธยาสร้างคู่กันสององค์ ที่ฐานเจดีย์มีช่องสำหรับตามประทีปโดยรอบ
แสดงว่าน่าจะเป็นสิ่งที่สร้างหรือปฏิสังขรณ์ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ที่ทำเป็นเจดีย์คู่กันนั้น สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า
เดิมเห็นจะมีเจดีย์คู่สร้างไว้แต่ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับสมเด็จพระเอกาทศรถ
เมื่อคราวตีได้เมืองเชียงใหม่กลับคืนมาเป็นของไทย ของเดิมคงชำรุดทรุดโทรมลง
สมเด็จพระนารายณ์ จึงโปรดให้บูรณะใหม่ แล้วทำช่องตามประทีปไว้ที่ฐานเจดีย์
ตามแบบที่พระองค์โปรดก็ได้
ต่อจากเจดีย์คู่มีเจดีย์ใหญ่ฐานสี่เหลี่ยมอีกองค์หนึ่ง องค์เจดีย์หักพังหมด
สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเข้าพระทัยว่า น่าจะเป็นของสมเด็จพระชัยราชาธิราชทรงสร้างไว้
แต่ครั้งตีเมืองเชียงใหม่ได้ในปี พ.ศ.๒๐๘๘ และต่อมาพระมหากษัตริย์ไทยจึงทรงถือเป็นเยี่ยงอย่างสร้างกันในสมัยต่อ
ๆ มา ปรากฎว่ามีเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงตีได้เมืองเชียงใหม่กลับคืนมาเป็นของไทยครบทุกรัชสมัย
วัดเขาถ้ำ
อยู่ในตำบลไม้งาม อำเภอเมือง ฯ ภูมิประเทศตรงที่ตั้งวัดสวยงามมาก โดยเฉพาะภูเขามีศิลาน้อยใหญ่
ตั้งเป็นระเบียบคล้ายกับมีคนมาจับวางซ้อนกัน ขึ้นไว้เป็นกองใหญ่ ภายในเขามีถ้ำกว้างขวาง
และเย็นสบาย มีโบสถ์ วิหาร เจดีย์ และรอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งเป็นของสร้างใหม่
ในเทศกาลวันเพ็ญ เดือนห้า ประชาชนในเขตจังหวัดตาก จะพากันไปนมัสการพระพุทธรูปและรอยพระพุทธบาท
เป็นประจำปี
วัดพระธาตุลอย
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ใต้แก่งส้มป่อย ซึ่งเป็นแก่งสุดท้ายข้างฝ่ายใต้
ในตำบลบ้านนา อำเภอสามเงา มีพระเจดีย์ซึ่งสร้างตามแบบเจดีย์ทางล้านนาไทยอยู่องค์หนึ่ง
บุด้วยทองแดงปิดทอง เมื่อล่องไปตามลำน้ำจะมองเห็นยอดเจดีย์ได้แต่ไกล
ในบริเวณวัดมีวิหารหลังหนึ่ง มีศาลาอาศัยหลายหลัง และมีกำแพงวัดล้อมอยู่โดยรอบ
พระเจดีย์ธาตุลอยนี้ ชาวเมืองตากนับถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก ถึงแม้วัดจะร้างไปนานแล้วก็ตาม
แต่ชาวเมืองตากยังพากันไปนมัสการพระธาตุลอยทุกปีมิได้ขาด
พระธาตุดอยดินจี่หรือพระธาตุดอยหินกิ่ว
อยู่ที่บ้านวังตะเคียน ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด อยู่บนภูเขาสูง มีทางเดินเป็นบันไดปูนซีเมนต์ประมาณ
๘๐๐ ขั้น พระสถูปเจดีย์ที่ประดิษฐานพระธาตุตั้งอยู่บนหินก้อนใหญ่เป็นชะง่อนผา
มีรอยพระพุทธบาทจำลองอยู่ด้านซ้ายมือ มองลงมาด้านล่างเห็นทิวทัศน์ในเขตพม่าได้ชัดเจน
หินที่อยู่บนดอยเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลไหม้ จึงเรียกว่าดินจี่คือดินที่ไหม้ไฟ
เจดีดอยดินจี่ (ดอยหินกิ่ว) นี้ชาวบ้านเรียกว่า พญาอ่อง เป็นเจดีย์ทรงมอญขนาดเล็ก
ในวันมาฆบูชาชาวไทยใหญ่ในอำเภอแม่สอดและเมืองเมียวดีในพม่า จะมานมัสการพระธาตุดอยหินจี่อย่างเนืองแน่น
เจดีย์แม่กุหลวง เจดีย์แม่ปะ (พญาหน่อกวิ้น)
และเจดีย์เมียวดี เป็นเจดีย์แบบมอญ
เจดีย์แม่กุหลวงตั้งอยู่บนเนินสูง ที่หมู่บ้านแม่กุหลวง ตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด
อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเมย เจดีย์แม่ปะ ตั้งอยู่กลางทุ่งนา ตำบลแม่ปะ อำเภอแม่สอด
เจดีย์เมียวดีอยู่ในเมืองเมียวดี ทางฝั่งขวา (ตะวันตก) ของแม่น้ำเมย มีประวัติการสร้างว่า
มีพี่น้องชาวกะเหรี่ยงสามคน มีอาชีพค้าไม้สักอยู่ในพม่า ร่ำรวยมาก นับถือพระพุทธศาสนา
จึงคิดสร้างเจดีย์เป็นอนุสรณ์และเป็นที่สักกการคนละองค์ เจดีย์แม่กุหลวง
ผู้สร้างคือพระหน่อเข่ ผู้สร้างเจดีย์แม่ชะคือพะดีพอ และเจดีย์เมียวดี ผู้สร้างคือมะส่วยจ่าพอ
เจดีย์แต่ละองค์มีมูลค่าเท่ากับช้างหนึ่งเชือก ภายในองค์เจดีย์บรรจุพระพุทธรูปทองคำหนักองค์ละ
๓๐ บาท สันนิษฐานว่า สร้างมานานกว่าสองร้อยปีมาแล้ว
เจดีย์พระธาตุผาแดง
ตั้งอยู่บนเนินเขา ในตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด ตั้งอยู่ในจุดที่เด่นมาก
ไม่ว่าจะมองจากทิศใดของอำเภอแม่สอด จะสามารถมองเห็นเจดีย์องค์นี้ได้ชัดเจน
แต่เดิมเป็นเจดีย์ทรงมอญ ที่ชาวบ้านสร้างขึ้นในบริเวณเหมือนสังกะสี ของบริษัทผาแดงในปัจจุบัน
ต่อมาบริษัทผาแดง ฯ ได้รับสัมปทานทำเหมืองสักกะสีซึ่งอยู่บริเวณที่ตั้งเจดีย์จึงได้ย้ายเจดีย์มาสร้างใหม่ในบริเวณปัจจุบัน
ซึ่งอยู่ห่างจากที่เดิมประมาณ ๕ กิโลเมตร เป็นเจดีย์ทรงเชียงแสนบรรจุพระพุทธรูปเป็นที่สักการบูชา
มีประเพณีขึ้นนมัสการพระธาตุในเทศกาลวันมาฆบูชาขึ้น ๑๓ - ๑๕ ค่ำ เดือนสาม
ของทุกปี
|