ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี

www.dooasia.com > เมืองไทยของเรา > เมืองเก่าของไทย

เมืองเก่าของไทย
ภาคกลาง
กรุงเทพฯ
กาญจนบุรี
จันทบุรี
ฉะเชิงเทรา
ชลบุรี
ชัยนาท
ตราด
นครนายก
นครปฐม
นนทบุรี
ปทุมธานี
ประจวบฯ
ปราจีนบุรี
เพชรบุรี
ระยอง
ราชบุรี
ลพบุรี
สมุทรปราการ
สมุทรสงคราม
สมุทรสาคร
สระแก้ว
สระบุรี
สิงห์บุรี
สุพรรณบุรี
อยุธยา
อ่างทอง
อุทัยธานี
ภาคเหนือ
กำแพงเพชร
เชียงราย
เชียงใหม่
ตาก
นครสวรรค์
น่าน
พะเยา
พิจิตร
พิษณุโลก
เพชรบูรณ์
แพร่
แม่ฮ่องสอน
ลำปาง
ลำพูน
สุโขทัย
อุตรดิตถ์
ภาคอีสาน
กาฬสินธุ์
ขอนแก่น
ชัยภูมิ
นครพนม
นครราชสีมา
บุรีรัมย์
มหาสารคาม
มุกดาหาร
ยโสธร
ร้อยเอ็ด
เลย
สกลนคร
สุรินทร์
ศรีสะเกษ
หนองคาย
หนองบัวลำภู
อุดรธานี
อุบลราชธานี
อำนาจเจริญ
ภาคใต้
กระบี่
ชุมพร
ตรัง
นครศรีธรรมราช
นราธิวาส
ปัตตานี
พัทลุง
พังงา
ยะลา
ระนอง
สงขลา
สตูล
สุราษฎร์ธานี

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

มรดกทางวัฒนธรรม

โบราณสถาน
  โบราณสถานสระมรกต (รอยพระพุทธบาทคู่)

            โบราณสถานสระมรกต ตั้งอยู่ที่บ้านสระข่อย ตำบลโคกไทย อำเภอศรีมโหสถ ห่างจากตัวอำเภอไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ ๓ กิโลเมตร
            สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ดอน สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๒๐ เมตร เดิมเป็นเนินโบราณสถานขนาดใหญ่สองเนิน มีสระน้ำสองสระคือ สระมรกต ตั้งอยู่ทิศตะวันออก และสระบัวล้า ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกของสระมรกต มีเนินโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งเรียกว่า เนินพระเจดีย์
            โบราณสถานสระมรกต ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘ ได้มีการขุดแต่งทางโบราณคดีหลายครั้ง ระหว่าง ปี พ.ศ.๒๕๑๔ - ๒๕๒๑ แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ต่อมาในปี พ.ศ๒๕๒๙ - ๒๕๓๐ ได้มีการขุดค้นขุดแต่อีกครั้งหนึ่ง เป็นโครงการร่วมระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ผลการขุดค้นดังกล่าว ทำให้ทราบว่า บริเวณแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ประกอบด้วยโบราณสถานที่สามารถจัดแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ตามอายุสมัยการก่อสร้าง คือ
            กลุ่มแรก  เป็นกลุ่มอาคารโบราณสถานที่สร้างขึ้นในสมัยแรก ประกอบด้วย วิหารพระพุทธบาท และกำแพงแก้วชั้นนอกที่ยังคงเหลือร่องรอยอยู่บางส่วน

            สิ่งสำคัญของโบราณสถานกลุ่มนี้คือ รอยพระพุทธบาทคู่ ที่แกะสลักลงไปในเนื้อศิลาแลงธรรมชาติ มีลักษณะที่เหมือนจริง กลางรอยฝ่าพระบาทแต่ละข้าง แกะสลักเป็นรูปธรรมจักร  ตรงกลางระหว่างรอยพระพุทธบาทเจาะเป็นหลุมกลม และแกะเซาะเป็นรูปกากบาท คาดทับรอยพระพุทธบาท รอบรอยพระพุทธบาทแกะสลักเป็นรูปวงกลมล้อมรอย จากการศึกษาเปรียบเทียบรอยพระพุทธบาทคู่นี้ คงสร้างขึ้นตามความเชื่อในการสร้างอุทเทสิกเจดีย์ เพื่ออุทิศแด่พระพุทธองค์ตามคติของอินเดียโบราณก่อนที่จะมีการสร้างพระพุทธรูป หรืออาจสร้างขึ้นเพื่อเป็นบริโภคเจดีย์ โดยถือเสมือนว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังที่นี้ หรือเป็นความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่หมายถึงพุทธศาสนาได้เผยแแผ่มายังที่นี้ คามคติของลังกา สำหรับหลุมที่อยู่ตรงกลางรอยพระพุทธบาท เชื่อกันว่าเป็นหลุมสำหรับปักเสาฉัตรหรือเสาเพลิง รองรับเครื่องหมายตรีรัตน์หรือธรรมจักร
            จากหลักฐานจารึกและหลักฐานที่พบในชั้นทับถม ซึ่งร่วมสมัยกับวิหารก่อสร้างครอบรอยพระพุทธบาทคู่แห่งนี้ สันนิษฐานว่า คงมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔
            กลุ่มที่สอง  เป็นกลุ่มอาคารโบราณสถานที่สร้างทับลงไปบนโบราณสถานกลุ่มแรก ประกอบด้วยซุ้มประตูหน้า ปรางค์ประธานที่มีแผนผังเป็นรูปกากบาทสองกันต่อกัน บรรณาลัยมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ถัดจากซุ้มด้านหน้าทำเป็นทางเดินทอดยาวออกไปทางทิศตะวันออก
            ลักษณะของโบราณสถานกลุ่มที่สองมีแผนผังเดียวกับอโรคยศาลา ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ประกอบกับหลักฐานของประติมากรรมที่ขุดพบ มีลักษณะเป็นศิลปะขอมแบบบายน ทำให้สันนิษบานได้ว่า โบราณสถานกลุ่มที่สองสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘
   โบราณสถานสระแก้ว  (บราณสถานหมายเลข ๑๒)

            สระแก้ว  เป็นสระน้ำโบราณที่สวยที่สุด มีรูปสลักภาพสัตว์ที่ขอบสระ ตั้งอยู่บริเวณตะวันตกของเมืองโบราณศรีมโหสถ ในเขตตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘
            สระแก้วเป็นสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้าง ๑๘ เมตร มีทางลงสระทางด้านทิศตะวันตก และลดชั้นเป็นชั้นบันไดสองขั้นถึงขอบทางลงสระ บันไดขั้นที่ ๓ ถึง ๗ ตัดลงไปในศิลาแลงธรรมชาติ จนถึงพื้นล่างของสระที่เป็นดินเหนียว ผนังสระด้านเหนือมีการตัดศิลาแลง เป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้ายื่นเข้ามาในสระมีบันไดทางลงสระทั้งสองข้าง ๆ ละสองขั้น บริเวณใกล้ทางลงสระเป็นหลุมเสา สันนิษฐานว่า บริเวณนี้เดิมคงเป็นพลับพลาเปลาสร้างด้วยไม้

            บริเวณรอบสระแก้ว ใช้ศิลาแลงก่อยกขอบขึ้น ที่ขอบสระด้านในมีการสลักศิลาแลง เป็นรูปสัตว์อยู่ภายในกรอบ ระหว่างเหนือกรอบรูปสัตว์กับศิลาแลง ที่ก่อเป็นขอบสระนั้น มีรูปสลักเป็นลวดลายขนาดเล็ก ต่อเนื่องกันเป็นแถว เป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ  เช่น หงส์ หรือมกร รูปสลักดังกล่าวพบที่ผนังขอบสระด้านทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก พบว่ามีทั้งสิ้น ๒๙ รูป รูปสลักนูนต่ำรูปสัตว์ขอบสระแก้ว ภายในกรอบรูปทั้งสิ้น ๒๙ กรอบรูป เป็นรูปสัตว์จำนวน ๔๕ ตัว แยกออกเป็นรูปช้าง ๒๔ เชือก รูปสิงห์ ๑๑ ตัว รูปมกร ๘ ตัว รูปหมู ๑ ตัว และรูปกินรี ๑ ตัว นอกจากนี้ยังมีรูปงูพันรูปหม้อน้ำระหว่างช้างสองเชือก รูปมกรหรือหงส์เดินเรียงกันเป็นแถวเหนือกรอบรูป
            จากหลักฐานที่ปรากฏเป็นรูปสลักสัตว์ต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น สันนิษฐานในขั้นต้นว่า อายุของสระแก้วน่าจะอยู่ในช่วงสมัยทวารวดี หรือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑
            จากรูปลักษณะของสระแก้วที่มีรูปสลักที่ผนังของสระ แตกต่างออกไปจากสระน้ำอื่น ๆ  เช่น สระมะกรูด สระมะเขือ สระทองแดง สระขวัญ และสระกระท้อน ที่ไปมีรูปสลักที่ผสนังขอบสระ สระแก้วจึงน่าจะเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยทำพิธีภายในพลับพลาบริเวณที่เป็นแท่นยื่นลงไปในสระ
  โบราณสถานลายพระหัตถ์

            ตัวโบราณสถานตั้งอยู่ห่างจากโบราณสถานพานหินไปทางด้านทิศตะวันออกประมาณ ๑๐๐ เมตร อยู่ที่บ้านโคกขวาง จำบลหนองโพรง อำเภอศรีมหาโพธิ เป็นปรางค์หรือเทวลัยสมัยลพยุรี มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทอดพระเนตรโบราณสถานแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ และได้ทรงลงพระปรมาภิไธยย่อว่า "จปร. ร.ศ.๑๒๗" บนแผ่นหินขนาด สูงหนึ่งเมตร กว้างครึ่งเมตร ยาวหนึ่งเมตร
            ต่อมาได้มีการสร้างมณฑปคอนกรีตเสริมเหล็กรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้างยาวด้านละ ๓.๕ เมตร สูง ๑๑ เมตร ครอบลายพระหัตถ์ไว้ เป็นมณฑปหลังคาทรงปราสาท ประดับช่อฟ้าใบระกา หน้าบันประดับลายปูนปั้นรูปครุฑ และรูปดอกไม้ เปิดซุ้มจระนำไว้สามด้าน ด้านใต้เหลือก่อผนังปิด ทางขึ้นอยู่ทางทิศเหนือ
            โบราณสถานลายพระหัตถ์ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓
  หลุมเมือง

            หลุมเมือง  มีลักษณะเป็นหลุมรูปทรงกระบอก ขุดลงไปบนพื้นศิลาแลงธรรมชาติ พบครั้งแรกในเขตตำบลโคกขวาง อำเภอศรีมหาโพธิ ส่วนหลุมเมืองที่พบใหม่อยู่ในเขตตำบลหนองโพธิ อำเภอศรีมหาโพธิ ห่างจากหลุมเมืองเดิมมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ ๑ กิโลเมตร
                -  จากการขุดแต่งทางโบราณคดี พบหลุมเมืองทั้งสิ้น ๑๑๕ หลุม อยู่เรียงกันเป็นกลุ่มใหญ่สองกลุ่มคือ กลุ่มทางทิศตะวันออกมีอยู่ ๕๐ หลุม  กลุ่มทางทิศตะวันตกมี ๖๕ หลุม ทั้งสองกลุ่มมีหลุมเมืองเรียงกันเป็นแนวตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้ แต่ละหลุมอยู่ห่างกันประมาณ ๑ เมตร กลุ่มหลุมทางทิศตะวันตก จะตื้นกว่าหลุมทางด้านทิศตะวันออก แบ่งออกตามรูปลักษณะได้เป็นสี่แบบคือ
                -  หลุมเมืองที่เป็นหลุมเดียว เป็นหลุมรูปทรงกระบอก เส้นผ่าศูนย์กลางที่ปากหลุมเฉลี่ย ๔๐ เซนติเมตร ความลึกเฉลี่ย ๓๐ เซนติเมตร
                -  หลุมเมืองที่มีหลุมขนาดเล็กซ้อนอยู่ภายใน โดยหลุมเล็กจะขุดต่อลงไปจากก้นหลุมใหญ่ โดยหลุมเล็กจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เซนติเมตร และมีคามลึกเฉลี่ย ๕ - ๑๐ เซนติเมตร
                -  หลุมที่ปรากฏเป็นหลุมคคาบเกี่ยวกันคือ มีลักษณะเหมือนกับแบบแรก หรือแบบที่สอง แต่จะเป็นหลุมแฝดสองหลุมคาบเกี่ยวกัน
                -  หลุมเล็กมีความลึกค่อนข้างมาก ซ้อนอยู่ข้างในคล้ายแบบที่สอง แต่หลุมเล็ที่ซ้อนอยู่ภายในจะลึกมากกว่า มีความลึกประมาณ ๒๐ เซนติเมตร
            ข้อสันนิษฐานเรื่องหลุมเมือง จากเดิมที่ว่าเป็นครกตำข้าว หรือหลุมโขลูกปูน เมื่อได้มีการตรวจสกบทางกายภาพแล้ว ทำให้ข้อสันนิษฐานทั้งสองประการตกไป จึงนำมาสู่ข้อสันนิษฐานที่ว่า เป็นหลุมที่ใช้ในการละเล่นหลุมเมือง ซึ่งยังมีการเล่นอยู่บ้างในบางพื้นที่ เช่น ที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอกบินทร์บุรี แต่ก็ไม่พบร่องรอยว่า จะเป็นหลุมเพื่อใช้ในการนี้
            ข้อสันนิษฐานที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ เป็นหลุมเสาของสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ ส่วนอายุของหลุมเหล่านี้ น่าจะสอดคล้องกับอายุของชุมชนดบราณที่บ้านโคกขวาง และเมืองศรีมโหสถคือ อยู่ในห้วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๘
  โบราณสถานพานหิน

            ตัวโบราณสถานตั้งอยู่ที่บ้านโคกขวาง ตำบลหนองโพรง อำเภอศรีมหาโพธิ มีลักษณะเป็นฐานอาคาร ทำด้วยศิลาแลงทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้างด้านละ ๑๕.๕๐ เมตร มีบันได้ทางขึ้นสี่ด้าน ยื่นออกมาจาตัวอาคารด้านละ ๔.๑๐ เมตร ผนังอาคารด้านบนฐานขั้นสองหนาประมาณ ๑.๑๐ เมตร กลางอาคารมีลักษณะเป็นหลุมลึกลงไป มีก้อนศิลาแลงขนาดใหญ่ อาจเป็นส่วนยอดของอาคาร
            จากการขุดแต่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๘ ได้พบพระกรข้างซ้ายของพระนารายณ์ทรงสังข์ ทำด้วยหินทราย สันนิษฐานว่า มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓ ในสมัยทวารวดี
  บ่อน้ำโบราณหัวซา

            บ่อน้ำโบราณ  ตั้งอยู่ที่บ้านซา ตำบลหัวซา อำเภอศรีมหาโพธิ สันนิษฐานว่า มีอายุร่วมสมัยกับเมืองศรีมโหสถคือ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๙ เป็นบ่อน้ำที่ขุดลงไปในศิลาแลงธรรมชาติ มีสองขนาดคือ บ่อใหญ่รูปกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๖.๕๐ เมตร ขอบบ่อลดระดับเป็นชั้น ๆ บ่อเล็กมีสองบ่อ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓.๔๐ เมตร มีทางระบายน้ำผ่านบริเวณบ่อทั้งสองด้วย
            บ่อน้ำโบราณได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙
  คันดินโบราณเมืองศรีมโหสถ - ชุมชนโบราณโคกขวาง
            คันดินโบราณ หรือที่เรียกว่า ถนนพระรถ เริ่มต้นจากเมืองศรีมโหสถ และได้มีการสำรวจพบแนวคันดินโบราณ ที่เรียกว่า ถนนนางอมร จากแหล่งชุมชนโบราณโคกขวาง ซึ่งอยู่ในเขตติดต่อของสองอำเภอคือ อำเภอศรีมโหสถ กับอำเภอศรีมหาโพธิ มีความยาวประมาณ ๑๕ กิโลเมตร
            คันดินโบราณที่ออกจากชุมชนโคกขวาง ซึ่งปัจจุบันคือ บริเวณบ้านเกาะม่วง จากการสำรวจไม่พบว่า แนวคันดินนี้ออกจากชุมชนโคกขวาง แนวคันดินนี้มีความเฉลี่ยประมาณ ๓๘ เมตร และมีความยาวประมาณ ๓ กิโลเมตร จากคำบอกเล่าของชาวบ้านได้ความว่า เดิมแนวคันดินโบราณนี้จะทอดยาวต่อไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร ไปจนเกือบถึงบริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่า หนองขันหมาก
            ตามตำนานกล่าวว่า พระมโหสถเมืองศรีมโหสถที่บ้านโคกวัด ได้จัดผู้ใญ่สู่ของนางอมรเทวี  ซึ่งอยู่ที่เมืองโคกขวางเพื่ออภิเษกสมรส ฝ่ายนางอรมเทวีมีเงื่อนไขให้ พระมโหสถสร้างถนนจากเมืองศรีมโหสถ ส่วนนางก็จะสร้างถนนจากเมืองของนาง ให้มาเข้าหากัน และให้ถนนทั้งสองนี้ เชื่อมต่อกันพอดีก่อนดาวรุ่งขึ้น เมื่อถนนใกล้จะถึงกัน นางอมรเทวีก็ทำอุบายเอาโคมไฟขึ้นไปแขวนบนยอดไม้ ทำนองว่าดาวรุ่งขึ้นแล้ว ถนนจึงยังไม่เชื่อมกัน และแนวถนนยังไม่ตรงกันอีก พระมโหสถเสียใจมาก เอาขนมขันหมากที่จัดเตรียมไว้นั้นสาดทิ้งเสีย ณ หนองน้ำแห่งหนึ่ง ที่ปัจจุบันเรียกว่า หนองขันหมาก ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างแนวคันดินทั้งสองนั้น
  โบราณสถานบ้านปราสาท

            ตัวโบราณสถานตั้งอยู่ที่บ้านปราสาท ตำบลหาดนางแก้ว อำเภอกบินทร์บุรี ตัวปราสาทตั้งอยู่ในที่ลุ่ม เป็นปราสาทที่สร้างด้วยศิลาแลง ปัจจุบันเหลือแต่ฐาน เป็นปราสาทหลังเดียวขนาดย่อม มีกำแพงกว้างด้านละ ๓๒ เมตร ตัวกำแพงหนา ๑.๐๐ เมตร สูง ๑.๔๐ เมตร ภายในบริเวณกำแพงมีฐานอาคารก่อด้วยศิลาแลงกว้างประมาณ ๙ เมตร ยาวประมาณ ๑๒ เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านกำแพงมีลักษณะคล้ายคูน้ำเก่าล้อมรอบ ตัวปราสาทและบริเวณภายในกำแพงพูนดินสูงขึ้น ทางด้านทิศเหนือมีโคกเนินใหญ่ บริเวณผิวดินพบเศษภาชนะดินเผา เป็นเครื่องถ้วยสมัยลพบุรีกระจายอยู่หนาแหน่น
            ทางด้านทิศตะวันออกห่างออกไปประมาณ ๑๐๐ เมตร มีแนวคันดินโบราณสั้น ๆ ทอดตรงเข้ามายังปราสาท เดิมคงใช้เป็นทางเดิน และอาขกลายเป็นคันกั้นน้ำในฤดูฝน
            จากลักษณะของปราสาท สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘
            โบราณสถานบ้านปราสาท ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |


 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์