www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น
การตั้งถิ่นฐาน
พื้นที่จังหวัดสมุทรสาครจัดอยู่ในบริเวณที่ราบเจ้าพระยาตอนล่าง มีชายฝั่งติดกับอ่าวไทยเป็นที่ราบลุ่มต่ำ
ในอดีตบริเวณนี้เป็นก้นอ่าวไทยมาก่อน เมื่อประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ชายฝั่งทะเลด้านทิศเหนืออยู่ถึงลพบุรี
ด้านทิศตะวันออกถึงสระบุรี นครนายก และปราจีนบุรี ด้านตะวันตกถึงสุพรรณบุรี
นครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี เมืองชายฝั่งดังกล่าวนี้เก่าแก่ถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงยุคทวารวดี
มีเมืองต่าง ๆ เป็นเมืองท่าริมทะเลติดต่อค้าขายทางทะเล
ต่อมาหลายพันปี แผ่นดินที่เคยอยู่ติดทะเลเคยเป็นเมืองท่าก็กลายเป็นเมืองดอน
เมืองที่เกิดใหม่ ที่อยู่ติดทะเลมีความสำคัญขึ้นมาแทน หนึ่งในเมืองดังกล่าวคือ
เมืองท่าจีน
การทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า ชาวจีนผู้มากับเรือสำเภา ซึ่งเป็นชายได้มามีครอบครัวกับหญิงชาวพื้นเมือง
และกลายเป็นประชากรของเมืองท่าจีนไปในที่สุด
นอกจากคนไทยพื้นเมือง และคนจีนดังกล่าวแล้ว ยังมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้แก่
ชาวมอญ เข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอีก เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกเอาครัวมอญในเจ้าพระยามหาโยธา ไปตั้งทำมาหากินอยู่ที่เมืองสาครบุรี
ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ชื่อเมืองท่าจีนพบครั้งแรกในหนังสือกฎหมายตราสามดวง เรื่องพระไอยการตำแหน่งทหารหัวเมือง
มีความว่า พระสมุทรสาคร เมืองท่าจีน เป็นเมืองจัตวาขึ้นกับกระลาโหม เจ้าเมืองถือศักดินา
๓,๐๐๐ ปลัดถือศักดินา ๖๐๐ ยุกระบัดถือศักดินา ๕๐๐ เจ้าเมืองท่าจีน มีบรรดาศักดิ์เป็นพระสมุทรสาคร
เป็นเมืองจัตวาขึ้นกับกระลาโหม
ซึ่งบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ์ ได้กล่าวถึงชื่อท่าจีน ในพระราชพงศาวดารตอนหนึ่งว่า
"ให้บ้านท่าจีน ตั้งเป็นเมืองสาครบุรี ให้เอาบ้านตลาดขวัญตั้งเป็นเมืองนนทบุรี
ให้แบ่งเอาแขขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี เป็นเมืองนครชัยศรี"
ชื่อเมืองท่าจีน ได้ปรากฎในแผนที่ซึ่งชาวฝรั่งเศสได้จัดทำขึ้นเมื่อประมาณ
ปี พ.ศ.๒๒๓๑ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารยณ์ ฯ เป็นต้นมา จากจดหมายเหตุของมองซิเออร์เซเบเรต์
ซึ่งเดินทางมากับคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ของฝรั่งเศส ได้บันทึกเมื่อล่องเรือผ่านท่าจีนไปชายแดนตะวันตก
เดินทางบกไปตะนาวศรี ได้กล่าววถึงเมืองท่าจีน ในปี พ.ศ.๒๒๓๐ ว่า
"เมืองท่าจีนเป็นเมืองใหญ่ไกลจากบางกอก หนทางประมาณ ๘ ไมล์ และเป็นเมืองที่ขึ้นกับราชบุรี
ตั้งอยู่ริมลำน้ำเป็นแม่น้ำที่งดงามน่าดูมาก แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำลึก เรือขนาดมีระวางเพียง
๑๐๐ ตันขึ้นล่องได้สะดวก ในเวลาที่ข้าพเจ้าได้ไปถึงท่าจีน มีเรือสำเภาจีน ขนาด
๑๐๐ ตัน และเรือแขกมลายูจอดอยู่ในแม่น้ำหลายลำ
เจ้าพนักงานได้จัดให้ข้าพเจ้าขึ้นพักบนเรือน ซึ่งได้ปลูกขึ้นโดยเฉพาะสำหรับข้าพเจ้า
.....ที่เมืองนี้มีป้อมเล็ก ๆ อยู่หนึ่งป้อม ก่อด้วยอิฐ กำแพงป้อมนั้นสูงประมาณ
๑๐ ฟิต แต่หามีคูหรือชานป้อมไม่มี แต่หอรบซึ่งปืนขนาดเล็ก และปืนทองเหลืองด้วย
เมื่อข้าพเจ้ามาถึงปืนเหล่านี้ก็ได้ยิงรับข้าพเจ้า ในที่นี้ลำน้ำสำหรับรับประทานเป็นน้ำดีมาก
จะเห็นได้ว่าท่าจีนเป็นที่เรือสำเภาจีนและเรือแขกมลายูเดินทางเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า
โดยนำสินค้าจากต่างประเทศเข้าและนำออกสินค้าป่า สินค้าเกษตรในบางช่วงระยะจะมีสินค้าอุตสาหกรรม
(เครื่องดินเผา) ส่งออกด้วย ปัจจุบันได้ขุดพบซากเรือโบราณหลายแหล่ง
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ ได้ขุดพบซากเรือสำเภาขนาดกว้าง ประมาณ ๔ เมตร ยาง ๒๒ เมตร
ที่ตำบลบางโทวัด ซึ่งอยู่ชายฝั่งทะเลเลยตำบลท่าจีนไปทางตะวันตก นักโบราณคดีให้ความเห็นว่าเป็นเรือสำเภาสมัยอยุธยา
มีอายุประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ ปี มาแล้ว และมีเส้นทางค้าสำเภากับเมืองสุพรรณบุรี
ต้องผ่านท่าจีน ที่ปรากฎในบันทึกนักเดินทางชาวจีนว่าซินเหมินไล้
- ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ)
เสด็จประพาสปากน้ำเมืองสาครบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๒๔๗ ด้วยเรือพระที่นั่งเอกชัย
ล่องลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาถึงบางกอก พ้นคลองลัดบางกอก เข้าคลองบางกอกใหญ่
(แม่น้ำเจ้าพระยาเดิม) ออกคลองด่าน คลองสนามชัยถึงคลองโคกขาม พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
"ครั้นเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขามและคลองที่นั่นคดเคี้ยวนัก พันท้ายนรสิงห์
ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งคัดแก้มิทัน และศีรษะเรือพระที่นั่ง โดนกระทบกิ่งไม้อันใหญ่เข้าก็หักลงในน้ำ
พันท้ายนรสิงห์เห็นดังนั้นก็ตกใจจึงโดดขึ้นเสียจากเรือพระที่นั่งขึ้นอยู่บนฝั่ง
แล้วกราบทูลว่า "พระราชอาญาเป็นล้นเกล้า ฯ ขอจงพระกรุณาโปรดให้ทำที่นี้สูงประมาณเพียงตา
แล้วจงตัดเอาศีรษะข้าพระพุทธเจ้ากับศีรษะเรือพระที่นั่ง ซึ่งหักตกลงน้ำไปนั้นขึ้นบวงสรวงไว้ด้วยกันที่นี้"
สมเด็จพระเจ้าเสือมีพระราชดำริว่า คลองโคกขามนั้นคดเคี้ยวนักคนทั้งปวงจะเดินเรือเข้าออกยาก
ต้องอ้อมวงไปไกลกันดารนัก ควรให้ขุดคลองลัดเสียให้ตรงจึงจะซอย.... แล้วมีพระราชโองการตรัสสั่งสมุหนายกให้เกณฑ์เลกหัวเมืองใด้
๓๐,๐๐๐ ไปขุดคลองโคกขาม และให้ขุดลัดให้ตรงคตลอดไป
โดยลึกหกศอก ปากคลองกว้างแปดวา พื้นคลองกว้างห้าวา และให้พระราชสงครามเป็นแม่กองคุมพลหัวเมืองทั้งปวงขุดคลองจงแล้ววสำเร็จดุจพระราชกำหนด
แม้จะเกณฑ์กำลังคนถึง ๓๐,๐๐๐ คน จากเมืองนนทบุรี เมืองราชบุรี และเมืองสมุทรปราการ
เริ่มขุดในปี พ.ศ๒๒๔๘ จนสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ ในปี พ.ศ.๒๒๕๑ ก็ยังงไม่เสร็จ
การจึงค้างมา
- ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ เมื่อปี พ.ศ.๒๒๖๔ เสด็จประพาสปากอ่าวสาครบุรี
เห็นคลองนั้นขุดยังไม่แล้วเสร็จค้างอยู่ จึงตรัสสั่งให้พระราชสงครามเป็นนายกอง
ให้เกณฑ์คนหัวเมืองปากใต้แปดหัวเมือง ได้คนสามหมื่นเศษสี่หมื่นไปขุดคลองมหาไชย
จึงให้ฝรั่งเศสส่องกล้องแก้ว ดูให้ตรงปากคลอง ปักกรุยเป็นสำคัญทางไกล ๓๔๐
เส้น คลองมหาชัยขุดเชื่อมคลองด่านขุดตรงเป็นแนว ตั้งแต่หน้าวัดแสมดำ เขตบางขุนเทียน
ไปบรรจบแม่น้ำท่าจีน ที่บริเวณหน้าศาลหลักเมืองในปัจจุบัน ใช้เวลาขุดเพียงสองเดือนเศษก็แล้วเสร็จ
- ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
คลองมหาชัยและเมืองสาครบุรี เป็นเส้นทางเดินทัพ คราวรบพม่าที่บางกุ้ง ในปี
พ.ศ.๒๓๑๐ ไทยได้ยกกำลังจากกรุงธนบุรี ไปโดยทางชลมารค หยุดประทับ ณ เมืองสาครบุรี
คอยน้ำขึ้นแล้วเสด็จไปถึงด่านมั่นเมืองราชบุรี
- ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ครั้งสงครามเก้าทัพ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๙ พระองค์ได้ทรงยกทัพหลวงจัดขบวนเรือ ผ่านคลองมหาชัย
และผ่านสาครบุรี ไปยังคลองสุนัขไน ไปแม่กลอง
เมื่อบ้านเมืองสงบได้มีการแบ่งการปกครองควบคุมหัวเมือง ให้สมุทรสาครขึ้นกับกรมท่า
- ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
มีศึกพม่ามาตีหัววเมืองปักษ์ใต้ พระองค์ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์
เสด็จไไปราชการสงคราม การเดินทัพได้ผ่านเขตเมืองสมุทรสาคร เริ่มตั้งแต่โคกขาม
มหาชัย ท่าจีน บ้านบ่อ นาขวาง สามสิบสองคุ้ง คลองย่านซื่อ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี
(ทองจีน) เป็นแม่งานสร้างป้อมที่ปากคลองมหาชัย เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๑ ชื่อป้อมวิเชียรโชฎก
เป็นค่าแรงจีนถือปูน เงิน ๔๗ ชั่ง ๑๕ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ๑ เฟื้อง
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๖ สังฆราชปาลเลกัวซ์ สังฆนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิก เจ้าคณะเขตประจำประเทศสยามได้กล่าวถึงป้อมและสภาพของเมืองสมุทรสาครว่า
ได้มาถึงลำคลองใหญ่แห่งหนึ่งเป็นคลองขุด มีแนวตรงนำไปสู่มหาชัยและท่าจีน มหาชัยเป็นเมืองเล็ก
ๆ มีป้อมตั้งอยู่ที่ปากคลองกับแม่น้ำบรรจบกัน ท่าจีนเป็นเมืองสวยงาม มีพลเมือง
๕,๐๐๐ คน ส่วนมากเป็นชาวประมงและพ่อค้า มีสำเภาจีนไปมาติดต่ออยู่เสมอมิได้ขาด
- ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้โปรดเกล้า ฯ ให้แปลงนามเมืองจากสาครบุรีเป็นสมุทรสาคร และโปรดเกล้า ฯ ให้ขุดคลองภาษีเจริญ
ในปี พ.ศ.๒๔๐๙ คลลองดำเนินสะดวก ในปี พ.ศ.๒๔๑๑ โดยให้พระภาษีเจริญ ซึ่งเป็นเจ้าภาษีฝิ่นเอาเงินภาษีฝิ่นขุดคลอง
ตั้งแต่คลองบางกอกใหญ่ริมวัดปากน้ำไปตกแม่น้ำเมืองนครไชยศรี ยาว ๒๖๐ เส้น
กว้าง ๗ วา ลึก ๗ ศอก เป็นค่าจ้างขุดคลองและตอไม้รวมเป็นเงิน ๑,๔๐๐ ชั่ง
สำหรับคลองดำเนินสะดวกนั้น ให้สมุหกลาโหมไปเปิดคลองขุดใหม่ที่บางนกแขวก โดยขุดตั้งแต่แม่น้ำบางยาง
เมืองนครไชยศรี ฝั่งตะวันออกไปตกคลองบางนกแขวก แขวงแมืองราชบุรี ยาว ๘๔๐ เส้น
กว้าง ๖ วา ลึก ๖ ศอก รวมค่าจ้างขุด ค่าตอไม้ ๑,๔๐๐ ชั่ง คลองดำเนินสะดวกผ่านอำเภอบ้านแพ้ว
เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์
กบฎจีนตั้วเฮีย
ชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ได้รวมตัวกันก่อตั้งเป็นสมาคมลับ
เพื่อรักษาผลประโยชน์ในหมู่คณะของตน การรวมกลุ่มจะรวมกันตามภาษาท้องถิ่นของตน
เช่นกลุ่มภาษาแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน และกวางตุ้ง ไหลหลำ ฯลฯ แต่ละสมาคมจะดำเนินการโดยเอกเทศ
ยกเว้นกรณีที่เป็นจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน สมาคมลับของจีนมีชื่อเรียกตามจดหมายเหตุของไทยว่า
ตั้วเฮีย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนเรียกว่า อั้งยี่
ซึ่งแปลว่า
หนังสือแดง และเป็นชื่อเรียกของสมาคมลับของชาวจีนกลุ่มหนึ่ง
จีนตั้วเฮียเหล่านี้เป็นแรงงานสำคัญในโรงงานต่าง ๆ เช่น โรงสี โรงเลื่อย โรงน้ำตาล
ในเขตหัวเมืองชายทะเลตะวันออกลุ่มแม่น้ำท่าจีน และลุ่มแม่น้ำแม่กลอง บางครั้งสมาคมลับของชาวจีนเหล่านี้เกิดวิวาทกันใช้กำลังต่อสู้กันมีความรุนแรง
จนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องเข้าไปปราบปราม นอกจากนั้นสมาคมลับเหล่านี้ยังลักลอบประกอบอาชีพทุจริตผิดกฎหมาย
เช่นค้าฝิ่นเถื่อน สุราเถื่อน ลักตัวไปเรียกค่าไถ่เป็นโจรสลัด
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๐ เกิดกบฎจีนตั้วเฮียขึ้นที่เมืองสมุทรสาคร เรื่องเดิมมีว่า
พระยาพหลพลเทพ ใช้ให้จมื่นทิพเสนา (เอี่ยม) ออกไปจับฝิ่นอ้ายจีนเผี่ยวที่ลัดกรูด
แขวงเมืองสาครบุรี จีนเผี่ยวต่อสู้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้า
ฯ ให้ พระยาพระคลังจัดข้าหลวงออกไปจับอ้ายจีนเผี่ยว เจ้าพระยาพระคลังจัดให้จมื่นราชมาตย์คุมคนออกไป
จมื่นราชมาตย์กราบเรียนว่า เหตุเกิดจากพระยามหาเทพก็ควรให้พระยามหาเทพไปเอง
พระยามหาเทพก็รับอาสาออกไป และขอพระยาสวัสดิวารีออกไปด้วย ยกไปครั้งนั้นประมาณ
๓๐๐ คน แล้วเกณฑ์คนเมืองสาครบุรี และราษฎรชาวบ้านไปช่วยอีกได้คนประมาณ ๕๐๐
- ๖๐๐ คน พระยามหาเทพถูกปืนจากฝ่ายจีนเผี่ยวก็พากันกลับหมด เมื่อมาถึงเมืองสาครบุรีไม่ได้สั่งให้ผู้ใดอยู่รักษาเมือง
กลับเข้ากรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้า ฯ
ให้เจ้าพระยาพระคลังคุมตำรวจในพระยามหาเทพ
และกองรามัญ ออกไปตั้งทัพอยู่ที่เมืองสาครบุรี
ให้เรือถือหนังสือไปถึงผู้รักษาเมืองสมุทรสงคราม เมืองราชบุรี ให้ตีสกัดลงมา
อ้ายจีนเผี่ยวไม่คิดสู้รบหนีไปบ้านโพธิหักจะไปออกด้านเจ้าคว่าว แดนอังกฤษ
พระยาสมุทรสงครามยกล่วงมาพบอ้ายจีนเผี่ยวที่บ้านโพธิหัก ได้สู้รบกัน ฆ่าพวกอ้ายจีนเผี่ยวตายประมาณ
๑๐๐ คน ที่เหลือตายก็หนีไปทางบางนกแขวก แขวงเมืองราชบุรี พวกลาว เขมร กรมการเมืองราชบุรี
ก็ไล่ฆ่าฟันพวกอ้ายจีนเผี่ยวตายสิ้น ประมาณ ๓๐๐ คน จับได้อ้ายจีนเผี่ยวตั้วเฮีย
อ้ายจีนกายี่เฮีย นำเข้ามากรุงเทพ ฯ
ต่อมารัฐบาลได้ใช้มาตรการสควบคุมชาวจีนเหล่านี้โดยตั้งเป็น กรมการจีน
ทำงานในบังคับบัญชาของเจ้าเมือง ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๐ ได้มีการตราพระราชบัญญัติอั้งยี่ขึ้น
ห้ามชาวจีนตั้งสมาคมลับอีก
ท่าฉลอมสุขาภิบาลแห่งแรกในภูมิภาค
ท่าฉลอมเป็นตำบลหนึ่งของจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งอยู่ปากอ่าวที่แม่น้ำท่าจีนไหลลงสู่ทะเล
ในอดีตท่าฉลอมเป็นตำบลที่มีความเจริญที่สุดของจังหวัดสมุทรสาคร ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีน
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๓ ท่าฉลอมแบ่งการปกครองเป็นสามหมู่คือ หัวบ้าน กลางตลาด และต่อจากกลางตลาด
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จผ่านสมุทรสาคร
ทรงได้เห็นความสกปรกของตลาดท่าจีนท่าฉลอม แล้วทรงนำไปปรารภในที่ประชุมเสนาบดี
เปรียบเทียบเมืองนครเขื่อนขัณฑ์ ว่า สกปรกเหมือนกับตลาดท่าจีน
จึงได้มีการจัดทำถนนตั้งแต่หัวบ้านจรดท้ายบ้าน ยาว ๑๑ เส้น ๑๔ วา ๒ ศอก โดยปูอิฐทั้งหมด
แล้วได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดแล้วเสนอนโยบายก้าวหน้า
เพื่อรักษาสภาพความสะอาดเรียบร้อยให้คงอยู่ตลอดไป
ในโอกาสนี้ได้ประกาศพระบรมราชโองการให้จัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม มีผลบังคับในปี
พ.ศ.๒๔๔๙ การบริหารสุขาภิบาลท่าฉลอมนั้น ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกที่แต่งตั้งอีกรวม ๗ คน ผู้ว่าราชการเมืองทำหน้าที่ตรวจตรา
และให้ข้อแนะนำตามที่เห็นสมควร
|