www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
วัดเวียง
วัดเวียง
อยู่ในเขตตำบลบ้านลาด อำเภอไชยา ในเมืองโบราณไชยา ซึ่งเป็นเมืองเก่าตั้งอยู่บนแนวสันทรายขนาดใหญ่
ยาวประมาณ ๓,๐๐๐ เมตร กว้างประมาณ ๕๐๐ เมตร บริเวณกลางเมืองมีศาสนสถานขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ในระยะห่างเท่า
ๆ กัน ได้แก่ วัดเวียง วัดหลงและวัดแก้ว ตามลำดับ
บริเวณที่ตั้งวัดเวียงเชื่อกันว่า น่าจะเป็นศูนย์กลางของเมือง หรือเป็นวังที่ประทับของกษัตริย์ศรีวิชัย
โดยมีวัดเวียงเป็นวัดประจำเมือง ในวัดเวียงมีโบราณวัตถุที่สำคัญคือ พระพุทธรูปปางนาคปรกสำริดปางมารวิชัยซึ่งมีจารึกที่ฐาน
และพระพุทธรูปศิลาทรายแดงศิลปะสมัยอยุธยา
![](suratahani51.jpg)
พระพุทธรูปนาคปรกสำริด
สูง ๑๖๐ เซนติเมตร มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลักษณะทั่วไปคล้ายพระพุทธรูปนาคปรกศิลปะเขมร
แต่มีลักษณะท้องถิ่นอยู่มาก พระพุทธรูปแสดงปางมารวิชัย ต่างกับพระพุทธรูปนาคปรกศิลปะเขมรที่มักแสดงปางสมาธิ
พระวรกายผอม พระพักตร์สี่เหลี่ยม พระขนงโค้งติดต่อกัน พระเนตรเหลือบมองลงต่ำ
พระโอษฐ์หนาอมยิ้ม เม็ดพระศกเป็นก้นหอยขนาดใหญ่ อุษณียะทรงกลมเรียบมีใบโพธิ์อยู่ด้านหน้า
ประทับบนฐานบัวประดับด้วยลายประจำยามทางด้านหน้าและด้านข้าง อยู่บนขนดนาคสามชั้น
นาคมีเจ็ดเศียร ที่ฐานพระพุทธรูปมีจารึกอักษรขอม เป็นภาษาเขมร ระบุปี พ.ศ.๑๗๒๖
กล่าวถึงกษัตริย์พระนามว่า กมรเตงอัญมหาราช ฯ มีพระบรมราชโองการให้มหาเสนาบดีคลาไน
เจ้าเมืองครหิ สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมา
พระพุทธรูปศิลาทรายแดง
เดิมประดิษฐานอยู่บนวิหาร มีทั้งหมดเจ็ดองค์ด้วยกัน ศิลปะช่างสมัยอยุธยา สกุลช่างไชยา
วัดหลง
![](suratahani52.jpg)
วัดหลง อยู่ในเมืองโบราณไชยา ระหว่างวัดเวียงกับวัดแก้ว เป็นวัดร้างมีซากอาคารขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง เหลืออยู่เพียงส่วนฐานเป็นฐานอาคารที่มีรูปแบบแผนผังทรงกากบาท คล้ายคลึงกับโบราณสถานที่วัดแก้ว
สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ ศาสนสถานแห่งนี้ถูกสร้างทับอีกครั้งเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๘ - ๒๒
ชื่อวัดหลงเข้าใจว่า น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าวัดหลวง รูปแบบศิลปกรรมอาคารศาสนสถาน มีผังอยู่ในรูปกากบาท
มีมุขยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน โครงสร้างก่ออิฐไม่สอปูน มีขนาดใหญ่กว่าวัดแก้ว
เป็นอาคารจตุรมุข มุขด้านทิศตะวันออกมีช่องทางเดินเข้าสู่ห้องโถงกลางภายในอาคาร
ฐานชั้นล่างสุดเป็นฐานเขียงรองรับฐานบัวลูกแก้วสองชั้น ส่วนบนของฐานบัวลูกแก้วชั้นแรกมีลักษณะเป็นฐานไพที
หรือฐานทักษิณ สามารถเดินรอบองค์เรือนธาตุได้ ฐานบัวลูกแก้วชั้นบนมีลักษณะเป็นบัวตีนธาตุ
(เป็นส่วนล่างของผนังอาคารเรือนธาตุ) ส่วนนี้เป็นอาคารดั้งเดิมที่มีมาก่อน
สันนิษฐานว่า มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอาคารใหม่
มีการนำดินทรายมาถมบนฐานรากของศาสนสถานเดิม แล้วก่อกำแพงสี่เหลี่ยมเป็นกรอบล้อมรอบฐานอาคารไว้ทั้งหมด
กลบทับฐานบัวลูกแก้วชั้นล่าง กลายเป็นลานทักษิณขนาดใหญ่ และได้ก่อสร้างศาสนสถานใหม่เพิ่มเติมเข้าไปในส่วนบนสุด
ศาสนสถานยุคหลังน่าจะสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๒๑ ได้พบพระพิมพ์ดินดิบ
อิทธิผลศิลปะทวาราวดี และขอมปนกัน ลักษณะเป็นแผ่นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว มีพระพุทธรูป ๑๐ องค์ ประทับอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว
องค์ประธานประทับยืนในปางแสดงธรรม ทั้งสองข้างพระประธานมีพระสาวกยืนประนมมือ
ด้านข้างถัดมาเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งอีก ๒ องค์ แถวล่างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ๕ องค์
ประทับในซุ้มเรือนแก้ว
พบพระพิมพ์ดินดิบปางสมาธิและสถูปดินดิบอยู่ที่พื้นตอนล่างข้างตัวอาคารศาสนสถาน
ลักษณะรูปแบบศิลปะศรีวิชัย
วัดแก้วหรือวัดรัตนาราม
![](suratahani53.jpg)
วัดแก้วตั้งอยู่ในเมืองโบราณไชยา เป็นวัดโบราณคู่กับวัดหลง โบราณสถานที่สำคัญได้แก่ เจดีย์หรือปราสาทก่ออิฐไม่สอปูน
สถาปัตยกรรมศิลปะศรีวิชัย ซึ่งยังเหลืออยู่ครึ่งองค์ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นโบราณสถานที่เก่าที่สุดที่พบในเมืองไชยา
ศาสนสถานแห่งนี้เป็นประโยชน์แก่การศึกษา ค้นคว้าทางสถาปัตยกรรม ในสมัยศรีวิชัยมาก
โบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญได้แก่
![](suratahani54.jpg)
เจดีย์
เป็นเจดีย์ทรงปราสาท โครงสร้างก่ออิฐไม่สอปูน แผนผังเป็นรูปกากบาท ประกอบด้วยฐานเขียงสี่เหลี่ยม
กึ่งกลางฐานเขียงค่อนไปทางด้านบนเว้นเป็นร่อง และก่ออิฐ เว้นช่อง มีบันไดทางขึ้นทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
องค์เรือนธาตุเป็นอาคารจตุรมุข ระหว่างมุขของมุขต่อด้วยมุขของเรือนธาตุ ออกเก็จเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งมุม
บัวตีนธาตุเป็นบัวลูกแก้ว
จากลักษณะแผนผังรูปกากบาท ประกอบด้วยเรือนธาตุและมุขทั้งสี่ด้าน ลักษณะคล้ายกับจันทิกาละสันในศิลปชวาภาคกลาง
อายุจากจารึกที่พบคือ พ.ศ.๑๓๒๑ แต่ลักษณะการตกแต่งภายนอกและรูปทรงของอาคาร
มีความคล้ายคลึงกับปราสาทในศิลปะจาม ซึ่งมีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕
อาจกล่าวได้ว่า โบราณสถานวัดแก้ว เป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นของไชยาเอง ที่ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปกรรมจากอินเดียและเพื่อนบ้าน
มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕
![](suratahani55.jpg)
พระพุทธเจ้าอักโษรายะ
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยศิลาทรายสีแดง พระเศียรชำรุดหักหายไป พบที่เจดีย์วัดแก้ว
ในซุ้มที่ผนังด้านทิศใต้ ของมุขด้านตะวันออก เป็นพระธยานิพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
ในจำนวน ๕ องค์ของพระพุทธศาสนาลัทธิวัชรยาน ประทับอยู่ทางเบื้องทิศตะวันออก
ที่ฐานพระพุทธรูปสลักเป็นรูปสิงห์ ด้านข้างฐานเท้าสัตว์ และที่เบื้องหน้าของฐานมีวัชระประดับอยู่
งานศิลปกรรมชิ้นนี้เป็นแบบศิลปะจาม มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕
พระพุทธรูปที่สำคัญ ได้แก่ พระพุทธรูปศิลาปางแสดงธรรม อยู่ในสภาพชำรุด พระเศียรและพระกรทั้งสองข้าง
ขาดหายไปและปลายพระบาทขาด ทรงจีวรห่อคลุมบางแนบพระวรกาย ชายจีวรด้านหน้าหลังลงมาเป็นวงโค้ง
ข้อพระกรทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอกัน น่าจะทำปางแสดงธรรม อิทธิพลศิลปะทวารวดี
มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓ ส่วนพระพุทธรูปองค์อื่น ๆ ได้แก่ พระพุทธรูปหินทรายแดง
ศิลปะอยุธยา สกุลช่างไชยา
วัดจำปา
จัดจำปา ตั้งอยู่ที่บ้านหัวนอน ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จาการเล่าสืบกันมาได้ความว่า
สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ๓๐๐ ปีมาแล้ว โดยได้ไปเอาศิลาจากเขาโพมา ทำเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
๒๑ องค์ พระอรหันต์ ๙ องค์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๙ แล้วลงรักปิดทอง นำไปไว้ที่ถ้ำศิลาเตียบ
วัดจำปา เป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองกว่าวัดอื่น ๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ อาคารโบราณสถานที่สำคัญคือ วิหาร ซึ่งเป็นอาคารโครงไม้ทั้งหมด
ยกเว้นผนังและฐานก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๕ เมตร หลังคาซ้อนกันเป็นสามชั้น
มุมด้วยกระเบื้องกาบกล้วย เชิงชายเป็นรูปกนกลายไทย ลายดอกไม้และเทพพนม หน้าบันทำยื่นเป็นมุขประเจิดทั้งด้านหน้า และด้านหลังแกะสลักลายไม้เป็นลวดลายก้านขดหางโต และลายพุ่มข้าวบิณฑ์สวยงาม ตัววิหารสร้างด้วยไม้ล้วนไม่มีข้างฝา
บานประตูแกะสลักไม้รูปเทวดายืนอยู่ในซุ้ม มีรูปยักษ์แบกอยู่ด้านล่างภายในวิหาร
มีพระพุทธรูปหินทรายสีแดงขนาดต่าง ๆ กว่า ๑๐ องค์
วัดป่าลิไลยก์
![](suratahani57.jpg)
วัดป่าลิไลยก์ ตั้งอยู่ในเขตตำบลทุ่ง อำเภอไชยา ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขั้นเมื่อใด
พิจารณาจากรูปแบบจากศิลปกรรมของใบพัทธสีมาหินทรายแดงแกะสลัก สันนิษฐานว่า
น่าจะเป็นวัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โบราณวัตถุที่สำคัญได้แก่ ใบเสมาหินทรายแกะสลักลวดลายนูนสูง
จำนวน ๘ ใบ ขนาดสูงประมาณ ๗๕ เซนติเมตร กว้าง ๓๗ เซนติเมตร หนา ๑๒.๕๐ เซนติเมตร
ตั้งอยู่บนฐานเสมาก่ออิฐถือปูน ลักษณะเป็นฐานสิงห์ย่อมุมไม้สิบสอง เหนือฐานสิงห์ทำเป็นฐานบัวจงกล
หรือบัวแวง รองรับใบเสมา เป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร ส่วนใบเสมาแกะสลักเป็นรูปดอกไม้เทศคล้ายดอกพุดตาน
รูปใบไม้และดอกไม้สีกลีบ หรือลายประจำยาม ตามร่องประดับกระจกสีต่าง ๆ บางแผ่นสลักรูปสัตว์
สอดแทรกอยู่ภายในลายดอกไม้ เช่น รูปลิง ลักษณะการแกะสลักแสดงถึงฝีมือช่างชั้นสูง
รายละเอียดของดอกไม้ดูลายเด่น ชูช่อ มีชีวิตจิตใจ รูปแบบของศิลปกรรมน่าจะเป็นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
คล้ายกับลวดลายปูนปั้นสายพันธุ์พฤกษา ที่นิยมปั้นประดับอุโบสถ ในสมัยรัตนโกสิทรตอนต้น
ส่วนอุโบสถเดิมเป็นไม้ ต่อมาได้รับการปฎิสังขรณ์เป็นอาคารก่ออิฐ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป ๔ องค์ อยู่บนฐานชุกชี
พระพุทธรูปทั้งหมดถูกซ่อมแซมจนไม่ทราบเค้าเดิม
วัดสมุหนิมิต
![](suratahani58.jpg)
วัดสมุหนิมิตชาวบ้านเรียกว่า วัดล่าง
อยู่ในตำบลพุมเรียง อำภอไชยา เป็นวัดใหญ่เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน ตามข้อความในศิลาจารึกที่ฝังไว้กับผนังในอุโบสถมีความว่า
วัดสมุหนิมิต เดิมชื่อวัดรอ
เจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีว่าที่กรมท่าพระกลาโหม ซึ่งเป็นต้นตระกูลของพระอภิรมยสินารักษ์
บุนนาค ออกมาสักเลกหัวเมืองปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๒ เห็นวัดรอรกร้างจึงได้สร้างขึ้นใหม่
และสร้างเสร็จภายในเวลาเพียง ๔ เดือน ขนานนามใหม่ว่า วัดสมุหนิมิต
โบราณสถานที่สำคัญคือ อุโบสถ เป็นอุโบสถก่ออิฐถือปูนศิลปสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ด้านหน้ามีบันไดขึ้นสองทาง ฐานอุโบสถมีลักษณะเป็นฐานไพที เดินรอบได้ มีเสาเหลี่ยมเรียงรายอุโบสถ
รองรับปีกนกหลังคา หน้าบันตกแต่งด้วยลายปูนปั้นรูปดอกกไม้ประดับกระจกสี หน้าต่างและบานประตูเขียนลายลงรักปิดทองสวยงาม
|