www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น
การแต่งกาย
การแต่งกายของชายไต
กางเกงเป็นกางเกางขาก๊วย เป้าและขาเหมือนกางเกงจีน เอวกว้าง ใช้พับทบเข้ามาให้พอดีกับเอว
เรียกว่า ก๋นไต คาดเข็มขัด
เสื้อ ตัวในใช้เสื้อเชิร์ต
มีเสื้อกล้ามรองชั้นในอีกชั้นหนึ่ง เสื้อตัวนอกใช้เสื้อคอกลมแขนยาว ไหล่เลยลงมา
ต่อตะเข็บกึ่งกลางแขน ผ่าหน้า ติดกระดุมขอดห้าคู่ ด้านหนึ่งใช้ผ้าขอดเป็นหัวกระดุม
ลักษณะหัวแมลงวัน อีกด้านหนึ่งเป็นห่วงเย็บติดขนานกัน เหลือห่วงตรงหัวผ้าเป็นหูกระดุม
แล้วนำกระดุมมาสอดเข้ากับหูกระดุม มีชายผ้าเป็นหางเย็บทอดต่อจากหัวและหูกระดุมทั้งสองข้างยาวประมาณ
๒ นิ้ว ตัวยาวเท่าสะโพกเรียกว่า เส้อแต๊กปุ่ง
มักใช้ในโอกาสที่เป็นงานพิธี
ผ้าเคนโห
เป็นผ้าโผกศีรษะ เดิมใช้ผ้าทอ ต่อมาหายากจึงใช้ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าขาวม้าเป็นผ้าโพกศีรษะแทน
ทรงผม ตั้งแต่แรกเกิด
ถึงอายุ ๑ - ๘ เดือน จะมีพิธีมงคลครั้งแรกเรียกว่า ทนเหลิม มีพิธีทางศาสนา
โดยเชิญผู้เฒ่าผู้แก่มาผูกข้อมือให้ทารก อาบน้ำที่แช่ด้วยทองคำ เพชร นิล จินดา
เรียกว่า อาบเหลิม จะโกนผมเป็นครั้งแรกเหลือผมไว้เฉพาะตรงกระหม่อม เมื่อโตขึ้นก็จะโกนเกลี้ยงศีรษะหรือไว้ผมทรงนักเรียน
ต่อมาก็ไว้ผมทรงต่าง ๆ ตามที่ชอบ ชายสูงอายุบางคนนิยมเกล้ามวยไว้ตรงกลางศีรษะ
แล้วโพกด้วยผ้าโพกศีรษะ เมื่อไปงานพิธีใด ๆ ก็จะปลดผ้าโพกศีรษะลงมาพาดไหล่ ถือว่าเป็นการแสดงความสุภาพอ่อนน้อมต่อสิ่งที่ควรเคารพบูชา
เครื่องประดับ
ผู้มีฐานะส่วนใหญ่จะสวมแหวนทองคำแกะสลักลาย ใช้ทับทิมสีเป็นหัวแหวนเรียกว่า มงโดยปานกว่าง
และเป็นทรัพย์มรดกตกทอดถึงลูกหลานด้วย ในอดีตผู้ชายไตชอบพกมีดอุ่นงีน คือมีดเหน็บด้ามงา
ประดับลายเครื่องเงิน มีฝักหุ้มด้วยลายฉลุเงินสวยงาม หรือสายพายดาบที่ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว
รองเท้า ใช้รองเท้าสานคีบ
(รองเท้าแตะ) หรือรองเท้าหุ้มส้นผ้าใบ หรือหนังตามฐานะเศรษฐกิจของแต่ละบุคคล
- การแต่งกายของสตรีไต
ตั้งแต่เป็นทารกแรกเกิด ผู้เป็นแม่จะห่อหุ้มตัวทารกด้วยผ้าอ้อม ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเป็นเวลาสามเดือน
แล้วจึงใส่เสื้อและพันผ้าอ้อมในส่วนล่างของร่างกาย
เมื่อพ้นวัยนุ่งผ้าอ้อมแล้ว แม่จะตัดกระโปรงชุดให้ลูกหญิงเรียกว่า เส้อซุบ
สมัยก่อนนิยมตัดตัวใหญ่ ๆ หรือใส่เสื้อผ้าต่อกันไปในหมู่พี่น้อง เพื่อเป็นการประหยัด
เมื่อโตพอจะนุ่งผ้าซิ่นได้แล้ว แม่จะสอนให้นุ่งผ้าซิ่นคาดเข็มขัด เสื้อชั้นในจะปักลูกไม้ที่ด้านหลังยกทรงเล็กน้อย
ตีเกล็ดถี่ ๆ ไว้บนทรง บ่าใหญ่ประมาณสองนิ้วมือ เป็นเสื้อผ้าหน้า ใช้เข็มกลัดหรือติดกระดุมเรียกว่า
เส้อปิดจ่า สวมเสื้อไตหน้าต่อทับด้านนอก ผู้ใหญ่ใช้เสื้อไตหน้าแว๊ด
แบบเสื้อชาวจีนคอกลม แต่ชายเสื้อสั้นแค่เอว มีกระดุมขอสอดกับหูกระดุมอีกด้านหนึ่ง
เช่นเดียวกับเสื้อชาย หรือใช้กระดุมชุดจากพลอยพม่า ถ้าใช้กระดุมชุดพลอยกระดุมผ้าที่เย็บติดกับตัวเสื้อ
จะเย็บเป็นหูทั้งสองข้าง ใช้ห่วงของกระดุมพลอยสอดคล้องกับหูกระดุมผ้า แล้วใช้เม็ดพลอยสอดห่วงผ้าอีกข้างหนึ่ง
เพื่อสอดรั้งให้ติดกันไว้สองข้าง
ผ้าซิ่น
จะใช้ผ้าที่มีลวดลายเป็นส่วนใหญ่ เย็บตะเข็บเดียวเป็นผ้าถุงธรรมดา สมัยก่อนจะใช้ผ้าเนื้อนิ่ม
สีดำต่อตรงเอวหัวซิ่น เวลานุ่งผ้าจะเหน็บชายหัวซิ่นได้แน่น ใช้เข็มขัดเงินคาดทับผ้าซิ่นแต่ละแบบ
จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไปคือ ซิ่นก้อง
เป็นซิ่นทอยกลายหรือดอก ซิ่นส่วยตอง
เป็นผ้าไหมทำมาจากเมืองสวยตองใกล้เมืองมัณฑะเล ซิ่นปะล่อง
เป็นไหมลายขวาง ซิ่นหลาย
เป็นผ้าไหมเนื้อดี ซิ่นฮายย่า คล้ายผ้ามัดหมี่ แต่เป็นลายเล็ก ๆ ซิ่นถุงจ้าบ
เป็นการเอาเศษผ้าเหลือจากซิ่นผ้าถุงอื่น ๆ นำมาต่อกันเป็นซิ่นหลายสี หลายลาย
หลายตะเข็บ ซิ่นปาเต๊ะ
นิยมใช้กันทั่วไป
ทรงผม แบ่งออกเป็นหกทรง
ตามวัยคือ
- ทรงปกกระหม่อม
คือ โกนผมรอบศีรษะ เหลือเส้นผมกระจุกเดียว เป็นทรงผมเด็กทารก
- ทรงหน้าม้า
แบบเดียวกับทรงนักเรียน ด้านในโกนผมออก เหลือไว้ตรงกลางศีรษะ รัศมีประมาณ
๔ นิ้ว ปล่อยยาวสลงมาเท่ากับทรงนักเรียน ด้านหน้าคลุมหน้าผากไว้ เหนือคิ้ว
เป็นทรงสำหรับวัยเด็ก
- ทรงสะต๊อก
ไว้ต่อจากทรงหน้าม้า คือพ้นวัยเด็กสู่วัยรุ่น จะปล่อยผมส่วนที่ไว้ตรงกลางศีรษะยาวพอเกล้ามวยได้
ด้านข้างหูทั้งสองข้าง ยาวพอที่จะนำมาคล้องหู แล้วให้ปลายผมยื่นออกไปเคลียอยู่ข้างแก้มทั้งสองข้าง
แบบผมนี้จะใช้ไปจนแต่งงานจึงเปลี่ยนผมไปอีกทรงหนึ่ง
- มวยเกล้าปาด
สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะไว้ผมยาวให้มากที่สุด แล้วนำมาเกล้าไว้กึ่งกลางศีรษะเป็นมวยขนาดใหญ่
โดยหวีแผ่ขนานกับด้านบนของศีรษะ ให้ขนานของมวยเล็กกว่าศีรษะเล็กน้อย ใช้เครื่องประดับจำพวกบิมหรือหวีทองคำเสียบไว้
- มวยเกล้าขัดแก้ว
สำหรับหญิงวัยกลางคนถึงสูงอายุ จะใช้หวีที่ทำจากเขาสัตว์ หรือกระดองเต่าเสียบไว้กับผม
ยาวด้านท้ายทอย แล้วใช้ผมส่วนที่เหลืออยู่ด้านล่างหวี พันรอบหวีหลาย ๆ รอบ
แล้วเหน็บปลายผมไว้ด้านใน
- มวยเกล้าจ๊อก
สำหรับผู้สูงอายุถึงวัยชรา เป็นแบบสบาย ๆ ใช้ปลายผมสอดกับโคนผมที่ทำเป็นห่วงดึงให้แน่น
แล้วพันเส้นผมไปรอบ ๆ มวย เหน็บชายผมซ่อนไว้ด้านใน
เครื่องประดับ
มีอยู่หลายประเภทด้วยกันคือ
- เครื่องประดับศีรษะ
นิยมใช้หวีทองคำ ปิ่นปักผมทองคำ ประดับอัญมณีทับทิม
- เครื่องประดับหู
ในวัยเด็กถึงวัยรุ่น ใช้ตุ้มหูพวงห้อยเรียกว่าเป้หูต่องต้อย วัยผู้ใหญ่ใช้จี้หูเรียกว่า
เป็หูหน้าก้าด วัยสาวใช้จี้หูขนาดเล็ก ใช้พลอยเม็ดเล็ก ๆ เรียงให้เป็นวงกลม
ตรงกลางวงจะเป็นพลอยคัดพิเศษ วัยสูงอายุจะใช้จี้หูขนาดใหญ่ขึ้นใช้พลอยเม็ดเท่าหัวไม้ขีดเรียงกันเป็นวงแบบเดียวกัน
มักใช้ทับทิมเพชรพม่าและไข่มุก
- เครื่องประดับคอ
นิยมใช้สร้อยคอทองคำประดับอัญมณีจำพวกทับทิมมากที่สุด รองลงมาคือหนี่หลา (พลอยสีฟ้า)
- เครื่องประดับแขน
เป็นกำไลใช้ทองเส้นประกบลอดสานกันหลายเส้น หัวตัดธรรมดาบ้างหัวมาดบ้าง หัวเสือบ้าง
เรียกว่า แหวนโกยหลิ่ม (คนไตเรียกกำไลว่าแหวน เรียกแหวนว่ามงโดย) ใช้ทองตีเป็นปล้อง
ต่อ ๆ กันเป็นวงเรียกว่า แหวนปล้องอ้อย ใช้ทองตีเป็นแผ่นยาว ๆ ทบด้านข้างเข้าหากัน
ทำเป็นวงวกลมรอบข้อมือเรียกว่าแหวนแพ็บ ตีเป็นท่อนกลมเรียกว่า แหวนก๋ม ประดับด้วยอัญมณีเช่น
ทับทิม พลอยสีฟ้า นิล หยก มรกต เพชร ฯลฯ ด้านบนทั้งสองส่วนจะมีสลักเสียบเชื่อมต่อเป็นวง
มีสลักและสายรั้ง เครื่องประดับนี้เรียกว่า แหวนแสว
- เครื่องประดับนิ้วมือ
เป็นแหวนจำพวกเดียวกับกำไล
การกินการอยู่
ชาวแม่ฮ่องสอนกินแบบเรียบง่าย ประหยัด อาหารการกินได้มาจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่
ไม่ได้ปรุงให้ผิดจากวัตถุดิบมากนัก นิยมบริโภคข้าวเจ้า ไม่นิยมข้าวเหนียวเหมือนชาวล้านนา
ข้าวเหนียวจะใช้ทำขนม
วิธีปรุงอาหารไม่ซับซ้อนมีประเภท ต้ม แกง ยำ ทอด อบ เครื่องปรุงมี พริก เกลือ
หัวหอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ ฯลฯ ถั่วเน่าใช้แทนกะปิ
อาหารแบบง่ายที่สุด คือ น้ำพริก ซึ่งปรุงด้วย พริก เกลือ ถั่วเน่า ปลาแห้ง
นำมาโขลกรวมกัน จิ้มด้วยผักสดชนิดต่าง ๆ
ขนมหวานมีหลายอย่าง ปรุงด้วยวิธีแบบพื้นเมือง เช่น อะละหว่า เข้ามูนปาด แปม้ง
ส่วยทะมิ่น เข้ามูนจ๊อก เข้ามูนแตน เข้าเม็ดถ่าย เข้าแต๋น น้ำถ่อแหย่ ฯลฯ
กิริยามารยาท
ชาวไตเป็นผู้มีมารยาทงดงาม นับตั้งแต่การแต่งกายทั้งชายหญิง เสื้อผ้า จะปกปิดส่วนต่าง
ๆ ของร่างกายแทบทุกส่วน จะเห็นแต่ส่วนศีรษะ มือ และเท้า เท่านั้น
การพูดจา
มีภาษาพูดที่สุภาพ เมื่อจะวิสาสะกับผู้ใด ก็จะดูวัยของผู้ที่จะพูดด้วย สมควรที่จะให้เกียรติก็จะยกย่องให้เกียรติ
คำแทนชื่อตนเองที่สุภาพจะใช้คำว่า ข้า คำขานรับ ใช้คำว่า อ้อ คำที่ใช้เรียกขาน
จะใช้ดังนี้
ชายที่มีวัยอ่อนกว่า เรียกว่า จาย หรือ ส่าง (ผู้ที่บวชพระแล้ว)
หญิงที่มีวัยอ่อนกว่า เรียกว่า นาง
ชายที่มีวัยสูงกว่าเล็กน้อย เรียกว่า ปี้อ้าย หรือปี้ส่าง
หญิงที่มีวัยสูงกว่าเล็กน้อย เรียกว่า ปี้นาง
ชายที่มีวัยขนาดหรือแก่กว่าพ่อ เรียกว่า ป้อลุง
หญิงที่มีวัยขนาดหรือแก่กว่าแม่ เรียกว่า แม่ป้า
ชายที่มีวัยขนาดหรือแก่กว่า ปู่, ตา เรียกว่า ป้อเฒ่า
หญิงที่วัยขนาดหรือแก่กว่า ย่า,ยาย เรียกว่า แม่เฒ่า
การต้อนรับ
เมื่อมีแขกมาที่บ้านจะเชิญให้นั่งในที่อันสมควรแล้ว จะไปยกขันหมาก พลู เมี่ยง
น้ำต้น น้ำชา ขนม มารับรองแขก เมื่อแขกอยู่คุยจนถึงเวลาที่อาหารสุก ก็จะเชื้อเชิญแขกร่วมกินอาหารด้วย
ในสมัยก่อนที่การคมนาคมยังไม่สะดวก หากมีแขกเดินทางมาจากต่างหมู่บ้าน หรือต่างเมือง
ก็จะเชื้อเชิญแขกให้พักที่บ้านของตน และจะเลี้ยงดูแขกเหมือนกับเป็นสมาชิก
ส่วนหนึ่งของครอบครัว แขกจะพักอยู่กี่วันก็ได้ เมื่อแขกจะกลับมีของอะไรก็จะฝากไปให้ด้วย
ประเพณีท้องถิ่น
ประเพณีบางอย่างยังรักษาและถือปฎิบัติอยู่ เช่น ประเพณีการเกิด การบวช การแต่งงาน
การทำบุญ การตาย ฯลฯ
|