www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เมืองเก่าของไทย
เมืองเก่าของไทย
ขนบธรรเนียมประเพณีคนไทยเชื้อสายมอญ
มอญได้อยพเข้ามาสู่ประเทศไทยหลายครั้ง ที่มีหลักฐานคือ ในปี พ.ศ.๒๑๒๗ หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวร
ฯ ทรงประกาศอิสระภาพที่เมืองแครง ต่อมาได้มีการอพยพครั้งสำคัญของมอญอีกแปดครั้งคือ
ในสมัยอยุธยาห้าครั้ง สมัยธนบุรีหนึ่งครั้ง และสมัยรัตนโกสินทรอีกสองครั้ง
คือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
การอพยพเข้ามามักจะกระจายกันไปตั้งหลักแหล่งที่อยู่ตามบริเวณแม่น้ำ เช่นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ในเขตจังหวัดอยุธยา อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี
อำเภอปากลัด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ตลอดจนลำน้ำแม่กลอง ในอำเภอบ้านโป่ง
อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี และในเขตจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ยังไปอยู่ในจังหวัดต่าง
ๆ ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ลพบุรี อุทัยธานี ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ และกระจายอยู่เป็นกลุ่มเล็ก
ๆ
ในจังหวัดธนบุรี
(เดิม) สมุทรสงคราม เพชรบุรี นครปฐม กรุงเทพ ฯ ฉะเชิงเทรา อยุธยา สุพรรณบุรี
นครราชสีมา นครสวรรค์ และปราจีนบุรี เป็นต้น
ชาวมอญในจังหวัดสมุทรสาคร ได้อพยพเข้ามา เมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๗ ตั้งบ้านเรือนอยู่
ณ บริเวณป้อมวิเชียรโชฎก หรือบ้านป้อม หรือวัดป้อมวิเชียรโชติการาม
ต่อมาได้มีชาวมอญจากจังหวัดปทุมธานีและบ้านมอญกรุงเทพ ฯ อพยพมาสมทบ ในประมาณรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตตำบลท่าทราย ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง ฯ ต่อมาได้ขยายไปที่อำเภอบ้านแพ้ว
ในตำบลต่าง ๆ เช่น ตำบลเจ็ดริ้ว ตำบลหลักสอง ตำบลหลักสาม ตำบลบ้านแพ้ว ตำบลฮำแพง
ฯลฯ ดำรงชีพด้วยอาชีเกษตรกรรม ทำสวน ทำนา มาจนถึงปัจจุบัน
ชาวไทยเชื้อสายมอญ ในจังหวัดสมุทรสาครโดยทั่วไปดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย และยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีตามแบบเดิมไว้บ้างเช่น
ลักษณะการสร้างบ้านเรือน ภาษา ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ
- บ้านเรือน
มีลักษณะแตกต่างไปจากบ้านชาวไทยในด้านการก่อสร้างคือ นิยมหันขื่อของเรือนไปทางแม่น้ำลำคลอง
หรือหันหน้าไปทางทิศตะวันตก จนมีคำพังเพยว่า มอญขวาง
เสาเรือนที่เป็นเสาเอกของบ้านจะต้องจัดให้เป็นที่อยู่ของผีบ้านผีเรือน ตามความเชื่อของมอญอีกด้วย
- ภาษา
ใช้ภาษมอญเป็นสื่อกลางระหว่างกลุ่มชาวไทยเชื้อสายมอญด้วยกัน รวมถึงบทสวดมนต์และการเทศน์ของพระภิกษุ
ซึ่งเป็นพิธีกรรมทางศาสนา แต่เมื่อติดต่อกับคนทั่วไปจะใช้ภาษาไทยกลาง
- การแต่งกาย
ผู้ชายสูงอายุจะนุ่งผ้าที่เรียกว่า สะล่ง ที่ไทยเรียกว่า โสร่ง เป็นผ้าลายตาหมากรุก
ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าคานิน หรือนิน คล้ายการนุ่งผ้าถุงของหญิงไทย
แต่ยาวกรอมส้นเท้า เมื่อไปทำบุญที่วัดหรือมีงานสำคัญจะใช้ผ้าสไบห่มเฉียงไหล่
นิยมไว้ผมยาวเกล้าเป็นมวยต่ำ ค่อนไปข้างหลัง
- ผีประจำหมู่บ้าน
แม้จะนับถือพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด แต่ยังมีความเชื่อเรื่องผีควบคู่กันไปเชื่อกันว่า
เป็นบรรพบุรุษของตนตามมาคุ้มครองพวกตนจากเมืองมอญ จะต้องทำพิธีเซ่นไหว้อย่างน้อยปีละครั้ง
เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่คนในหมู่บ้าน โดยมีคนทรงเป็นผู้ประกอบพิธี
- ผีบ้านผีเรือน
เป็นผีประจำตระกูล ส่วนใหญ่จะตกทอดการสืบผีไปยังบุตรชายคนหัวปีเรื่อยไป หากไม่มีบุตรชายสืบสกุลผีนั้นก็ขาดจากสกุลนั้นไป
ประเพณีการสืบผีประจำตระกูล ต้องมีพิธีรับผีประจำตระกูลจากบิดา ผู้ที่จะรับต้องทำหน้าที่เก็บรักษาสมบัติประจำตัวผี
อันประกอบด้วย แหวนผีหนึ่งวง เสื้อหนึ่งตัว ผ้าโพกหัวหนึ่งผืน โสร่งหนึ่งผืน
หม้อหนึ่งใบ ของทั้งหมดจะเก็บรวมไว้ในตะกร้า แขวนไว้ที่เสาตรงหัวนอนของผู้รับผีนั้น
และหน้าที่ของผู้รับผีประการหนึ่งคือ ทำการรำผีตามประเพณีอยู่เสมอ
เมื่อมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ปกติเกิดขึ้นแก่คนในครอบครัว แต่ละครอบครัวจะต้องจัดให้มีการรำผี
เพื่อขอขมาโทษต่อผี
- ประเพณีสงกรานต์
กำหนดให้วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตรงกับวันที่ ๑๓ - ๑๕ เมษายน ของทุกปี
จะมีการประกอบประเพณีทางศาสนา อย่างพร้อมเพรียงกัน ถึงสามวัน ติดต่อกันเริ่มตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระด้วยข้าวสงกรานต์
(ข้าวแช่) การแห่นกแห่ปลาไปปล่อยที่วัด การแห่นางหงส์ การสรงน้ำพระ การรดน้ำผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ตลอดจนการเล่นสาดน้ำสงกรานต์
เล่นสะบ้า และเล่นทะแยมอญ
- การเล่นสะบ้าและทะแยมอญ
เป็นการละเล่นของชาวมอญที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ ปัจจุบันหาดูได้ยาก ยังคงเหลืออยู่เพียงบางแห่งเท่านั้น
เช่นที่ตำบลบางกะดี่ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพ ฯ กับที่ตำบลปากลัด อำเภอพระประแดง
จังหวัดสมุทรปราการ และวัดคลองครุ ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง ฯ
- การเล่นสะบ้า
เดิมนิยมเล่นกันในหมู่หนุ่มสาวที่ยังเป็นโสด ในตอนเย็นหลังจากว่างงานหรือเสร็จสิ้นการทำบุญสงกรานต์แล้ว
จะนัดหมายกัน ณ บริเวณลานบันไดบ้านหนึ่ง ภายในหมู่บ้านของตน การเล่นสะบ้านั้นแบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายในจำนวนเท่า
ๆ กัน ใช้ลูกสะบ้าซึ่งทำด้วยไม้ลักษณะกลม ๆ แบน ๆ สำหรับทอยหรือเขย่งเตะ
หรือโยนด้วยเท้าแล้วแต่โอกาสกะให้ถูกคู่เล่นของตน เพื่อจะได้ออกมาเล่นกันเป็นคู่ต่อไป
- การเล่นทะแยมอญ
เป็นการเล่นที่ใช้ได้เกือบทุกโอกาสตั้งแต่โกนจุก บวชนาค แต่งงาน ฉลองพระ ขึ้นบ้านใหม่แก้บน
งานศพ ฯลฯ การเล่นประกอบด้วยผู้เล่นซึ่งทำหน้าที่ทั้งร้องและรำ ฝ่ายชายและหญิงฝ่ายละหนึ่งคน
มีเครื่องดนตรีประกอบการเล่นห้าอย่างคือ ซอสามสาย ขลุ่ย จะเข้ กลองเล็กสองหน้าและฉิ่ง
ผู้เล่นจะรำและร้องโต้ตอบด้วยเรื่องต่าง ๆ เป็นภาษามอญตามที่นิยมกัน หรือตามความประสงค์ของเจ้าภาพเช่น
เรื่องทศชาติชาดก ธรรมสอนใจ วัฒนธรรมสิบสองเดือน เพลงเกี้ยวพาราสี เป็นต้น
ทำนองเดียวกับเล่นลำตัดของไทยนั่นเอง จึงมีชาวเมืองบางคนเรียกทะแยมอญว่า ลำตัดมอญ
- ประเพณีรำผี
เป็นพิธีที่สำคัญพิธีหนึ่งของชาวไทยเชื้อสายมอญ ซึ่งปฎิบัติสืบต่อกันมาและปัจจุบันยังคงประกอบพิธีนี้บ้างในอำเภอบ้านแพ้ว
ด้วยมีความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องจากความเคารพนับถือผี ตั้งแต่ผีประจำหมู่บ้าน
ผีบ้านผีเรือน ผีเต่า ผีงู ผีปลาไหล ผีไก่ ผีข้าวเหนียว เป็นต้น เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่บุคคลในครอบครัว
ถ้าคนในครอบครัวเจ็บป่วยบ่อย สมบัติผีชำรุด ของหาย ตลอดจนเกิดเรื่องเดือดร้อนต่าง
ๆ อันถือว่าเป็นการผิดผี ในแต่ละครอบครัวจะต้องจัดให้มีการรำผี
เพื่อขอขมาต่อผีให้ผีหายโกรธ
ในการรำผีนอกจากต้องจัดเครื่องเซ่นตามประเพณีแล้ว ยังต้องสร้างโรงพิธีสำหรับใช้ในการรำผี
รวมทั้งจะต้องมีเครื่องดนตรีต่าง ๆ ประกอบเช่น พิณพาทย์ ตะโพน ฉิ่ง ฯลฯ โดยให้ญาติพี่น้องที่นับถือผีเดียวกันและผู้ป่วยร่วมกันร่ายรำไปตามจังหวะดนตรีจนกว่าจะเสร็จพิธี
- ประเพณีล้างเท้าพระ
ทำในวันทำบุญออกพรรษ โดยจะนำดอกไม้สีต่าง ๆ พร้อมทั้งขันใส่น้ำและจอกเล็ก
ๆ มาวางบนผ้าที่ปูลาดไว้กับพื้นดิน เมื่อพระสงฆ์กำลังเดินเข้าสู่อุโบสถพอมาถึงตรงหน้าก็จะตักน้ำในขันรดไปบนหลังเท้าของพระสงฆ์
ถือเป็นการล้างเท้าพระภิกษุที่ได้รักษาศีลมาตลอดพรรษา พร้อมทั้งถวายดอกไม้ที่เตรียมมาด้วย
นับเป็นอีกประเพณีซึ่งจัดว่าเป็นศิริมงคลแก่ผู้ปฎิบัติ
ขนบธรรมเนียมประเพณีของลาวโซ่ง
ลาวโซ่งหรือผู้ไท เป็นชนชาติไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกกันหลายชื่อ เช่น
ไทดำ ผู้ไทดำ ไทซงดำ ผู้ไทซงดำ ลาวทรงดำ ลาวซ่วง ลาวซ่วงดำ ลาวโซ่ง ไทโซง
ฯลฯ หมายถึงผู้ที่นุ่งห่มด้วยผ้าสีดำ มีประวัติเล่าสืบต่อกันมาว่า มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน ต่อมาได้อพยพย้ายถิ่นฐานมาทางตอนใต้กับตะวันออกเฉียงใต้
และกระจายกันอยู่บริเวณมณฑลกวางสี ยูนนาน ตังเกี๋ย ลุ่มแม่น้ำและแม่น้ำแดง
จนถึงแคว้นสิบสองจุไท โดยมีเมืองแถง
หรือเดียนเบียนฟู เป็นศูนย์การปกครองตนเองอย่างอิสระ
ภายหลังได้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาตั้งหลักแหล่งกระจายกันอยู่ในที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
เริ่มตั้งแต่สมัยธนบุรีเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๓๒๒ จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ลาวโซ่ง ถูกกวาดต้อนจากเขตเมืองญวน เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้า
ฯ ให้ยกกองทัพไปตีเวียงจันทน์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๒ ได้ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตจังหวัดเพชรบุรีเป็นแห่งแรก
ครั้งสุดท้ายได้กวาดต้อนมา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ ต่อมาบรรดาลาวโซ่งเหล่านี้ได้กระจายกันอพยพไปอยู่ตามที่ต่าง
ๆ ของประเทศไทย เนื่องจากลาวโซ่งรุ่นเก่ามีความปรารถนาจะกลับไปยังถิ่นฐานเดิมของตนที่เมืองแถง
แคว้นสิบสองจุไทอีกครั้ง จึงพยายามเดินทางจากเพชรบุรีขึ้นไป ทางเหนือเรื่อยไป
เมื่อถึงฤดูฝนก็หยุดพักทำนาเพื่อหาเสบียงเดินทางจนสิ้นฤดูฝนก็ออกเดินทางต่อไป
บรรดาผู้สูงอายุซึ่งเป็นผู้นำทางได้ตายจากไปในระหว่างการเดินทาง บรรดาลูกหลานไม่สามารถเดินทางต่อไปให้ถึงที่หมายได้
จึงพากันตั้งหลักแหล่งไปตามระยะทางเป็นแห่ง ๆ ทำให้มีกลุ่มลาวโซ่งกระจายกันอยู่ตามท้องถิ่นต่าง
ๆ ในประเทศไทยหลายแห่งเช่น จังหวัดสุพรรณบุรี ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร กาญจนบุรี
ลพบุรี พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย และเลย เป็นตน
ลาวโซ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ได้เข้ามาตั้งรกรากและกระจายกันอยู่เฉพาะในบริเวณตำบลหนองสองห้อง
อำเภอบ้านแพ้ว เป็นผู้ที่มาจากจังหวัดเพชรบุรี และยังติดต่อสัมพันธ์กับญาติพี่น้องในจังหวัดเพชรบุรี
- ความเชื่อของลาวโซ่ง
ส่วนใหญ่มีความเชื่อในเรื่องผี และขวัญอยู่มาก เชื่อว่าผีนั้นเป็นเทพยดาที่ให้ความคุ้มครอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผีเรือน หากทำสิ่งไม่ดีจะเป็นการผิดผี ซึ่งผีเรือนอาจจะลงโทษได้
ผีแถนหรือผีฟ้า
เชื่อว่าเป็นเทวดาอยู่บนฟ้า สามารถบันดาลความเป็นไปแก่มนุษย์ทั้งด้านดีและด้านร้าย
ต้องปฎิบัติตนให้ถูกต้องตามความประสงค์ของแถน เพื่อจะได้รับความเมตตาได้รับความสุข
ผีบ้านผีเรือน
เป็นผีที่คุ้มครองป้องกันบ้านเรือนให้ร่มเย็นเป็นสุขและอุดมสมบูรณ์ อาจสิงสถิตอยู่ตามป่า
ภูเขาหรือต้นไม้บางแห่ง ก็สร้างศาลให้อยู่บริเวณที่มีหลักเมือง ถือว่าเป็นเขตหวงห้ามใช้เฉพาะการประกอบพิธีเซ่นไหว้
หรือที่เรียกว่า เสน
เท่านั้น ส่วนผีประจำหมู่บ้านให้อยู่ต่างหากเรียกว่สา ศาลเจ้าปู่
หรือศาลตาปู่
และต้องทำพิธีเซ่นไหว้ทุกปี
ผีบรรพบุรุษ
เป็นผีของปู่ย่า ตายาย หรือพ่อแม่ที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว จะถูกเชิญขึ้นไว้บนเรือน
ณ ห้องผีเรือน หรือห้องของบรรพบุรุษที่เรียกว่า กะล่อท่อง และต้องจัดพิธีเซ่นไหว้ทุกปี
เรียกว่า พิธีเสนเรือน
ผีป่าขวงและผีอื่น ๆ
ที่สถิตอยู่ตามป่า ภูเขา แม่น้ำ หรือสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งหากคนทำให้ไม่พอใจก็อาจลงโทษให้เจ็บป่วยได้เช่นกัน
ความเชื่อในเรื่องขวัญ เชื่อว่าแถนเป็นผู้สร้างให้มนุษย์มาเกิด และมีขวัญแต่ละคนติดตัวมาอยู่ในร่างกายรวม
๓๒ ขวัญ ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวทำงานได้ ขวัญอาจตกหล่นหรือสูญหายได้ง่าย
ถ้าตกใจหรือเจ็บป่วยขวัญจะไม่อยู่กับตัว จึงต้องทำพิธีเรียกขวัญ
หรือสู่ขวัญ เพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่ในร่างกายอย่างปกติสุขตามเดิม
- สภาพความเป็นอยู่
ลาวโซ่งมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ สร้างบ้านเรือนในที่ราบเป็นเรือนใต้ถุนสูง
ดำรงชีพด้วยการทำไร่ ทำนา ทำสวน เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ผู้ชายนิยมทำเครื่องจักสาน
ผู้หญิงนิยมการทอผ้า เย็บปักถักร้อย ไม่มีการทำเครื่องปั้นดินเผา หรือหล่อหลอมโลหะ
- ภาษา
มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง และใช้อยู่ในหมู่ของพวกตน และใช้ภาษาไทยกลางติดต่อกับผู้อื่น
- พิธีเสนเรือน
เป็นพิธีสำคัญของลาวโซ่ง ซึ่งจะขาดหรือละเลยไม่ได้ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นการกระทำที่เพิ่มความเป็นสวัสดิมงคลแก่ครอบครัว
จะต้องจัดปีละครั้งเป็นอย่างน้อย คำว่า เสน แปลว่า เซ่น หรือสังเวย เสนเรือน
หมายถึงการเซ่นไหว้ผีเรือน ได้แก่ การเซ่นไหว้ ปู่ย่า ตายาย รวมทั้งบรรพบุรุษทุกคน
การทำพิธีเสนเรือน เจ้าภาพจะเชิญหมอเสน มาเป็นผู้ประกอบพิธีพร้อมกับแจ้งญาติพี่น้องให้ทราบ
กำหนดวันทำพิธี และจัดเตรียมเครื่องใช้ในการทำพิธีให้เรียบร้อย เช่น เสื้อฮี
- ส้วงฮี สำหรับเจ้าภาพสวมใส่ในขณะทำพิธี
ปานเผือน
(ภาชนะคล้ายกระจาดขนาดใหญ่ใช้บรรจุอาหารและเครื่องเซ่นผีเรือน) ปานข้าว
(ภาชนะใส่อาหารในหม้อเสน) ตั่งก๋า
(เก้าอี้หรือม้านั่งสำหรับหมอเสนนั่งทำพิธีในห้องผีเรือน) และอาหารที่เป็นเครื่องเซ่นต่าง
ๆ หมูจุ๊บ (เนื้อหมู เครื่องในหมูยำ) แกงไก่กับหน่อไม้เปรี้ยว
เนื้อหมูดิบ ซึ่โครงหมู ไส้หมู ข้าต้มผัด มันเทศต้ม เผือกต้ม อ้อย ขนมและผลไม้ต่าง
ๆ ตามฤดูกาล ข้าวเหนียวนึ่งเจ็ดห่อ ตะเกียบเจ็ดคู่ หมากพลู บุหรี่และเหล้า
เป็นต้น
เมื่อได้เวลาเซ่นไหว้ผีเรือน เจ้าภาพจะจัดเครื่องเซ่นต่าง ๆ บรรจุลงในปานเผือนที่เตรียมไว้
และยกเข้าไปวางไว้ในห้องผีเรือนที่เรียกว่า กะล่อห่อง
ซึ่งเป็นสถานที่ทำพิธี หมอเสนจะเริ่มพิธีด้วยการกล่าวเชิญบรรดาผีเรือนที่เป็นบรรพบุรุษของเจ้าภาพ
โดยเรียกชื่อบรรพบุรุษตามบัญชีรายชื่อที่เจ้าภาพจดไว้ในสมุดผีเรือน เรียกว่า
ปั๊บผีเรือน
จนครบทุกชื่อสามครั้ง เมื่อครบแต่ละครั้ง หมอเสนจะใช้ตะเกียบคืบหมูกับขนมทิ้งลงไปในช่องเล็ก
ๆ ด้านขวาของห้องผีเรือนแล้วเซ่นเหล้าแก่ผีเรือนอีกสองครั้ง
หลังจากเซ่นไหว้ผีเรืนเรียบร้อยแล้ว หมอเสนจะทำพิธีเสี่ยงทายให้แก่เจ้าภาพเรียกว่า
ส่องไก่
ด้วยการพิจารณาลักษณะของตีนไก่ในแกงหน่อไม้เปรี้ยวที่เจ้าภาพนำมาให้
และทำนายตามลักษณะของตีนไก่ จากนั้นเจ้าภาพจะทำพิธีขอบคุณหมอเสน เรียกว่า
ฟายหมอ แล้วจึงเลี้ยงอาหารแขกที่มาช่วยงานเป็นอันเสร็จพิธี
- พิธีแต่งงาน
ภาษาลาวโซ่งเรียกว่า กินดอง
การทำพิธีจะจัดทำที่บ้านเจ้าสาว เจ้าบ่าวจะต้องทำพิธีไหวผีเรือนบ้านเจ้าสาวและกล่าวอาสาว่า
ตกลงจะอยู่รับใช้หรือช่วยทำงานให้ครอบครัวของพ่อตาแม่ยาย เป็นเวลากี่ปีแล้วแต่จะตกลงกันเพื่อให้ผีเรือนรับรู้
เนื่องจากเมื่อแต่งงานแล้ว เจ้าสาวจะต้องออกจากผีเรือนของตนไปนับถือทางฝ่ายชาย
และไปอยู่บ้านฝ่ายชายเว้นแต่ว่าเจ้าสาวจะเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ก็อาจต้องตกลงกับฝ่ายชายให้มานับถือผีตามฝ่ายหญิง
และมาอยู่บ้านฝ่ายหญิงเรียกว่า อาสาขาด
ต่อจากนั้นเจ้าบ่าวจะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาว นอกเหนือไปจากเงินสินสอดตามที่ตกลงกันไว้
เงินจำนวนนี้เรียกว่า เงินตามแม่โค
หมายถึงเงินค่าตัวของแม่ฝ่ายหญิงที่เคยได้รับค่าตัวเท่าใดตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษเช่น
อาจเป็น ๑๐ - ๒๐ บาท ลูกสาวก็จะได้รับตามจำนวนเท่านั้น หลังจากเสร็จพิธีแล้วเจ้าภาพจะเลี้ยงแขกที่ไปช่วยงาน
- พิธีศพ
จะเชิญหมอเสนมาประกอบพิธี เริ่มตั้งแต่การเอาผีลงเรือน และการเอาผีขึ้นเรือน
การเอาผีลงเรือน
ถ้าผู้ตายถึงแก่กรรมในบ้านเรือน และตั้งศพไว้ในบ้านก่อนจะเคลื่อนย้ายไปประกอบพิธีต่อที่วัด
เจ้าภาพจะเชิญหมอเสนมาทำพิธีเรียกขวัญ (ช้อนขวัญ) คนในบ้านก่อนไม่ให้ติดตามผู้ตายไปอยู่ที่อื่น
การช้อนขวัญ เริ่มด้วยหมอเสนถือสวิงเดินนำหน้าขบวนและทำท่าช้อนไปรอบ ๆ บริเวณที่ตั้งโลงศพของผู้ตาย
ตามด้วยเจ้าภาพ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เดินถือเสื้อผ้าของคนในบ้านหนึ่งชุด บรรดาญาติพี่น้อง
และบุตรหลานทั้งหมดเดินตามหลัง เมื่อวนสามรอบแล้วต้องเข้าไปในห้องผีเรือน
เพื่อไหว้ผีเรือนให้ช่วยคุ้มครองอันตราย หรือเคราะห์ร้ายทั้งปวง และให้ขวัญของแต่ละคนกลับมาอยู่กับตนเอง
หลังจากนั้นจึงทำพิธีเคลื่อนย้ายศพจากเรือนไปวัด โดยจัดขบวนแห่ให้สวยงาม เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ตายมีการตกแต่งด้วยธง
การเอาผีขึ้นเรือน
จะทำเมื่อบิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ในบ้านตายเท่านั้น เป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้ตาย
มิให้วิญญาณของผู้ตายต้องเร่ร่อน เป็นการเชื้อเชิญวิญญาณของผู้ตายให้เข้าไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว
เพื่อจะได้คุ้มครองบุตรหลาน
หมอเสน จะเป็นผู้กำหนดวันเอาผีขึ้นเรือนและเตรียมพิธี หลังจากเผาศพผู้ตายเรียบร้อยแล้ว
วันรุ่งขึ้นหมอเสนจะเก็บอัฐิของผู้ตายบรรจุโกศส่วนหนึ่ง เพื่อให้บุตรหลานนำไปบูชา
ณ ห้องผีเรือน ส่วนอัฐิที่เหลือจะใส่ไหนำไปฝังยังสถานที่ที่เตรียมไว้ในป่าช้า
และนำบ้านเล็ก ๆ ทำด้วยตอกไม้ไผ่เรียกว่า หอแก้ว ปลูกคร่อมบนบริเวณที่ฝังไหอัฐิไว้
หากผู้ตายเป็นชายเช่น บิดา ปู่ ตา ฯลฯ จะตกแต่งหอแก้วให้สวยงามด้วยธงไม้ไผ่สูงประมาณ
ห้าวา เรียกว่า ลำกาว
พร้อมทั้งนำผ้าดิบสีขาวขลิบรอบ ๆ ขอบผ้าด้วยผ้าสีต่าง ๆ สลับกันสามสีคือ แดง
เหลือง ดำ ผูกติดกับยอดไม้ไผ่ให้มีความยาวพอเหมาะกับลำกาว ปลายยอดลำกาวติดรูปหงส์ตัวเล็ก
ๆ ทำด้วยไม้งิ้วแกะสลักงดงาม เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพาหนะพาผู้ตายกลับไปเมืองแถน
หลังจากนั้นจะนำอาหารมาเซ่นไหว้ผู้ตาย ทุกเช้าจนครบสามวัน แล้วหมอเสนจะรื้อหอแก้ว
และลำกาวทิ้งหมดด้วยเชื่อว่าจะได้ไม่มีการตายเกิดขึ้นในครอบครัวนี้อีก และนัดกำหนดวันเอาผีขึ้นเรือนตามความพร้อมของเจ้าภาพ
เมื่อถึงวันกำหนดเอาผีขึ้นเรือน หมอเสนจะเป็นผู้กล่าวเชิญวิญญาณของผู้ตายและทำพิธีเซ่นไหว้ในห้องผีเรือน
โดยทำพิธีคล้ายการเสนผีเรือน เริ่มด้วยหมอเสนจะกล่าวเชิญวิญญาณของผู้ตายให้มารับอาหารที่เตรียมไว้ก่อน
แล้วจึงเชิญบรรพบุรุษตามลำดับรายชื่อที่จดไว้ในสมุดผีเรือน ให้มารับอาหารจนครบทุกชื่อ
เสร็จแล้วจึงทำพิธีกู้เผือนคือ การนำอาหารที่เหลือออกจากปานเผือน ทั้งหมด
หลังจากเสร็จพิธีเอาผีเรือนขึ้นเรือนเรียบร้อยแล้ว หมอเสนต้องทำพิธีสู่ขวัญ
หรือเรียกขวัญญาติพี่น้องบุตรหลานในครอบครัวผู้ตาย
- ประเพณีการเล่นคอนหรืออิ้นกอน
เป็นการเล่นของหนุ่มสาวในเดือนห้า หรือทุกเดือนหกอันเป็นระยะที่ว่างจากการทำนา
พวกหนุ่มสาวในแต่ละหมู่บ้าน จะพากันจับกลุ่มเล่นคอน โดยผู้ใหญ่ไม่หวงห้ามเปิดโอกาสให้พวกหนุ่มสาวทำความรู้จักมักคุ้นกันยิ่งขึ้น
โดยใช้ลูกช่วงเป็นอุปกรณ์การเล่น ให้หนุ่มสาวโยนให้ถูกกัน เป็นการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างหนุ่มสาว
ให้มีโอกาสได้รู้จักสนิทสนมกันในที่สุด
|