ตำนานปืนใหญ่
เมื่อผมสำเร็จจาก ร.ร.นายร้อย จปร. ออกรับราชการเป็นนายทหารนั้น ผมมีสิทธิ์เลือกไปรับราชการในเหล่าทหารปืนใหญ่เป็่นคนแรก
ผมจึงเลือกมารับราชการในเหล่านี้ ซึ่งเป็นเหล่าที่ผมชอบ และรักมานานแล้ว คงจะเริ่มมาจากสมัยยังเรียนหนังสือชั้นประถมนั้น
โรงเรียนที่เรียนมานานที่สุดเกือบจะอยู่ในป่า และพึ่งตั้งได้เพียงปีเดียวคือ
โรงเรียนสองเหล่าสร้าง โคกกระเทียม อ.เมือง จ.ลพบุรี ที่ชื่อแบบนี้เพราะในสมัยนั้นที่โคกกระเทียมมีหน่วยทหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่แล้ว
๓ หน่วย ทหารบกก็มีศูนย์การทหารปืนใหญ่
ที่เป็นเหล่าทางสายวิทยาการของเเหล่าทหารปืนใหญ่ หรือจะเรียกว่า บ้านของทหารปืนใหญ่ก็คงพอเรียกได้
อีกสองหน่วยคือ กองบินน้อยที่ ๔
(ต่อมาจึงย้ายไปตั้งที่ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์) ส่วนอีกฟากหนึ่งของภูเขาคือ
กองบินน้อยที่
๒ ปัจจุบันกลายเป็นกองพลบินที่ ๑ ไปแล้ว ทหารปืนใหญ่กับทหารอากาศช่วยกันตั้งโรงเรียน
จึงชื่อว่า "สองเหล่าสร้าง" โคกกระเทียมสมัยนั้นมีรถเมล์เดินไปตัวเมืองลพบุรี
วันละเที่ยวเดียว เช้าออกไปลพบุรี เย็นกลับมาโคกกระเทียม และตอนที่บิดาของผมไปรับราชการที่กองบินน้อยที่
๔ นั้นผมยังทันได้เห็นรถถ่อ คือคล้ายรถไฟแต่ไม่มีเก้าอี้นั่ง ไม่มีเครื่องยนต์
วิ่งไปตามรางด้วยแรงคนถ่อและคนโดยสาร บางทีก็ต้องคว้าไม้มาช่วยกันถ่อให้รถวิ่งเร็วขึ้นด้วย
รถถ่อจะเริ่มจากในตัวศูนย์การทหารปืนใหญ่ วิ่งเลียบถนนพหลโยธินไปยังสถานีรถไฟโคกกระเทียม
ซึ่งรถไฟจะจอดที่สถานีเล็ก ๆ นี้ทุกขบวน ผมทันได้เห็นแต่น่าเสียดายที่เมื่อเลิกรถถ่อแล้ว
ไม่เก็บรักษาไว้ให้ดีเลยหายไปหมด จนกระทั่งอีก ๓๘ ปี ต่อมาผมกลับมาเป็นผู้อำนวยการกอง
(ตอนนั้นเรียกหัวหน้ากอง) วิทยาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ พยายามค้นหารถถ่อ เพราะผมจะตั้งพิพิธภัณฑ์ของทหารปืนใหญ่
ได้มาคันหนึ่งแต่ไม่ตรงตามคุณลักษณะของรถถ่อดั้งเดิม กลายเป็นรถโยกของรถไฟ
ซึ่งไปขอมาจากรถไฟแต่พออาศัยรูปร่างได้ เพราะรูปร่างเหมือนกัน แต่รถโยกของรถไฟนั้นใช้คนยืนโยก
๒ คน หรือโยกคนเดียวก็ได้ รถถ่อเหมือนกันแต่ไม่มีคันโยกใช้ไม้ถ่อ
ทหารปืนใหญ่สมัยนั้น จะมาฝึกหัดยิงปืนใหญ่ (ไม่ได้ยิงกระสุนจริง) กันที่สนามข้าง
ๆ โรงเรียนสองเหล่าสร้าง ผมาชอบยืนดู อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ เลยชอบปืนใหญ่มาตั้งแต่เด็ก
ๆ จนโตขึ้นก็ยังชอบอยู่ เมื่อเป็นนักเรียนนายร้อยก็เชื่อว่าจะสอบได้ที่ดี
พอจะเลือกเหล่าทหารปืนใหญ่ได้ ใครถามว่าจะเลือกไปเหล่าไหน ก็จะตอบคำเดียวว่าเหล่าทหารปืนใหญ่
กองทัพบกมีหลายเหล่า เช่น เหล่าทหารราบ ทหารม้า ทหารสื่อสาร ทหารช่าง ทหารสรรพาวุธ
ทหารพลาธิการ ทหารแพทย์ ทหารสารวัตร ทหารดุริยางค์ เป็นต้น และการเลือกไปรับราชการเหล่าใดผู้มีสิทธิ์เลือกก่อนคือ
ผู้ที่สอบได้ที่สอบดีและมีจำกัดเหล่าเช่น เหล่าทหารปืนใหญ่ในรุ่นที่ผมเลือกไปนั้นมีเพียง
๙ คน พอคนสอบที่ดี ๆ เลือกครบ ๙ คนก็จบกัน ต้องไปเลือกเหล่าอื่น คนที่สบายใจที่สุดคือ
คนที่สอบได้ที่โหล่ เพราะไม่มีสิทธิ์เลือกเหล่าไหนทั้งสิ้น สุดท้ายเมื่อเพื่อนเลือกกันหมดทั้งรุ่นแล้ว
เหลือคนที่โหล่อยู่คนเดียว เขาก็เรียกไปเซ็นชื่อรับทราบเสียเลยว่าได้ไปอยู่เหล่า
คือ เหล่าที่ยังเหลืออีก ๑ ที่ไม่มีคนเลือกแล้วนั่นแหละ คนที่โหล่ไม่ต้องมาเลือกเหล่าก็ได้เพราะเพื่อนช่วยเลือกให้
เมื่อผมยังรับราชการอยู่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ลพบุรี ก่อนที่จะย้ายไปรับราชการภาคใต้
เมื่อริเริ่มเรื่องใดขึ้นมา ที่เป็นเรื่องของเหล่าทหารปืนใหญ่ และเสนอขึ้นไปยังกองทัพบกเพื่อพิจารณา
ผมมักจะติดตามเรื่องด้วยตัวเองเพื่อไปชี้แจงให้ท่านผู้ใหญ่ได้ทราบและเข้าใจ
เวลาที่ไปชี้แจง หรือไปประชุมที่กองบัญชาการของกองทัพบก ซึ่งเมื่อก่อนนี้ตั้งอยู่ในกระทรวงกลาโหมเป็นส่วนใหญ่
หากยังไม่ถึงเวลาประชุมหรือรอเวลาเพื่อไปติดต่อในช่วงบ่าย ผมมักเข้าไปนั่งในห้องสมุดกระทรวงกลาโหม
ซึ่งมีหนังสือเก่าแก่จำนวนมาก วันหนึ่งไปได้หนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อ
ตำราปืนใหญ่ ทรงแปลและเรียบเรียงโดย พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผมาขอยืมเอามาอ่าน นั่งอ่านไม่จบก็หมดเวลาจึงต้องขอกับเจ้าหน้าที่เป็นกรณีพิเศษ
ขอยืมไปอ่านต่อ ซึ่งปกติผู้ยืมหนังสือของห้องสมุดในกระทรวงกลาโหม (พ.ศ.๒๕๑๙)
เวลานั้น จะนำออกจากห้องสมุดไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่คงคุ้นหน้าผม และก็เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่จึงให้เป็นกรณีพิเศษ
เมื่อเอามาศึกษาจนจบก็ทำให้ได้ความรู้เรื่องของปืนใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีใครเขียนตำราปืนใหญ่มาก่อนเลย
ผมจะนำไปเขียนต่อก็คงจะต้องคัดลอกเอาไปเป็นส่วนใหญ่ จึงตัดสินใจคัดลอกทั้งเล่มแล้วนำลงในนิตยสารทหารปืนใหญ่
ลงเป็นตอน ๆ เป็นหนังสือที่ผมทำหน้าที่บรรณาธิการ ลงไปเป็นตอน ๆ ก็เกิดเสียงเรียกร้องขอให้รวมเล่ม
ผมไม่มีปัญหาพิมพ์รวมเล่มให้สวย ๆ ได้จะพิมพ์ขายตลาดก็คงไม่กว้างพอ เลยได้แต่พิมพ์โรเนียวเย็บเล่มและแจกฟรี
ในตอนมีประชุมผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการของเหล่าทหารปืนใหญ่ ตำราปืนใหญ่เล่มนี้ศูนย์การทหารปืนใหญ่ได้ค้นหาในภายหลังพบว่าทรงแปลเสร็จและนำออกใช้เมื่อ
๑๗ ธันวาคม (ผมไม่ทราบ พ.ศ.) และต่อมาเมื่อนายทหารรุ่นหลังผมท่านหนึ่งคือ
พลเอก ศิรินทร์ ธูปกล่ำ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ จึงนำวันนี้คือ
วันที่ ๑๗ ธันวาคม เป็นวันของเหล่าทหารปืนใหญ่จะมีงานการกุศล การแสดงวิทยาการใหม่
มีการจัดเลี้ยงให้ทหารปืนใหญ่ในปัจจุบัน และนายทหารปืนใหญ่อาวุโส ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว
ได้มาพบปะกันซึ่งทุกปี หากผมอยู่ในประเทศไทยผมจะไม่ขาดงานวันทหารปืนใหญ่
ในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๖ ผมก็ไปงานวันทหารปืนใหญ่เช่นทุกปี เมื่อผ่านพิธีการทางศาสนาและชมวิวัฒาการของเหล่าทหารปืนใหญ่ไปแล้ว
ก็จะไปยังสโมสรเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน ผมขึ้นไปช้าแต่กลับโชคดี เพราะได้พบท่าน
พลเอก ประมาณ อดิเรกสาร นายทหารปืนใหญ่อาวุโส อายุท่านใกล้จะเก้าสิบแล้ว แต่ท่านยังแข็งแรงมากและท่านเป็นนายทหารปืนใหญ่อาวุโสและมักจะมางานของทหารปืนใหญ่เป็นประจำ
สำหรับวันนี้ ๑๗ ธันวาคม ๔๖ ท่านไม่ได้มามือเปล่า ท่านยังหอบหนังสือเล่มโตมาด้วยหลายเล่ม
ไม่ได้ให้ใครถือมาให้ด้วย คือ หนังสือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งผู้เรียบเรียงคือ คุณสุนิสา มั่นคง หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์โดยท่านพลเอก
ประมาณ อดิเรกสาร ซึ่งท่านก็คืออดีตนายทหารปืนใหญ่ เช่นกัน หนังสือพิมพ์เมื่อ
พ.ศ.๒๕๔๕ ท่านหอบเอามาหลายเล่มบอกว่าตั้งใจจะมอบให้ห้องสมุดของศูนย์การทหารปืนใหญ่
(ผมตั้งห้องสมุดนี้ขึ้นเมื่อดำรงค์ตำแหน่งผู้อำนวยการกองวิทยาการ ของศูนย์
ฯ) ผมรู้จักกับท่านเพราะท่านมางานปืนใหญ่เกือบทุกครั้ง และตอนที่ท่านได้รับพระราชทานยศพลเอกนั้น
ท่านได้รับพระราชทานเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ ซึ่งเป็นวันเดียว ปีเดียวกับที่ผมเข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรยศพลเอก
ท่านรับพระราชทานเป็นคนแรก ผมรับพระราชทานคนที่สี่
ผมเลยถือโอกาสขอหนังสือจากท่าน ๑ เล่ม ท่านคงเห็นว่าผมเป็นคนเขียนหนังสือท่านก็เซ็นมอบให้
๑ เล่ม เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วได้ความรู้อีกมากมาย และทราบพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงขอนำพระราชประวัติที่ย่นย่อที่สุดมาเล่าให้ทราบไว้ด้วยคือ
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบวรราชสมภพวันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน
พ.ศ.๒๓๕๑ และทรงสวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๗ มกราคม ๒๔๐๘ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
รัชกาลที่ ๒ กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงเป็นพระราชอนุชาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยร่วมพระราชชนกชนนี
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชพิธีพระบวรราชาภิเษก
โปรด ฯ ให้มีพระเกียรติยศเป็นอย่างพระเจ้าแผ่นดิน และโปรด ฯ ให้เปลี่ยนการเรียกขานนามวังหน้าซึ่งเดิมเรียกว่า
"พระราชวังบวรสถานมงคล"
เปลี่ยนเป็นเรียกว่า "พระบวรราชวัง"
พระราชพิธีอุปราชาภิเษก ให้เรียกว่า พระราชพิธีบวรราชาภิเษก (หากทรงเป็นพิธีของพระมหากษัตริย์จะเรียกว่า
พระบรมราชาภิเษก) คำรับสั่งของกรมพระราชวังบวร ฯ เคยใช้ว่า "พระบัณฑูร"
เปลี่ยนเป็น พระบวรราชโองการ
ซึ่งพระเกียรติยศที่ได้รับพระราชทานนี้เช่นเดียวกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ในครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ได้ปรับปรุงและวิวัฒนาการทหารทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือให้ก้าวหน้าตามแบบอารยประเทศ
ทรงศึกษาวิชาภาษาอังฤกษ วิชาการทหาร วิชาการช่าง และวิชาการปืนใหญ่ จนสามารถสร้างเรือกลไฟขึ้นได้ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก
และทรงพระราชนิพนธ์ตำราปืนใหญ่แบบสมัยใหม่ และรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารเรือเป็นพระองค์แรกและทรงดำรงตำแหน่งนี้จนตลอดพระชนมายุ
และทรงมีความผูกพันกับจังหวัดสระบุรีเป็นพิเศษ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปจัดตั้งป้อมปราการที่เขาคอก
(ผมยังไม่ได้ไปศึกษาให้ละเอียดว่าอยู่ตรงไหน) อำเภอแก่งคอย เพื่อไว้เป็นสถานที่ตั้งกองกำลังและโปรดให้สร้างพระบวรราชวังสีทา
ขึ้นที่ตำบลสองคอน อำเภอแก่งคอย สระบุรี เพื่อเป็นที่ประทับ (ทราบว่าสระบุรีกำลังบูรณะโบราณสถานทางประวัติศาสตร์แห่งนี้)
เหตุที่ไปทรงโปรดสระบุรี เข้าใจกันว่าเมื่อรัชกาลที่ ๔ โปรดให้ไปสำรวจนครราชสีมา
เพื่อเตรียมตั้งเป็นราชธานีแห่งที่ ๒ เพราะเวลานั้นนักล่าอาณานิคมกำลังจ้องจะฮุบประเทศไทยอยู่
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สถาปนาพระอนุชาต่างพระมารดาพระองค์นี้
ขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ให้ปฎิบัติหน้าที่ราชการหลายหน้าที่ในการทหาร
คือ กำกับกรมทหารปืนใหญ่ กรมกองแก้วจินดา กรมทหารม้าแม่นปืนหน้า แม่นปืนหลัง
ญวนอาสารบ แขกอาสาจาม แต่งกำปั่นเป็นเรือรบ
และเคยโปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ ฯ พระองค์นี้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพเรือไปปราบกบฎฐวน
โดยตีเมืองบันทายมาศ (เมืองฮาเตียน) กองทัพเรือได้เดินทางจากกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่
๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๘๔ และได้เดินทางกลับถึงกรุงเทพ ฯ เมื่อ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๘๕
รวมเวลาปฎิบัติหน้าที่ในราชการสงครามประมาณ ๑๖ เดือน
เรือรบลำแรก ซึ่งจัดทหารวังหน้าขึ้นประจำการคือ เรือยงยศอโยชณิยา หรือยงยศอโยธยา
กิจการทหารปืนใหญ่ เมื่อได้บวรราชภิเษกแล้ว ทรงปลีกพระองค์จากงานว่าราชการแผ่นดิน
แต่กลับทรงดำเนินกิจการทางทหารต่อไป โดยเฉพาะปืนใหญ่นั้น ได้โปรด ฯ ให้ย้ายสังกัดทหารญวนเข้ารีตทั้งหมดให้ไปสังกัดทหารปืนใหญ่ของฝ่ายพระราชวังบวรโดยตรง
และยังทรงจ้างนายทหารอังกฤษมาช่วยฝึก ทรงโปรดทหารปืนใหญ่มากจนถึงขนาดให้ผู้คนที่เป็นชายในวังหน้า
เอามาฝึกเป็นทหารปืนใหญ่จนหมด ไม่ว่าหน้าที่อะไรในวังก็ต้องฝึกเป็นทหารปืนใหญ่ด้วย
และยังทรงพระปรีชาสามารถในด้านวรรณกรรมด้วย มีพระราชนิพนธ์หลายเรื่องเช่น
พระราชนิพนธ์เพลงยาว บทแอ่วเรื่องนิทานนายคำสอน ฯ แต่ที่ผมอ่านแล้วสนุกกว่าเพื่อนก็คงต้องยกให้
บทพระราชนิพนธ์ทรงค่อนข้าราชการวังหน้า ผมจะยกมาให้อ่านสักบทหนึ่ง
เป็นนายทหารไม่รู้จักอะไร |
พระพิไชยสรเดช |
สูงเป็นเปรต |
คุณเทศอูฐ |
พูดอะไรไม่เหมือนพูด |
พระยาวิสูตรโกษา |
เข้าวังไม่เป็นเวลา |
พระยาภักดีภูธร |
กินแล้วนอน |
พระยาประเสริฐหมอ |
..................................
แสดงว่าพระองค์ท่านมีอารมณ์ขบขันในการนิพนธ์
ส่วนตำนานปืนใหญ่ที่ทำให้ทราบเรื่องของปืนนั้น ทรงสรุปไว้ว่า
พ.ศ.๖๒๘ "ได้ยินแต่ข่าวเขาลือกันว่าเมืองจีนทำดินปืนใช้ได้ แต่หามีผู้ใดได้เห็นไม่"
พ.ศ.๑๘๒๓ จึงมีคนชาติอังกฤษ ชื่อ ราชจาเบกกัน (RICHARD BACON) คิดทำได้
พ.ศ.๑๘๖๓ บาทหลวงพวก อะละมาร (GERMAN) ชื่อ สะวอษ (SCHWARTZ) อยู่ในเมืองแยระมานี
(GERAMANY) ทำดินปืนได้ โดยตอนที่ทำได้นั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำดิน ปืนประสมยาเพื่อใช้ในการรักษาโรค
เอาดินประสิวขาว ๑ มาศ ถ่าน ๑ (มาศ น่าจะเป็นกำมะถัน) เอามาตำในครกจนละเอียดแล้วก็ทิ้งไว้ในครกศิลา
แต่เอาครกหินปิดปากครกไว้ คงปิดไม่สนิทเกิดมีเปลวไฟปลิวไปตกลงในครก ทำให้เกิดการระเบิดดันแผ่นศิลาที่ปิดปากครกกระเด็นไป
บาทหลวงสะวอษ จึงคิดว่ายาในครกน่าจะเป็นดินปืนไปใช้ในการรบได้ ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งปวงจึงเรียกปืน
"เสวตรัด" ว่า "ม่อตา (MORTAR) แปลเป็นไทยว่าปืนครก " เลยเรียกว่าปืนครกมาจนทุกวันนี้
จึงเกิดปืนใหญ่ขึ้นในเมืองวิลาศก่อนที่อื่น (วิลาศหมายถึง ยุโรป)
พระราชกรณียกิจของพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับปืนใหญ่นั้นมีอีกมาก และในตำราปืนใหญ่ที่นิพนธ์ไว้นี้จะเล่ามาตั้งแต่ยิงด้วยกระสุนศิลา
(ใช้คานดีด) เรื่อยไปจนถึงปืนใหญ่สมัยรัชกาลที่ ๑ การฝึก การยิง การทำดินปืน
การบรรจุดินปืน และมีคาถากำกับด้วย มีแบบของกระสุนปืนใหญ่โบราณ เช่น กระสุนปืนใหญ่ใช้ก้อนศิลา
ก้อนเหล็ก ตะกั่ว " แต่กรมพระราชวังบวร ฯ ในรัชกาลที่ ๑ ในศึก ๙ ทัพ ทรงใช้ไม้ในป่ากาญจนบุรี
เอามาทำเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ ทรงรับสั่งว่าตราบใดไม้เมืองกาญจนบุรียังมี กระสุนปืนใหญ่ไทยไม่มีวันหมด"
กระสุนปืนใหญ่ลูกปรายในกระป๋องติดกับถุงดินดำ ลูกปรายในกระป๋องปิดฝาแล้วบรรจุยิงลูกกระสุนแบบพวงองุ่นใส่เหมือนถุงตาข่ายมัดแน่นแล้วบรรจุ
ลูกโดดติดกับถุงดินดำ ลูกปรายติดกับถุงดินดำ ฯ
ผมจะพาไปชิมอาหารร้านที่อยู่ริมแม่น้ำ มีบรรยากาศของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ยอดเยี่ยม
ก็เลยถือโอกาสเล่าถึงวัดที่อยู่ริมแม่น้ำคือ วัดยานนาวา เส้นทางไปวัดยานนาวา
ต้องไปตามถนนเจริญกรุงให้ระวังจุดเลี้ยวให้สังเกตดี ๆ เลยแล้วจะหาที่กลับรถมายาก
วัดยานนาวาอยู่ถนนเจริญกรุงระหว่างซอย ๕๒-๕๔ เวลาไปจากทางบางรักวัดจะอยู่ทางขวามือ
พอเห็นประตูวัดต้องเลี้ยวขวาไปทันทีไม่งั้นเลย กลับรถยาก
วัดยานนาวาเป็นวัดหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
ฯ ให้บูรณะปฎิสังขรณ์จากวัดโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดคอกควาย หรือวัดคอกกระบือ
และการที่พระราชทานนามวัดเสียใหม่ หลังบูรณะปฎิสังขรณ์แล้ว ให้มีนามว่าวัดยานนาวา
ก็เพราะสาเหตุที่ในการบูรณะนั้น โปรดให้สร้างพระเจดีย์ที่มีลักษณะแปลกกว่าพระสถูปหรือพระปรางค์ที่สร้างกันอยู่ในสมัยนั้นเพื่อเป็นพุทธบูชา
ทรงรำลึกถึงคติธรรมที่พระเวสสันดรทรงอุปมาเรื่องยานนาวาเป็นพาหนะทางน้ำประกอบกับมีพระราชดำริว่า
ขณะนั้นเรือสำเภาจีนที่เดินทางเข้ามาค้าขายทางทะเลกำลังจะหมดสมัย เพราะมีเริ่มมีเรือกำปั่นต่อแบบฝรั่งเข้ามาแทนที่
อนุชนรุ่นหลังคนจะรู้จักแต่เพียงชื่อว่า "สำเภาจีน" ด้วยพระราชดำริอันลึกซึ้งและรอบคอบและกว้างไกลเช่นนี้
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดสร้างฐานเจดีย์มีฐานเป็นยานนาวาตามคติธรรมทางพระพุทธศาสนา
ลักษณะยานนาวาเป็นเรือสำเภาจีนขนาดเท่าเรือสำเภาและลักษณะเหมือนของจริง แล้วโปรดพระราชทานนามวัดว่า
วัดยานนาวา เรือสำเภาที่สร้างลักษณะนี้และแล่นในน้ำได้จริง ๆ ขนาดเท่าของจริงผมเห็นอีก
๒ แห่งคือ ที่เมืองโบราณที่สมุทรปราการ และที่พิพิธภัณฑ์เรือ ที่จังหวัดจันทบุรี
แต่ลำที่วัดยานนาวานี้ลงน้ำไม่ได้เพราะสร้างด้วยอิฐ หินปูนทราย สร้างตรึงแน่นอยู่กับที่และเมื่อสร้างนั้น
รัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดเอาใจใส่อย่างยิ่ง ถึงขนาดมาประทับนั่งในศาลาเล็ก ๆ ที่สร้างพิเศษ
เพื่อประทับเวลามาตรวจการก่อสร้าง ซึ่งศาลาที่ประทับนี้อยู่ข้างเรือทางด้านใต้
เมื่อไปถึงวัดแล้ว จะเข้าไปในเรือสำเภาได้ โดยเข้าทางช่องหัวเรือ เข้าไปแล้วก็ขึ้นไปยังห้องท้ายบาหลี
ในห้องนี้มีพระไตรปิฎกหินอ่อนวางอยู่ และสำหรับอธิษฐานขอพรด้วย เช่นหากสำเร็จขอให้ยกขึ้น
และในห้องหรือเก๋งจีนท้ายสำเภานี้ยังประดิษฐานรอยพระพุทธบาท พระพุทธรูปอยู่ด้วย
ด้านหน้าของวัด คือศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์
เข้ามาในวัดแล้วทางขวาคือ หอพระไตรปิฎก ทางซ้ายคือ อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ ส่วนเรือสำเภาอยู่ตรงกลาง
ด้านหลังคือพระอุโบสถและต่อไปก็แม่น้ำเจ้าพระยา เห็นทิวทัศน์ที่งดงามยิ่ง
ร้านอาหาร ร้านนี้เก่าแก่ เดิมไม่ได้ตั้งอยู่ตรงที่จะพาไปชิมวันนี้
เดิมอยู่ที่ท่าน้ำบางขุนพรหม หรือเรียกว่าท่าเกษม คือเชิงสะพานพระราม ๘ ในปัจจุบัน
ตั้งอยู่ที่นี่นานจนเมื่อวังบางขุนพรหม กลายเป็นที่ทำการธนาคารชาติและธนาคารขยายใหญ่โตออกไป
จึงย้ายไปตั้งที่อื่นและเป็นร้านแรกที่ริเริ่มในการให้มีเรือสำราญคือลงเรือ
ลอยไปตามลำน้ำเจ้าพระยาพร้อมทั้งการนั่งกินอาหารชมวิวในท้องน้ำ
พอขึ้นบนศาลาริมน้ำจะผ่านแผงอาหารทะเลสด ๆ วางเอาไว้ หมายตาเอาไว้ก่อนก็ได้จะชิมอะไรดี
สาวเสริฟร้านนี้แต่งเป็นเครื่องแบบชุดกะลาสี กระโปรงสั้น ๆ อาหารนานาชาติเลยทีเดียว
อาหารฝรั่ง ชิมซุปถ้วยละ ๔๘ บาท สเต็ก จานละ ๑๐๐ - ๑๒๐ บาท ที่สั่งมาลองชิมคือ
สเต็กเนื้อสัน กับซ๊อสเห็ด เนื้อนุ่ม รสเข้ม
กุ้งยำตะไคร้ กุ้งใหญ่เผาเอาต้นไค้มาเสียบเพิ่มความหอม ราดด้วยน้ำยำ โดยใบสะแหน่
มีมะเขือเทศ ผักกาดหอม วางข้างจาน รสจัด
ปลาช่อนกระบอก ปลาช่อนเผาลอกหนังออก เห็นผิวขาวน่ากิน เสริฟมาในกระบอกไม้ไผ่
ปูเนื้อผัดพริกไทยดำ จานนี้ไม่น่าข้ามไป ปูตัวใหญ่มาก ผัดแล้วเต็มจาน น้ำผัดแยะเอามาคลุกข้าวได้
ก้ามปูใหญ่ อย่าอายใครหยิบเอามาใช้มือแกะเสียโดยดี เนื้อปูแน่นเหนียว
ผัดผักหวานไฟแดง, ผัดเผ็ดกุ้งสดใบโหระพา หอมกลิ่นใสนโหระพา และปิดท้ายด้วยข้าวอบสับปะรด
เสริฟมาในผลสับปะรดที่มีรสหวาน
ของหวาน มีบัวลอยเผือก หวานมัน "โอนีแป๊ะก็วย" ไอศกรีม เรนโบว์พาร์เพ่ห์
.......................................................
|