หอฝิ่น
ก่อนที่จะพาท่านไปชมหอฝิ่น ผมขอเล่าเรื่องที่ผมเป็นกรรมการตัดสินการทำอาหารของโครงการชิงแชมป์
"สุดยอดมือทอง ......จูเนียร์ ซึ่งจัดการแข่งขันโดยให้นักเรียนจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาทั่วประเทศมาแข่งขันกัน
เมื่อชนะระดับจังหวัดแล้ว ก็ไปชิงแชมป์ระดับภาค สุดยอดมือทองของภาคก็ไปชิงแชมป์ประเทศไทย
วันที่ท่านอ่านอยู่นี้ผ่านพ้นวันชิงแชมป์ประเทศไทยไปแล้ว ซึ่งแข่งขันกัน เมื่อ
๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๘ และสมเด็จพระพี่นาง กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ ได้เสด็จมาประทานรางวัล
แต่วันที่ผมเขียนผมพึ่งกลับมาจากการตัดสินการแข่งขันชิงแชมป์ภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงราย
การแข่งขันจะนำไปออกอากาศทาง ที.วี. ช่อง ๓ ทุกวันจันทร์เวลา ๑๐.๕๕
ผมได้รับเชิญเป็นกรรมการตั้งแต่การแข่งขันระดับครอบครัว ซึ่งในการแข่งครั้งนั้นจังหวัดฉะเชิงเทรา
ชนะเลิศ พอจบระดับครอบครัวก็มาเปิดการแข่งขันระดับอาชีวะศึกษาต่อ ซึ่งผมขอส่งเสริมเพราะเป็นการนำครัวไทยสู่ครัวโลก
และจะทำให้เกิดเมนูแปลก ๆ ใหม่ขึ้นมา เพราะไม่ได้ให้ทำตามเมนูอาหารไทยปกติ
ต้องคิดใหม่ หรือดัดแปลง เช่น แกงเขียวหวานลูกชิ้น เขาก็ใช้น้ำเต้าหู้มาแทนกะทิ
ลูกชิ้นใช้หมูยอสดมาห่อใส้ไข่เค็ม มาทำเป็นลูกชิ้นเหนียวหนึบ เป็นต้น
ส่งเสริมเด็กให้มีความริเริ่ม รู้จักค้นคิด เอามาแข่งขันกัน และการตัดสินของเขาทุกครั้ง
เพื่อนำครัวไทยสู่ครัวโลก จะมีท่านเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ หรือภริยาของท่านมาเป็นกรรมการร่วมท่านหนึ่ง
อีกท่านหนึ่งก็คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัด และผมจะเรียกว่า
นักชิมก็พอไหว แต่ตอนนี้เป็นนักชิมเต็มตัว และยังเป็นทูตอาหารปลอดภัย พึ่งรับใบประกาศณีย์บัตรมาจากกระทรวงสาธารณสุข
การแข่งขันหมุนเวียนไปตามวิทยาลัยอาชีวศึกษา แต่ส่วนใหญ่จะมาแข่งขันกันที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา
ในกรุงเทพ ฯ และผมขอสรุปการแข่งขันระดับภาคที่ชิงแชมป์กันไปแล้ว และผมในฐานะกรรมการ
(ใหญ่ หรือชรา) อายุใกล้ร้อยต้องตระเวนไปตัดสินดังนี้
๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ชิงแชมป์ภาคกลางที่ จ.นครปฐม วิทยาลัยนครปฐม
เป็นแชมป์
๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ชิงแชมป์ภาคตะวันออก ที่ จ.ชลบุรี วิทยาลัยชลบุรี
ได้แชมป์
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ชิงแชมป์ของ กรุงเทพ ฯ ที่เสาวภา วิทยาลัยเสาวภา
ได้แชมป์
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ชิงแชมป์ภาคอีสาน ที่ จ.ขอนแก่น วิทยาลัยมหาสารคาม
เป็นแชมป์
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ชิงแชมป์ภาคเหนือ ที่ จ.เชียงราย วิทยาลัยลำปาง
เป็นแชมป์
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ชิงแชมป์ภาคใต้ ที่ จ.นครศรีธรรมราช ตรังเป็นแชมป์
การเดินทางไปตัดสินการแข่งขันที่ขอนแก่น เชียงราย หรือชลบุรี นครปฐม ล้วนแล้วแต่เดินทางไปเช้า
กลับตอนเย็น ต้องชมเชยร่างกายของผมว่าทนยังกับแรด ส่วนตอนไปตัดสินภาคใต้ไปเช้า
แต่ผมอยู่ต่ออีก ๒ วัน เพื่อเยี่ยมลูก และหลาน ที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช
อีกงานหนึ่งในฐานะที่เป็นทูตอาหารปลอดภัย ซึ่งเป็นการจัดงานของกรมอนามัย ร่วมกับสมาคมภัตตาคารไทย
เป็นงานที่มีคุณแก่ชาวสมาคมคือ ภัตตาคารทั้งหลาย ส่วนผมได้รับเชิญไปในงานจะต้องไปสนทนาเรื่อง
"บริโภคอย่างไร ให้ปลอดภัย และไม่อ้วน" เป็นผลให้ผมต้องทำน้ำหนักให้ได้มาตรฐานคือ
ไม่เกินเศษของส่วนสูง ผมสูง ๑๘๐ ซม. น้ำหนักไม่ควรเกิน ๘๐ กก. ให้พูดว่ากินอย่างไรจึงจะอ้วนง่ายกว่าแยะเลย
ซึ่งผมได้สรุปไว้ให้ว่า ระดับผมนี่ต้องเรียกว่าอายุยืนมาก และยังไม่รอยความชรา
ยังแข็งแรงขับรถได้รอบประเทศไทย เผลอ ๆ ยังโผล่ไปขับเมืองนอก พอจะบอกได้ว่าทำอย่างไร
มี ๕ อ. ผมจำมาจาก อาจารย์ นพ.ประสบ รัตนากร ที่ท่านพูดทางวิทยุนานเกินสิบปีแล้วคือ
ต้องสร้างอารมณ์ ต้องหาอากาศบริสุทธิ์สูด ต้องออกกำลัง อจจาระ ขับถ่ายปกติและการกินอาหาร
ซึ่งในหัวข้อของอาหารผม ได้กำหนดเอาไว้เอง และปฎิบัติเป็นประจำ ไม่งั้นความเป็นนักชิมจะทำให้อ้วนแล้วสารพัดโรคจะตามมา
โดยเฉพาะ "เบาหวาน" เป็นเบาหวานโรคเดียว จะได้โรคตามมาอีกหลายโรค ข้อกำหนดของผมคือ
(มี ๔ ข้อ) กินเกือบอิ่ม แล้วกระเพาะอาหารของเราจะปรับตัวเอง ตามจนกินอาหารน้อยลงกว่าเดิมได้โดยอิ่มด้วย
อย่ากินยาลดความอ้วนเป็นอันขาด รับรองว่าไม่ได้ผล ทรมานเปล่า ๆ ผมทดลองมาทุกวิธีแล้วมาได้วิธีนี้นั่นเองคือ
เริ่มด้วยการกินเกือบอิ่ม อย่าเสียดายอาหารเหลือ มันเหลือช่างมันอย่าพยายามกินให้หมด
กินได้ทุกอย่างแต่ต้องบังคับใจตัวเรา เช่น อยากกินทองหยิบเหลือเกิน ทั้ง ๆ
ที่รู้ว่ามันหวานจัด กินได้แต่คำเดียวพอ และข้อสุดท้ายคือ "ใจ" ทำใจให้เข้มแข็ง
สูงอายุ เลี่ยงน้ำตาลให้มาก กินผักให้มาก โดยเฉพาะเด็ก ๆ หัดให้กินผัก กินผลไม้
ท่านเชื่อไหม หลานชายของผมอายุขวบหกเดือน กินผลไม้ทีละเป็นลูก เช่น
ชมภู่ องุ่น เพราะเราหัดเขา และไม่ให้ขนมหวาน เด็กกินขนมหวานมาก จะกลายเป็นเด็กอ้วน
น้ำอัดลมทั้งหลายตัวดี ทำให้อ้วนอย่าให้เด็กกิน ไม่เช่นนั้นเด็กจะโตเป็นเด็กอ้วน
เป็นผู้ใหญ่อ้วน และแบกเอาโรคไว้เต็มตัว และอีกข้อหนึ่งที่ควรปฎิบัติกันทุกครัวเรือน
และตามร้านอาหาร คือ การใช้ช้อนกลางเพื่อตักอาหารมาสู่จานของเรา หากเป็นประเภทใช้ช้อนกลางไม่อร่อย
ก็ใช้ถ้วยแบ่งมาซดคนเดียว
งานนี้จบไปแล้ว มีร้านอาหารอร่อย ๆ มาออกหลายร้าน จากทุกภาคของประเทศ
สมาคมนำมา เช่น เค็มบักนัด จากอุบลราชะนี ปูนิ่มชุบแแป้งทอดจากตราด
ลูกช้อนปลาอินทรีย์จากตราด หอยทอดขนมครก ที่ปทุมธานี ก๋วยเตี๋ยวหมูเรียงจากจันทบุรี
อีกมากมายผมนำมาเล่าเป็นตัวอย่างและซื้อมาชิม
วันที่เป็นกรรมการตัดสินที่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ซึ่งผู้ชนะคือ
วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เมนูที่ชนะเลิศคือ "ทับทิม ลับลี้" จัดกันวิลิศสมาหราเลยทีเดียว
จบงานแล้วพอมีเวลา เพื่อไม่ต้องไปรอที่สนามบินจึงไปชม พิพิธภัณฑ์
"อูบคำ" อยู่ถนนที่จะผ่านหอนาฬิกา ตรงไปสู่ค่ายทหาร
ก่อนจะถึงประตูค่าย จะมีทางแยกขวาแลี้ยวขวาไป แล้วเลี้ยวเข้าพิพิธภัณธ์ ค่าเข้าชมคนละ
๑๐๐ บาท แต่คุ้มค่า คุ้มราคา ผู้สร้างผู้รวบรวมมีความตั้งใจที่จะเก็บของมีค่าสมัยล้านนา
ที่ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินไทยให้กลับคืนมาอยู่ในผืนแผ่นดินไทย ให้ลูกหลานได้ศึกษา
ได้เห็นความเป็นมา และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรล้านนาในอดีต เป็นศูนย์อนุรักษ์มรดกล้ำค่าของอาณาจักรล้านนาโบราณ
ประกอบด้วยเครื่องใช้ในราชสำนักล้านนา ราชสำนักคุ้มเจ้าแพร่
ราชสำนักคุ้มเจ้าเชียงใหม่ ผ้าโบราณอายุกว่า
๑๒๐ ปี ผ้าที่ทอด้วยดิ้นทองคำ จากราชสำนักมัณฑะเลย์
บัลลังก์กษัติรย์ (ของจริง ไม่ใช่จำลองมา)
เป็นทองอร่ามตาอายุกว่า ๒๐๐ ปี พระพุทธรูปสำคัญ
สมัยเชียงแสน สุโขทัย และอู่ทอง ชมแล้วคอแห้งมีน้ำชา และที่น่าซื้อกลับมาคือ
ใบชาหม่อน ห่อละ ๖๐๐ บาท ดื่มแล้วแก้ได้หายโรค ชุ่มคอ หายเหนื่อย หายเพลียทันที
ระยะนี้ผมไปเชียงรายติด ๆ กัน ๒๙ ต.ค. ไปทอดกฐิน ที่วัดฝั่งหมิ่น พอ ๒๓ พ.ย.
ก็ไปตัดสินการประกวดการทำอาหาร และ ๒๗ ธ.ค.๔๘ ก็จะไปถวาย "เมรุ"
แก่วัดฝั่งหมิ่น เมรุมาตรฐานที่ได้เงินในการสร้างมาจากการทอดกฐิน และผ้าป่า
ในปี ๒๕๔๘ ถวายเมรุแล้วผมจะไปงานชาโลกที่ดอยแม่สลอง ตามที่เขาเชิญมาขับรถกันให้ตาลายไปเลย
วันที่ไปทอดกฐิน ผมมีโอกาสไปนอนที่ดอยแม่สลอง ๑ คืน พอวันรุ่งขึ้นก็ลงจากดอยแม่สลอง
ไปยังอำเภอแม่สาย หาทางเสียสตางค์ด้วยการจ่ายตลาดชายแดน ที่เป็นตลาดที่ใหญ่มากและขยายออกไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า
ข้อเสียสำหรับผู้ขับรถไปเองจะหาที่จอดรถยาก อาจจะต้องเดินไกล หากไปกับรถตู้
ขอเบอร์มือถือคนขับเอาไว้แล้ว โทรนัดให้มารับสะดวกดี หากขับเองมีที่อีกแห่งหนึ่ง
มีสุขาด้วยคือ ลานจอดรถของวัดพระธาตุดอยเวา วิ่งไปเกือบถึงด่าน ตม. แม่สาย
จะมีทางแยกซ้ายเป็นถนนที่แคบมาก รถเข้าได้เลี้ยวซ้าย เข้าไปสัก ๑๐๐ เมตร
จะมีลานข้างอุโบสถ จอดรถได้ และสุขาจะอยู่ทางด้านหลังซ้ายของอุโบสถ
เสียสตางค์ค่าบำรุง จากลานเดินขึ้นไปลานหน้าพระสังกัจจายน์ และตรงลานนี้จะมีรถมอเตอร์ไซด์
คอยพาขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยเวา ไม่งั้นต้องเดินขึ้นไป
พระธาตุดอยเวา
อยู่บนดอยเวา ริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย พระองค์เวา
ผู้ครองเมืองโยนกนาคพันธ์ เป็นผู้สร้างเอาไว้
เมื่อ พ.ศ.๓๖๔ เพื่อบรรจุพระเกษาธาตุ (ไม่ใช่พระบรมธาตุของพระพุทธองค์)
เมื่อขึ้นไปนมัสการพระธาตุเก่าแก่องค์นี้ จะสามารถชมวิวของแม่น้ำสาย ลำน้ำ
และมองข้ามไปชมทางฝั่งพม่าได้
แม่สาย
เป็นอำเภอเหนือสุดของไทย ติดต่อกัยพม่ามีแม่น้ำสาย
เป็นเส้นแบ่งเขตแดน มีสะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำ จะไปเที่ยวฝั่งพม่าก็ข้ามสะพานนี้ไป
ต้องแจ้งทาง ตม.ไทย และทาง ตม.พม่าด้วย ฝั่งพม่าดูเหมือนเก็บสตางค์ ผมไม่ได้ข้ามไปหลายปีแล้ว
ไม่รู้ว่าจะข้ามไปทำไม ยิ่งขับรถข้ามไปต้องระวังเพราะจราจรพม่าขับขวา พม่าจะหลอกให้ขับซ้ายก่อน
แต่พอถึงวงเวียนจะต้องเปลี่ยนไปเข้าขวาทันที รถจากเมืองไทยจะโดนจับกัน ตอนเข้าวงเวียนที่จราจรเปลี่ยนจากซ้ายไปขวา
สินค้าซื้อฝั่งไทยเหมือนกัน ราคาพอ ๆ กัน จะถูกกว่าด้วยซ้ำไป ไปเที่ยวแม่สายอย่าข้ามไปเที่ยวพม่า
อยากซื้อของซื้อฝั่งไทย
แม่สาย มีโรงแรมที่พักหลายแห่ง แต่ผมไม่เคยพักสักที เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ทำไม่
สู้ไปเที่ยวต่อไม่ได้ ส่วนสินค้านั้นมีให้ซื้อมากมาย เช่น ประเภทอัญมณี พลอย
ทับทิม มรกต ที.วี. วีดีโอ เครื่องเสียง เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอางค์พม่า
และเครื่องสำอางค์ปลอม ๆ สินค้าจากจีนก็มาก เช่น ชา ยาจีน บุหรี่ อาหารทะเลแห้ง
ของเก่า ของโบราณ ฯ
ร้านอาหาร ที่เด็ด ๆ ย่านแม่สายนี้ออกจะหาชิมยาก ชิมมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ร้านเด็ดถูกใจ
จนเป็นเจ้าประจำสักที วันนี้ได้ร้านเปิดใหม่ อยู่ในซอย อร่อยใช้ได้
ถ้าเรากลับมาจากด่านตรวจคนเข้าเมือ จะวิ่งกลับให้ดูซอยทางซ้ายเอาไว้ ชื่อซอยเทศบาล
๑๔ ปากซอยมีคลินิก ชื่อศรีบุรินทร์ เลี้ยซ้ายเข้าซอย ๑๔ ไปนิดเดียวมีสี่แยกน้อย
ๆ ให้เลี้ยวขวา จะอยู่ทางซ้ายมือ เป็นร้านที่ดัดแปลงหน้าบ้านเป็นร้านอาหาร
สะอาด บอกว่าพึ่งเปิดได้ไม่กี่เดือน อาหารพื้นเมือง อร่อยทุกอย่างที่สดุดตา
ตั้งแต่แรกคือ ชื่ออาหาร "ช้าวซอยน้ำเงี้ยว" พอนั่งก็สั่งทันที ปรากฎว่าเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวคล้ายเส้นข้าวซอย
รดด้วยน้ำเงี้ยว เหมือนก๋วยเตี๋ยวน้ำ กึ่ง ๆ ข้าวซอย แต่อร่อยดี มีจานน้อย
ใส่ผักดอง ถั่วงอกดิบ ยอดถั่วลันเตา และมะนาวให้เติมแต่งตามชอบใจ
อาหารเมืองอื่น ๆ ที่สั่งมาชิม อร่อยทุกอย่างคือ ลาบคั่ว ลาบเมืองแต่ทำให้สุก
เรียกว่า ลาบค่ำ ส้มตำ คอหมูย่าง แก่งอ่อม มีกระจาดผัก โหระพา "ใบยอดถั่วลันเตา
พึ่งพบที่ร้านนี้ที่เอามาเป็นผัก ถ้าทางใต้คงจะเรียกว่า กระจาดผักเหนาะ ใบมะกอก
ถั่วฝักยาว ผักชีฝรั่ง อร่อยมาก ราคาถูกมา สุขาไม่สากล แต่พอผมเข้า เขาเชิญไปใช้ในบ้าน
เลยสบายไป
อาหารอีกอย่างของแม่สาย ไม่ค่อยอร่อยนักแต่แปลก หากินยากคือ ข้าวฟืนถั่ว
คล้ายก๋วยเตี๋ยวแห้ง ร้านที่พบอยู่หน้าโรงภาพยนต์เก่า ขาไปอยู่ซ้ายมือ
ไม่ทราบมีที่ไหนอีก
หอฝิ่น (HALL OF OPIUM) อยู่ที่อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ
สบรวก อำเภอเชียงแสน เชียงราย เส้นทางหากเรามาเที่ยวแม่สายแล้ว พอตอนกลับจะพบถนนมีป้ายบอกให้เลี้ยวซ้าย
เพื่อไปเชียงแสนก่อนถึงตัวอำเภอเชียงแสน ๑๐ กม. คือ สามเหลี่ยมทองคำ
ก่อนถึงชุมชนของสามเหลี่ยมทองคำ ก่อนที่ถนนจะหักเลี้ยวขวา จะพบป้ายอยู่ทางขวามือ
คือ ทางเข้าหอฝิ่น เลี้ยวขวาเข้าไปสัก ๒๐๐ เมตร ผ่านสระน้ำที่แสนสวย ผ่านดงไม้ไผ่ที่ปลูกไว้เป็นไม้ประดับ
เสียค่าเข้าชมคนละ ๒๐๐ บาท ถูก เพราะคุ้มค่าเหลือคุ้ม ยิ่งคณะผมไม่มีใครอายุน้อยกว่าหกสิบสักคน
เขาขอให้แสดงบัตร ปรากฎว่าได้ลดราคากว่าครึ่งคือ เหลือค่าผ่านประตูเข้าชมคนละ
"๕๐" บาทเท่านั้น ขอให้นักท่องเที่ยวสูงอายุทั้งหลายอย่าพลาดโอกาสนี้ และลดตลอดไป
ไปแล้วจะได้รู้ถึงความเป็นมาของฝิ่น ไปชมแล้วจะเกลียดฝรั่งขึ้นมาทันที เพราะตัวทำให้ฝิ่นกระจายเข้ามาถึงแดนไทยนั้นคือ
ฝรั่ง เมื่อจ่าย ๕๐ บาท แล้วเริ่มต้นด้วยการเดินเข้าไปในอุโมงค์ที่สลัว ๆ
และยาวมาก ยาวถึง ๑๓๗ เมตร สองข้างกำแพงอุโมงค์เป็นภาพปูนปั้น เช่น เป็นคนที่สูบฝิ่น
ร่างกายซูบผอม ฝิ่นนั้นมีสรรพคุณทางยาเช่นระงับการปวด เมื่อใช้นานเข้าจึงกลายเป็นยาเสพติด
มีมากถึง ๒๓ สายพันธ์ (ตระกูล) และกว่า ๒๕๐ ชนิด ฝิ่นมาปลูกกันจนเป็นสินค้า
เมื่อปี ค.ศ.๑๙๓๒ นี้เอง ท่านเข้าไปชมจะได้เห็นตั้งแต่ต้น เห็นขั้นตอนการเจริญเติบโตของฝิ่น
เห็นดินแดนฝิ่น ผลจากฝิ่น เช่นการคอรับชั่น การก่ออาชญากรรมระดับโลก ฝิ่นเริ่มต้นจากการที่ฝรั่งหลายชาติพยายามนำเข้าจีน
จนชาวจีนติดฝิ่นกันหงอมแหงม และเมื่อรัฐบาลจีนต่อต้านก็เกิดสงครามฝิ่น ที่จีนสู้ฝรั่งไม่ได้
ทำให้ฝิ่นไหลเข้าสู่จีน จากจีน ไปอาหรับ มาอินเดีย แล้วจึงมาสู่บูรพา เข้าไทย
ปลูกกันบนเขาด้วยชาวเขา พื้นที่สำคัญที่เรียกกันว่า สบรวก
หรือสามเหลี่ยมทองคำ คือพื้นที่ต่อแดนไทย ลาว เมียนมาร์ ที่เริ่มเกี่ยวข้องกับไทยคือ
รัชกาลที่ ๔ พระองค์มองการณ์ไกล เห็นสงครามที่ฝรั่งรบกับจีนบีบบังคับจีน
พระองค์จึงโปรดเกล้า ฯ ให้การค้าฝิ่น และการสูบฝิ่นเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
มีกฎ เกณฑ์ว่าทำอย่างไร รับทำเสียก่อนที่จะถูกการบีบบังคับจากฝรั่ง
พ.ศ.๒๓๙๘ อังกฤษ เข้ามาบังคับให้ไทยลงนามในสนธิสัญญา ให้สามารถนำฝิ่นเข้าสยามได้ไม่จำกัดปริมาณ
จากนั้นฝิ่นก็ขยายอย่างรวดเร็ว
การเข้าชมนั้นจะเพลิดเพลินอย่างยิ่ง มีวีดีทัศน์ มีห้องให้นั่งพัก ทุกห้องติดแอร์เย็นสบาย
เรียกว่าเวลานี้ขาดทุน คนยังรู้จัก เข้าชมกันน้อยไป ไม่ได้นึกว่าหอฝิ่นแห่งนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด
มีพื้นที่กว้างขวางมากกว่า ๕,๖๐๐ ตารางเมตร สืบประวัติเรื่องฝิ่นย้อนไปกว่า
๕,๐๐๐ ปี จำลองมากระทั่งโรงยาฝิ่น การสูบฝิ่นของคนหลายระดับ อยากฟัง อยากดูอะไรเพิ่มเติมก็กดดู
กดฟังได้
จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ได้เป็นผู้สั่งยกเลิกการสูบฝิ่น การจำหน่ายฝิ่น
ถือว่าใครเสพ ใครขาย ใครปลูกผิดกฎหมายหมด มีการเผาเครื่องมือดูดฝิ่นกันเป็นการใหญ่
ที่สนามหลวง โดยเริ่มผิดกฎหมายนับตั้งแต่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๐๒
ผมพยายามอธิบายความรู้เรื่องฝิ่น ที่ได้รับจากหอนี้ คงจะไม่ถึงหนึ่งในร้อย
ขอให้ไปชมกันให้ได้ นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้ความรู้กลับมาอีกมหาศาล
การเกิดของหอฝิ่น เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงริเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุง
เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๑ เพื่อฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อม และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขา
ที่ยังชีพด้วยการเผาถางป่าทำไร่เลื่อนลอยแล้วปลูกฝิ่น สมเด็จย่า ฯ ส่งเสริมให้เกิดการปลูกป่า
การปลูกพืชเศรษฐกิจ การทำการเกษตรอย่างมีระบบ การพัฒนาฝีมือเพื่อส่งเสริมอาชีพหัตถกรรม
และจัดให้มีโครงการบำบัดชาวบ้านที่ติดยาเสพติด จากความสำเร็จในการแก้ปัญหาการปลูก
และผลิตยาเสพติดในเขตพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง ทรงมีพระราชดำริให้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง
ดำเนินการเพื่อแสดงความตั้งใจของประเทศไทย ในอันที่จะแก้ปัญหายาเสพติดและแก้ไขภาพพจน์ของประเทศ
โดยให้การศึกษาเกี่ยวกับความเป็นมาของฝิ่น และแสดงผลกระทบของปัญหายาเสพติด
ฝิ่นที่ไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนสุขภาพและจิตใจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
และร่วมมือร่วมใจของมวลมนุษย์ในการต่อสู้กับยาเสพติด "หอฝิ่น" จึงเกิดขึ้นมา
ติดต่ออุทยานสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียยงราย ๐๓๕ ๗๘๔ ๔๔๔ ชมกันจนสุดทางแล้วจะพบห้องพักผ่อนแก้เมื่อยด้วยการดื่มน้ำชา
กาแฟ เครื่องดื่มและขนม และมีผลิตภัณฑ์ดอยตุงจำหน่ายด้วย ไปหอฝิ่นแล้วจะติดใจ
หรือจะนอนพักที่เกรทเธอร์แม่โขงลอด์จ มีห้องพักและอาหารชั้นดี อบู่ที่บ้านสบรวก
ซึ่งจะติดต่อสำรองห้องพักได้ทั้งที่กรุงเทพ ฯ และโครงการพัฒนาดอยตุง ๐๒ ๒๕๒
๗๑๑๔ ต่อ ๒๑๗, ๐๕๓ ๗๖๗ ๐๗๗ เข้าใจว่าดำเนินการโดยโครงการพัฒนาดอยตุง ผมยังไม่เคยเข้าพัก
จากหอฝิ่นเลี้ยวขวามาที่สบรวก นึกสนุกก็เช่าเรือชมแม่น้ำโขง ชมสามเหลี่ยมทองคำ
และที่ริมน้ำโขง เดี๋ยวนี้ได้สร้าง "ตุง"
เอาไว้งดงาม สร้างเรือธรรม มีพระพุทธรูปประทับบนเรือ มีร้านค้าให้ซื้อเสื้อผ้า
หรือใครอยากหิ้วเงินไปทิ้งที่เมียนมาร์ก็ข้ามไปเล่นการพนันที่บ่อนในเมียนมาร์ได้
จากสบรวก ก็วิ่งต่อมาอีก ๑๐ กม. ถึง อ.เชียงแสน ริมแม่น้ำโขง หน้าอำเภอวิวงาม
ๆ หมดไปแล้ว เพราะให้สร้างร้าน สร้างแผงลอยขายผลไม้จากจีนกันเป็นแนวยาวร่วมร้อยเมตร
เพราะเป็นท่าเรือที่ผลไม้จากจีนเช่น แอปเปิล สาลี่ ขึ้นที่เชียงแสนเพื่อล่องไปสู่จังหวัดอื่นต่อไป
ราคาจึงถูกมาก
ร้านอาหารที่ผมชวนชิมไว้ อยู่ริมถนนหน้าอำเภอ ยังอยู่ดี ขยายกิจการ
วัดพระธาตุจอมกิติ ห่างจากตัวอำเภอไปประมาณ ๑.๕ กม. มีโอกาสไปนมัสการพระบรมธาตุของพระพุทธองค์ให้ได้
จะได้เกิดศิริมงคลแก่ตัว
จากเชียงแสน ผมกลับมานอนเชียงราย แล้วเดินทางกลับมาพักที่อุตรดิตถ์ มาพิษณุโลกพอกลับมาถึงกรุงเทพ
ฯ ไปชิมอาหารที่ร้านเคยชิมนานหลายปีมาแล้ว ร้านนี้อยู่ในบริเวณศูนย์การค้าเมโทร
ย่านนี้มีหลายโรงแรมและเป็นอีกย่านหนึ่งที่ฝรั่งจะมาพักกันมาก อาหารจะรสไทยออกหวานนิด
ๆ เช่น
กุ้งแม่น้ำมะขาม เคียงมาด้วยสับปะรด เปรี้ยวอมหวาน ราดหน้าด้วยน้ำมะขาม ต้องสั่ง
ปูกะตอย ปูตัวเล็ก ๆ หากินยาก ชุบแป้งทอด เคี้ยวสนุกนัก
ผัดคะน้าฮ่องกงกับปลาอินทรีเค็ม ผัดแบบร้านโกทิ ที่หัวหิน คะน้าฮ่องกงแต่ปลูกที่เชียงใหม่
ผัดแล้วผักยังสด กรอบ
ปิดท้ายเสียด้วย "ต้มยำกุ้ง" แบบน้ำใส ไม่อร่อยไม่ได้ เดี๋ยวเสียชื่อร้าน
หากอาหารน้อยไป ไม่จุใจ จะสั่งแกงเผ็ดเป็ดย่างมาราดข้าวอีกสักชามก็ไม่ผิดกติกา
ส่วนของหวานมีทั้งไอศริมและผลไม้
.............................................................
|