อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน
![](jason1.jpg)
ก่อนที่จะเล่าเรื่องอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ผมอยากจะขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่ใช้นามว่า
"แฟนต่วยตูน" ที่ได้อ่านพบข้อเขียนของผมที่บอกว่า ผมจำเพลงปลุกใจสมัยที่ผมเองก็ยังเด็ก
ๆ ไม่ได้เป็นเพลงปลุกใจที่ พล.ต.หลวง วิจิตร วาทการ ท่านแต่งให้กับรัฐบาลน่าจะเป็นอย่างนี้
เพราะเพลงเหล่านี้แต่งขึ้นในสมัยที่ "ไทย" ต้องการเรียกร้องดินแดนที่เสียไปนานแล้วกลับคืนมาเป็นของเรา
ในสมัยที่ท่าน จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี คงประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๔
ปลุกใจคนไทยทั้งชาติให้รักในความเป็นไทยและพร้อมใจกันสู้เพื่อชาติบ้านเมือง
ซึ่งสมัยนั้นถ้าใครเกิดทันคงจำกันได้ว่า เวลา ๐๘.๐๐ กับเวลา ๑๘.๐๐ ลมหายใจของคนไทย
แทบจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง หยุดเพื่อให้ร่างกายแสดงท่า "ตรง" เคารพการขึ้นหรือลงของธงชาติไทย
ที่เป็นเอกลักษณ์ของความเป็นเอกราชของไทยที่ ๘๐๐ปีเศษ แล้วยังดำรงความเป็นเอกราชอยู่ได้
ไทยไม่เคยเสียแผ่นดินไปทั้งประเทศจึงเรียกว่าไม่ได้เสียความเป็นเอกราชไป และที่น่าดีใจคือสังเกตว่าเวลานี้หลาย
ๆ จังหวัดในประเทศไทย ยิ่งชนบทห่างไกลยิ่งดี พอเวลาแปดโมงเช้า วิทยุบรรเลงเพลงชาติดังลั่นท้องถนน
"คนไทย เลือดไทย" จะหยุดนิ่งทำความเคารพ การชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา บางแห่งรถหยุดวิ่งด้วย
เพราะไม่หยุดไม่ได้ในเมื่อคนหยุดเดินกันกลางถนนเลย เห็นกับตาก็ที่อำเภอบ้านหมี่
จังหวัดลพบุรี ว่าทั้งรถทั้งคนหยุดนิ่งกันหมด แม้แต่ในเมืองลพบุรี ก็ยังทำไม่ได้ทั้ง
ๆ ที่เมืองลพบุรีสมัยที่ผมอยู่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ นั้นจะหยุดนิ่งตัวแข็งกันทั้งเมืองเลยทีเดียว
ใครที่รักชาติไม่เป็น ก็ไม่ต้องเขียนเล่นงานผมกลับมานะครับ อายุผมมากแล้ว
ความรักชาติบ้านเมือง มันยังไหลวนเวียนอยู่ในตัวของผม ไม่งั้นคงไม่ไปทำงานให้ฟรี
ๆ หรอกครับ
ขอขอบพระคุณ แฟนต่วยตูนที่ส่งเนื้อเพลงปลุกใจสมัยก่อนมาให้ คือ เพลงมณฑลบูรพา
กับเพลงนครจำปาสัก ซึ่งระยะนี้ผมเดินทางตระเวนเข้าไปทั้งในเขมร ลาว และพม่า
การตระเวนพม่าแล้วเอามาเล่าให้ฟัง โดนทหารเรืออ้างว่าเป็นรุ่นพี่ของผม จบจาก
รร.จปร. แต่ไปเป็นทหารเรือ เล่นงานหาว่าผมเป็นนักแก้ประวัติศาสตร์ และท่านผู้นี้ไม่แน่จริง
หากแน่จริงต้องบอกที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์มาให้ผมด้วยจะได้คุยกัน ผมไม่ได้แก้ประวัติศาสตร์
อาศัยเดินทางมาก อ่านมาก ฟังมาก เลยชักจะรู้มากและก็ออกมาเป็นบทวิเคราะห์เท่านั้นไม่ใช่ไปแก้
เช่นเรื่องกองทัพพม่าเผากรุงศรีอยุธยา และเผาพระพุทธรูปทองคำ ลอกเอาทองคำไป
ผมก็วิเคราะห์ว่าพม่านั้นมีหลายเผ่าและไปเห็นมากับตาว่าเผ่าพม่าแท้ ๆ นับถือพุทธศาสนาเคร่งครัดมาก
คนนับถือเคร่งครัดขนาดนี้ ไม่น่าจะมีจิตใจถึงขั้นเผาพระพุทธรูปลอกเอาทองคำไปได้
ผมวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นพวกยะไข่ ในกองทัพพม่ามีทั้งพม่า กะเหรี่ยง ยะไข่มีแน่
มอญ ว้า มีหมด ฯ และแถมยังเป็นทัพที่แม่ทัพคุมมา ไม่ใช่ทัพกษัตริย์ ความเด็ดขาดยิ่งมีน้อย
ห้ามกันไม่ฟัง พวกยะไข่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาน่าจะลงมือเผาพระพุทธรูปเอาทองคำไปพม่า
แต่คงไม่ได้เอาไปหุ้มพระเจดีย์ชเวดากอง เพราะเจดีย์ชเวดากองหุ้มทองมาก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกเรียบร้อยไปแล้ว
ตั้งแต่ ๒๐๐ ปีก่อนกรุงแตก ผมวิเคราะห์ว่าอย่างนี้ ผมจะช่วยขายสินค้าไทยให้พม่า
ช่วยให้ชาวประมง เข้าไปจับปลาในน่านน้ำพม่าได้โดยไม่ถูกจับ ผมวิเคราะห์เพื่อเหตุนี้
หรือที่กำแพงดินเมืองฝาง เขียนไว้ว่าอะแซหวุ่นกี้ตีฝางแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐
ผมก็ขอค้าน บอกว่าอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี เมื่อท่านอะแซ
ฯ อายุ ๗๒ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๘ ที่ชานเมืองพิษณุโลก เมื่อดูตัวแล้วก็บอกว่าให้รักษาตัวไว้ให้ดีนานไปจะได้เป็นกษัตริย์
ก็คือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ดูตัวแล้วให้ทัพไทยถอยไปเสีย ท่านบอกว่าท่านจะตีเอาเมืองพิษณุโลกให้ได้
และก็ตีได้จริง ๆ เมื่อทัพไทยถอยออกไปแล้ว อยู่ก็ไม่ได้ทหารอดข้าวตาย ๒๓๑๘
ท่านอะแซ ฯ อายุ ๗๒ ปี ๒๓๓๐ ท่านอะแซ ฯ อายุ ๘๔ ปี ผมก็คนแข็งแรงคนหนึ่งกล้าพูดเช่นนี้เพราะยังขับรถและเดินทางไปได้ทั่วประเทศ
บางทีก็หลุดออกนอกประเทศไปก็มี ผมอายุยังไม่เท่าท่านอะแซหวุ่นกี้ตอนตีพิษณุโลกด้วยซ้ำ
ผมยังต้องกินยาต่าง ๆ ตลอดเวลา เช่นคุมความดัน คุมน้ำตาลไว้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ถึงขั้นเบาหวาน
เพราะหากน้ำตาลสูงผมไม่ต้องชิมอาหารกัน ยาขยายหลอดเลือดที่เข้าหัวใจ วิตามินต่าง
ๆ ที่ร่างกายคนปูนนี้ต้องขาด กินกันเป็นปิ่นโตยาเลยทีเดียว หมอฟันก็ทันสมัย
หมอตาก็มีแว่นให้ "ผมยังร้อง" แล้วท่านอะแซหวุ่นกี้อายุ ๘๔ อยู่ในสมัยที่ยังไม่มีหมอตา
หมอฟัน วิตามินบำรุง ตับ ไต หัวใจอะไรก็ไม่มี แล้วอายุ ๘๔ ท่านจะยังควงง้าว
รำทวน ขี่ม้ามารบไหวหรือ ผมให้ท่านนอนเปลให้คนหามมา แล้วนอนวางแผนเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่ไหว
เลยไม่ต้องเล่าเรื่องอุทยานแจ้ซ้อนกัน ต้องย้อนขึ้นไปก่อนมี ๒ เรื่อง
เรื่องแรก ผมไปเวียงป่าเป้า มีธุรกิจส่วนตัวที่ต้องทำมาหากิน เพราะบำนาญนั้นน้อยเหลือทนและไม่มีการปรับ
ปล่อยให้อดตายไป วันที่ผมปลดเกษียณนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละไม่เกิน ๑๐ บาท (หมายถึงศูนย์การค้า)
แต่วันนี้ก๋วยเตี๋ยวตามศูนย์อาหารทั้งหลายไม่ต่ำกว่า ๒๐ บาท บำนาญข้าราชการเท่าเดิม
ไปเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรายแล้ว ก็เลยไปที่โรงงานเชียงราย ไวน์เนอรี่
ที่ผมบอกว่าเขาทำไวน์กระชายดำ จากหัวกระชายดำ เป็นไวน์แดง ที่ผลิตจากสมุนไพร
ไวน์กระชายดำ ไวน์กระท้อน ไวน์ลูกยอ ไวน์มะเม่า และไวน์ขาวจากต้นโด่ไม่รู้ล้ม
บอกชื่อก็ตัวแข็งแล้ว ผมก็เป็นโอสถแต่บางวันก็ซดเกินขนาดของโอสถคือซดเข้าไปทั้งขวด
เขาให้กินเป็นโอสถสักวันละ ๒ แก้ว แก้วไวน์เล็ก ๆ ไม่ใช่เอาเหยือกมารินแล้วบอกว่า
๒ แก้วเหมือนกัน ได้ผลดีก็เอามาเขียนเล่าให้ฟัง สาบานได้ว่าไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเขาทั้งสิ้น
นอกจากตอนที่ไปชิมที่โรงงานของเขา ชิมแบบไม่เคยหวังผลตอบแทนเช่นนี้มาตลอดเวลาจึงยืนยงอยู่ในวงการนี้มาครบ
๓๐ ปีเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๔ และเฉพาะต่วยตูนนั้นครบ ๒๕ ปี ตั้งแต่กรกฎาคม ๒๕๔๔ ทีนี้ทางโรงงานเขาหวังดี
จะให้ไปชิมกันสะดวกเขาก็ย้ายที่ชิมไปหน่อย ท่านที่ไปไม่เจอก็โวยวายกลับมาเพราะโทรศัพท์มือถือสมัยนี้ช่วยในการเล่นงานผมได้มาก
ไปยืนรอกินราดหน้าเสฉวนแถวเมืองทองธานี รอนานโต๊ะไม่ว่างสักที คิดไม่ออกโทรมาเล่นงานผมดีกว่า
ผมไม่รู้จะช่วยอย่างไร เลยบอกให้ยืนรอต่อไปแล้วผมก็ปิดโทรศัพท์เสีย เชิญยืนรอตามสบาย
แถวนั้นเขียนไว้ตั้งหลายร้าน โจ๊กร่วมใจก็มี สุโขสโมสรก็ได้ เก็จแก้วก็อร่อย
จะตื้อกินราดหน้าให้ได้ในวันนี้ก็ยืนรอไปก่อนก็แล้วกัน ท่านที่จะไปชิมไวน์ที่โรงงานเชียงรายไวน์เนอรี่หรือสวนเจ้าคุณ
(สวนผลไม้ที่ปลูกเพื่อทำไวน์)ต้องไปจากเชียงใหม่ มุ่งหน้าไปเชียงรายไปทางดอยเสก็ด
ไปผ่านน้ำพุร้อนแม่ขจาน ผ่านอำเภอเวียงป่าเป้า ก่อนถึงอำเภอแม่สรวยให้เลี้ยวซ้ายที่เชิงสะพานตรง
กิโลเมตรประมาณ ๑๒๑ เลี้ยวซ้าย (ปากทางมีป้ายบอก) ไปตามถนนไปตำบลศรีถ้อย เลยไปหน่อยจะพบป้ายแรก
ให้ผ่านเลยไปก่อนอีก ๕๐๐ เมตร พบอีกป้ายจึงเลี้ยวซ้ายเข้าโรงงานไวน์ วิ่งข้ามแม่น้ำไปหน่อยก็จะพบป้ายชี้ทางเข้าโรงงาน
![](jason2.jpg)
ถ้าหากไม่เลี้ยวตามป้ายเพื่อเข้าโรงงาน วิ่งรถต่อไปอีกประมาณ ๘๐๐ เมตร จะพบป้ายทางซ้ายมือบอกว่าไปวัด
"พระเจ้าทองทิพย์" ซึ่งนับว่าอัศจรรย์มาก ที่พระพุทธรูปทองทิพย์เก่าแก่มาก
แล้วอยู่ในเมืองไทยมานานกว่า ๔๐๐ ปี แต่เหมือนอยู่ในป่า ผมซึ่งเดินทางไปทั่วประเทศไม่รู้จักพระพุทธรูปสำคัญ
จึงถือว่าแปลก แต่พอจะรู้จักก็แปลกอีก ยืนชิมไวน์ตาไปพบแผ่นโบชัวร์ ที่มีผู้มีศรัทธาสร้างให้วัดพระเจ้าทองทิพย์วางอยู่บนเคาน์เตอร์
อ่านแล้วก็ไปทันที เลยทางเข้าโรงงานไวน์ไป ๘๐๐ เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายวิ่งข้ามแม่น้ำลาวรวมแล้วประมาณ
๑ กิโลเมตร จะถึงวัดพระเจ้าทองทิพย์ พระพุทธรูปสำคัญองค์นี้อยู่ในโบสถ์ของวัดที่มีชื่อวัดตามนามพระพุทธรูปคือ
พระพุทธรูปทองทิพย์ ประวัติโดยย่อคือ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๔ พระเจ้าเชียงใหม่นาม
พระเจ้าเกษมเกล้า ยกราชธิดาพระนางยอดคำให้ไปเป็นมเหสีของพระเจ้าโพธิสาร ผู้ครองราชสมบัติของกรุงศรีสัตตนาคนหุต
ทั้งสองพระองค์ครองเมืองร่วมกันหลายปีไม่มีโอรสและธิดา ดังนั้นในวันวิสาขบูชา
พากันไปไหว้พระตามประเพณี พระเจ้าโพธิสารจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อพระพุทธรูปทองทิพย์ขอบุตรสืบราชบัลลังก์
ต่อจากนั้นพระนางยอดคำก็ทรงพระครรภ์ และประสูติกาลเป็นโอรส ทรงพระนามว่า ไชยเชษฐา
เมื่อโตขึ้นอายุได้ ๑๕ ปี พระเจ้าตาหรือกษัตริย์เชียงใหม่สวรรคต ทางเชียงใหม่ไม่มีใครครองเมืองจึงมาขอพระไชยเชษฐาไปครองเมืองเชียงใหม่
ก่อนไปพระราชบิดาคือ พระเจ้าโพธิสารบอกให้นำพระพุทธรูปที่เสมือนให้ชีวิตท่านมาไปด้วย
คือพระพุทธรูปทองทิพย์ เมื่อพระไชยเชษฐาออกเดินทางไปก็ไปทางเรือ ไปตามลำน้ำแม่โขง
เข้าแม่น้ำกกแล้วมาเข้าแม่น้ำลาว เพื่อไปต่อทางบก เดินทางไปเชียงใหม่ แต่พอเรือพระที่นั่งผ่านมายังที่ตั้งของวัดพระเจ้าทองทิพย์ทุกวันนี้
เรือไม่ยอมไป ทำอย่างไรก็ไม่ไปจึงต้องนิมนต์พระพุทธรูปทองทิพย์ขึ้นจากเรือ
เรือจึงยอมไป ไปครองเมืองเชียงใหม่ได้ ๒ ปี พระเจ้าโพธิสารสวรรคต ทางล้านช้างก็ขอให้กลับไปครองเมือง
(หลวงพระบางคือเมืองหลวง) ท่านก็กลับไปและตอนไปไม่แน่ใจว่าจะเป็นกษัตริย์
๒ แผ่นดินได้หรือไม่ จึงนำพระแก้วมรกตจากวัดเจดีย์หลวง พระเสตังมณี หรือพระแก้วขาวจากวัดเชียงมั่น
พระพุทธสิหิงค์ นำไปลาวด้วย (แต่ทุกองค์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงนำกลับมาได้ทั้งหมด
แถมด้วยพระบาง ซึ่งคืนกลับไปเมื่อ ร.๒ ครองราชย์) ตอนพระไชยเชษฐากลับไปนี้ก็ไม่กล้านำพระพุทธรูปทองทิพย์กลับไปด้วย
คงให้อยู่ที่ตรงนั้นแต่สร้างมณฑปไว้ให้ จากนั้นมาอีกนับร้อยปีจน พ.ศ. ๒๓๖๘
ครูบายาโณ จึงเริ่มสร้างวัด และต่อมามีการบูรณะอีกหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๐๖ ไปไม่ถูกลองโทรติดต่อดูที่ ๐๕๓ ๗๐๘๒๒๗ ส่วนโรงงานไวน์นั้นหากยังไปไม่ไหวแต่อยากจะชิมไวน์ก็ซื้อเอาที่จัสโก้
หรือฟู๊ดแลนด์
ใครไม่มีบุตร ลองไปบนบานหลวงพ่อทองทิพย์ดูบ้างก็ได้ มีเหรียญให้เช่าด้วย ราคา
๓๙ บาท หรือตามศรัทธา ไม่ทราบหมดแล้วหรือยัง เพราะวันที่ผมไปเหลืออีกเพียง
๖๐๐ เหรียญ ผมเช่าบูชาเอามาแจกกันก็หลายเหรียญอย่าเผลอขอมาที่ผมก็แล้วกัน
หมดแล้วครับ
จากวัดพระเจ้าทองทิพย์ ผมจึงมาอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เพื่อมาชมดอกเสี้ยวบาน
และก่อนที่จะพ้นอำเภอแม่สรวยมาได้ผมก็ย้อนขึ้นไปอีกประมาณ ๑๕ กิโลเมตร ไปที่สวนจริณ
ซึ่งอยู่เลยอำเภอไปสัก ๕ กิโลเมตร ไปชมดอกโกลด์เด้นท์ทรัมเปต ที่ผมเรียกว่า
โคมคำ ซึ่งจะบานในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงกลางเดือนมีนาคม ดอกจะเป็นสีทองบานเต็มต้น
ใกล้ ๆ กันมีบานเป็นสีชมพูทั้งต้น ที่นี่ต้นโตมาก จะไม่มีใบเลย งามสุดพรรณนา
จากอำเภอแม่สรวย หากมาทางเวียงป่าเป้าแล้วเลี้ยวซ้ายไปอำเภอวังเหนือ แล้วเลี้ยวขวาลงมายังอำเภอแจ้ห่ม
ก่อนถึงอำเภอแจ้ห่มเลี้ยวขวา ไปทางอำเภอเมืองปาน ก็จะเข้าไปยังแจ้ซ้อนได้
แต่ผมไปจากเชียงใหม่จึงมาเข้าที่อำเภอห้างฉัตร แล้วไปอำเภอเมืองปาน ไปแจ้ซ้อน
แต่หากมาจากลำปาง ไปจากตัวเมืองลำปาง ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำวัง สะพานรัษฎา ไปสัก
๑๐ กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไป ๕๘ กิโลเมตร จะถึงสามแยก ตรงนี้ให้เลี้ยวซ้ายไป
๓ กิโลเมตร เข้าเมืองปาน "กินข้าว" หากไม่กินข้าวจะไปเลยก็เลี้ยวขวาไปอีกประมาณ
๙ กิโลเมตร อ่านตามป้ายไปก็จะถึงอุทยานแจ้ซ้อน ที่นับว่าประหลาดอีกแห่งหนึ่งคือ
น้ำพุร้อน จะบรรจบกับน้ำตกลงมาเย็นเจี๊ยบกลายเป็นแอ่งน้ำอุ่น
อาหารกลางวัน จากตรงสามแยกเลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอเมืองปานไป ๓ กิโลเมตร ทางขวามือร้านก๋วยเตี๋ยวสูตรนายอำเภอ
เขายกป้ายไว้อย่างนี้ ถามไถ่ได้ความว่านายอำเภอท่านที่เป็นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕
มากินก๋วยเตี๋ยวแทบทุกวันแล้วสั่งสูตรเดิมทุกวันไป เลยใช้เอกลักษณ์ของร้านว่าก๋วยเตี๋ยวสูตรนายอำเภอ
ทั้ง ๆ ที่นายอำเภอย้ายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบ ร้านนี้มี ๒ ห้อง มีด้านหลังอีกเป็นร้านชาวบ้านธรรมดา
ๆ แบบโชห่วยเต็มตัว จะไปทำบุญเข้าร้านเดียวได้หมดตั้งแต่เครื่องสังฆทานยันอาหารถวายพระ
ลองสั่งมาชิมก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำใสเส้นใหญ่ น้ำซุปเด็ดนัก มีลูกชิ้นด้วย ลาบเมืองเป็นลาบหมูคั่วสุก
อร่อยอีก ยำไส้ตันจานนี้เด็ด คิดถึงยามเย็นขึ้นมาทันทีจะได้ซดตามไปด้วย เห็นโต๊ะข้าง
ๆ เขาสั่งแกงอ่อม แล้วสั่งข้าวนึ่งเอามาจิ้มแกงอ่อมเลยเอาอย่างบ้าง อร่อยทุกอย่าง
ปิดท้ายด้วยไอสกรีมช๊อคชิพ กินกันกลางป่าเลยทีเดียว
จบแล้วย้อนกลับมาถึงสามแยก ตรงต่อไปหน่อยก็มีป้ายบอกให้เลี้ยวซ้ายไปอีก ๙
กิโลเมตร ก็จะเข้าอุทยานแจ้ซ้อน เสียค่าบำรุงอุทยานค่ารถคันละ ๓๐ บาท รวมทั้งคนขับ
คนนั่งคนละ ๒๐ บาท วิ่งตรงเรื่อยไปตามป้ายไปจนถึงสำนักงาน โดยผ่านศูนย์บริการการท่องเที่ยวไปก่อน
พอขอเอกสารได้ที่สำนักงานจองที่พักมีหลายราคา หากไปกันหลายคนจะถูกมากเช่นหลังที่ผมพัก
พักได้ ๕ คน ที่นอนปูกับพื้น ๕ ที่ ห้องน้ำห้องเดียว ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใด
ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่แก้วน้ำสักใบก็ไม่มี ราคาคืนละ ๖๐๐ บาท ไป ๒ คนแพงไป ไป
๕ คนจะถูกมากและทุกหลังก็จะเป็นแบบนี้คือบ้านมองดูจากภายนอกสวย หลังโตนอนได้หลายคน
ถือว่าพักในป่าจะมาหาความสะดวกอะไรกันนักกันหนา แต่อยากให้มีแก้วน้ำ มีน้ำดื่มให้ด้วย
เพราะหากมาถึงค่ำแล้วไม่มีน้ำดื่ม ไม่ได้นำน้ำดื่มมาจะอดไปทั้งคืน ส่วนผมนักเดินทางผมมีน้ำติดรถเป็นประจำ
แก้วน้ำของผมมีพร้อมจึงไม่สู้จะเดือดร้อนนัก และชำรุดเสียหายน่าจะตรวจซ่อมกันเป็นประจำ
แต่ที่นี่ไม่มี รับเงินแล้วก็ไปเปิดห้องไว้ให้เรา กลับมามืดแล้วไม่มีเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานเลย
แต่ยังดีที่เปิดบ้านพักไว้ให้ สายฉีดน้ำไม่มี สายฝักบัวรั่วเปิดน้ำไม่ลงตัวไปลงที่อื่นแทน
และข้อสำคัญในป่าอุทยานยังมีสัตว์จำนวนมาก ประตูปิดให้สนิทไม่ได้ นอนตื่นขึ้นมาดึก
ๆ ต้องค่อย ๆ แง้มตาดูว่าคนข้าง ๆ ยังอยู่หรืองูกินเรียบร้อยไปแล้ว รีสอร์ทที่อยู่หน้าทางเข้าอุทยานราคา
๓๐๐ บาท ไม่รู้ว่าต่อคนหรือต่อห้อง พักที่รีสอร์ทริมธารน้ำน่าจะสะดวกกว่า
ได้ธรรมชาติของป่าเช่นกัน
ผมตั้งใจจะไปดูดอกเสี้ยวบาน เพราะในปลายเดือนกุมภาพันธ์ จะมีเทศกาลดอกเสี้ยวบานของลำปาง
ซึ่งจะต้องผ่านอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนแห่งนี้ไปอีก ๙ กิโลเมตร โดยประมาณ จะถึงลานที่ชมดอกเสี้ยวบาน
และหากต่อไปอีก ๓ กิโลเมตร จะถึงหมู่บ้านป่าเหมี้ยง ซึ่งเป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกันตนเอง
ไม่น่าเชื่อจะมีหมู่บ้านกลางป่าที่ทันสมัยถึงขั้นนี้ "โฮมสเตย์" ให้เช่าพักนอนคืนละ
๑๐๐ บาท ต่อคน หากให้ทำอาหารให้ด้วยก็ได้คิดสตางค์เพิ่มอีกไม่มากนัก ตั้งใจว่าจะหาโอกาสไปพักที่หมู่บ้านแห่งนี้
![](jason3.jpg)
อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอเมืองปาน และอำเภอเมืองจังหวัดลำปาง
มีพื้นที่ ๔๘๐,๐๐๐ ไร่ กำหนดว่าพื้นที่ในป่าบริเวณป่าแม่สุก ป่าแม่สอย ป่าแม่ตุ๋ยฝั่งซ้าย
ป่าแม่ตุ๋ยฝั่งขวาในอำเภอแจ้ห่ม ในเขตอำเภอเมืองปาน และอำเภอเมืองลำปาง เป็นอุทยานแห่งชาติ
ประกาศมาตั้งแต่วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๓๑ เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ ๕๘ ของประเทศ
เป็นวนอุทยานน้ำอุ่น และวนอุทยานน้ำตกแจ้ซ้อน มีลานน้ำร้อนหรือน้ำอุ่น ข้าง
ๆ ศูนย์ท่องเที่ยวมีบ่อน้ำร้อน ๙ บ่อ อุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง ๗๓ - ๘๒ องศาเซ็นเซียส
บ่อที่ร้อนที่สุด(ปักป้ายไว้) จะต้มไข่ไก่ให้ไข่แดงแข็งไข่ขาวข้นได้ภายในเวลา
๑๗ นาที ครบกำหนดแล้วให้เอาขึ้นมาเป็นอาหารมื้อเย็นด้วยการเตรียม เกลือ มะนาว
น้ำตาล พริกขี้หนู หอมแดงไปด้วย ยำแล้วจะเหมือนยำไข่จาระเม็ดทีเดียว
ส่วนวนอุทยานน้ำตกแจ้ซ้อนนั้นมีน้ำตกตลอดปี และอยู่เหนือธารน้ำร้อนขึ้นไป
ฤดูฝนจะสวยมาก น้ำจะไหลลงมาแรง และธารน้ำเย็นแห่งนี้จะไหลลงมารวมกับธารน้ำร้อน
ซึ่งตรงใกล้ ๆ กันนี้มีห้องอาบน้ำแร่เยี่ยมมาก ภายในอุทยานมีน้ำตกแจ้ซ้อนที่เกิดจากแม่น้ำมอน
น้ำตกแม่มอน น้ำตกแม่ชุน น้ำตกแม่เปียก บ่อน้ำพุร้อน แอ่งน้ำอุ่น ห้องอาบน้ำแร่
และมีถ้ำผางามอยู่ใกล้หน่วยพิทักษ์อุทยานที่ ๗ และมีห้องพักซึ่งจะติดต่อได้ที่
โทร ๐๕๔ ๒๒๙๐๐๐ (ในเวลาราชการคงจะติดต่อได้) และ ๐ ๒๒๕๗๙๕๗๓๔
ที่ศูนย์การท่องเที่ยว ไปขอเอกสารได้และผมถามถึงทิศทางไปชมดอกเสี้ยว เขาบอกว่าต้องไปที่บ้านป่าเหมี้ยง
ที่อยู่ไกลออกไปอีก ๙ กิโลเมตร และต้องไปตามถนนที่คดเคี้ยวไปบนเขาหักเป็นศอกเลยทีเดียว
เขาไปกันโดยรถโฟร์วีล รถกระป๋องของคุณลุงไปไม่ได้แน่นอน ผมก็ยิ้มเสียแล้วก็ขับรถกระป๋องไปกัน
๒ คน ก็พระพุทธบาทสี่รอยที่ อำเภอแม่ริม เชียงใหม่ยังขึ้นมาแล้ว ทำไมจะขึ้นที่นี่ไม่ได้
เปลี่ยนเกียร์เสียก่อนรถจะหมดกำลัง แม้จะเป็นรถเกียร์อัตโนมัตก็เปลี่ยนได้
จึงขึ้นไปถึงลานชมดอกเสี้ยวด้วยความสบาย ไปถึงพ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านที่เกิดมาไม่เคยพบกันวิ่งมาต้อนรับเลยทีเดียว
คงนึกว่าตาลุงนี่แกหลุดขึ้นมาได้อย่างไร และบอกเรื่องโฮมสเตย์ เรื่องการจัดงาน
ยืนชมดอกเสี้ยวที่ดอกบานเต็มทั้งต้น ไม่มีใบเลย ดอกสีขาวแต่เกสรสีม่วงงดงามสมกับที่บากบั่นขึ้นมาบนนี้
พ่อหลวงแนะนำว่ามีร้านสวัสดิการของหมู่บ้าน แม่บ้านขึ้นมาช่วยกันทำอาหารขาย
(ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร) ผมก็ไปดูอาหารที่เขาทำกัน พอมองเห็นไส้อั่วเข้าเท่านั้นก็ลงมติด้วยคะแนน
๒ใน ๒ ทันทีว่าอร่อยแน่ ถามดูบอกว่าเป็นไส้อั่วเห็ดหอม แปลกอร่อยจึงเหมาหมดได้มาครึ่งกิโล
มีข้าวอบน่องไก่ซื้อมา ๑ ห่อ เขาเสนอยำใบเมี่ยง เอาใบเมี่ยงค่อนข้างเปรี้ยวมายำกับปลากระป๋องรสชาติแจ่มแจ๋ว
ถามว่าไม่ใช่เทศกาลอยากกินทำอย่างไร แม่บ้านทั้งหลายบอกว่าให้ลงไปที่หมู่บ้าน
มีร้านสหกรณ์ของหมู่บ้านทำขายตลอดปี หรือไปพักที่หมู่บ้านได้ยิ่งดีได้กินอาหารพื้นบ้านอร่อย
ๆ ชักรูปเอาไว้เป็นหลักฐานว่าร้านสวัสดิการบนยอดเขาแห่งนี้ได้มาชิมแล้ว ต่อจากนั้นก็ลงไปยังหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านสะอาดน่ามาพักร่วมกับเขาในรูปของ
"โฮมสเตย์ " พ่อหลวงทันสมัยมากจึงใช้ศัพท์นี้มาบอกผม จบแล้วตอนจะกลับยังบอกอีกว่าก่อนถึงลานชมดอกเสี้ยวมีทางเดินเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ขึ้นไปยังดอยพระพุทธบาทได้ ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมง ผมหมดแรงเสียก่อนและใกล้ค่ำแล้วด้วยเลยผลัดเอาไว้ก่อน
ได้แต่แนะนำว่าให้ทำทางให้ดีให้ปลอดภัยผมจะไปแนะให้เขาเดินเที่ยวกัน เดินในอุทยาน
แค่ชมนกนานาชนิดก็สุดจะคุ้มค่าแล้ว
อาหารเย็น ในบ้านพัก เอาใบตองมารองอาหารที่ซื้อจากแม่บ้าน คือไส้อั่ว ข้าวอบน่องไก่
ยำใบเมี่ยง ผมมีหมูทอด และน้ำพริกหนุ่มที่ซื้อมาจากเชียงใหม่มาด้วย ข้าวนึ่งก็มี
ใช้มือเป็นพาหะแม้อาหารจะเย็นไม่ได้อุ่นด้วย เครื่องมือชนิดใดก็ไม่มีแต่ยังอร่อยมาก
ปิดท้ายด้วยลำใยที่ซื้อมาจากข้างทางแถวลำพูน ลำใยนอกฤดูใช้โปรแตสเซียมในเตรดนี่ออกลูกหวานฉ่ำตลอดปี
อย่าให้ระเบิดขึ้นมาก็แล้วกัน
ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทั้งในกรุงเทพ ฯ และภูเก็ตที่ส่งเพลงมณฑลบูรพา และเพลงนครจำปาสักมาให้
เพื่อให้ได้อ่านกันทั่วประเทศไปเลย ผมจะนำลงเผยแพร่ใน ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์
ในหน้า ๖ ครับ
----------------------------------
|