ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหมอกจ๋าม
ผมจะพาท่านผู้อ่านไปกินอาหารของชาวไทยลื้อ
ซึ่งอยู่ที่บ้านวังไผ่า ชุมชนวังไผ่ทั้งหมู่บ้านนี้เป็นชาวไทยลื้อ ที่อพยพมาจากดินแดนสิบสองปันนา
ในประเทศจีน และเข้ามาอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลานานแล้ว
แต่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย แต่โชคดีที่บ้านวังไผ่ ที่พวกชาวไทยลื้อสิบสองปันนาอยู่อาศัยนี้
อยู่ในการพัฒนาของโครงการหลวงที่ชื่อ โครงการคือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหมอกจ๋าม
เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่กว่าบ้านวังไผ่ สองหมู่บ้านนี้อยู่ติดกัน น่าเสียดายที่ทางราชการยังไม่พิจารณา
ให้ชุมชนวังไผ่ได้รับสัญชาติไทย เขาอยู่มานานจนกลายเป็นคนไทยไปแล้ว หากเขาได้รับสัญชาติไทย
เป็นคนไทยเต็มตัว เขาก็จะเสมือนรั้วตามแนวชายแดน พวกเขาเข้ามาอยู่โดยอพยพเดินเร่ร่อน
กันมาจากสิบสองปันนาใช้เวลาเดินหลายวัน แล้วมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ริมน้ำแม่กก
อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จนกลายเป็นคนไทยไปทั้งหมู่บ้าน ที่พวกเขาขาดคือ
สัญชาติไทย ลูกหลานที่เกิดมารุ่นใหม่ได้สัญชาติไทย เพราะเกิดในแผ่นดินไทย
แต่ไม่สมบูรณ์เพราะพ่อแม่ เข้าเมืองไทยอย่างไม่ถูกกฎหมาย และยังไม่ได้สัญชาติไม่มีหน่วยงานราชการ
ที่คอยติดตามเรื่องสัญชาติให้พวกเขา ไม่เหมือนพวก "จคม." หรืออดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์
มาลายา (สายรัสเซีย) ที่อำเภอเบตง, บันนังสตาร์ และสะเดา พวกนี้ออกมาเพราะถูกกองทัพภาคที่
๔ ส่วนหน้ากดดัน ปิดล้อม ให้ลำบาก อดอยาก จนในที่สุด ก็ต้องยอมมาเจรจากับผม
ซึ่งทำหน้าที่แม่ทัพภาคที่ ๔ ส่วนหน้า เมื่อพาเขาออกมามอบตัว เมื่อ ๒๘ เมษายน
๒๕๓๐ แล้ว เราก็ให้ความสะดวกต่อพวกเขา ให้อาชีพ ให้ทุนเบื้องต้นและเมื่อถึงเวลาอันควร
ก็ขอสัญชาติให้ ผมเกาะติดเรื่องสัญชาติของพวก จคม. ตั้งแต่รับราชการ จนผมปลดเกษียณ์ไปแล้วก็ยังติดตามเรื่องอยู่
จนในที่สุด ๒๐ ปี พวก จมค. จึงได้รับสัญชาติไทยเมื่อ มกราคม ๒๕๔๙ นี้เอง ส่วนพวกไทยลื้อที่บ้านวังไผ่
ไม่มีหน่วยงานใด หรือผู้ใดเกาะติดเรื่องให้พวกเขาจึงได้แต่คอย และเมื่อดูสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาแล้ว
ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะพิจารณา ให้สัญชาติไทยแก่ไทยลื้อกลุ่มบ้านวังไผ่นี้
ซึ่งมีอยู่เพียง ๔๒ ครัวเรือน ประชากร ๒๗๙ คน เราจะได้รั้วบ้านที่มั่นคง และเป็นหูเป็นตาให้เรา
โดยเฉพาะการต่อต้านยาเสพติด ที่มีโอกาสที่จะเข้ามาทางด้านนี้ "หากรั้วของเราไม่มั่นคง"
ผมเดินทางไปจากกรุงเทพ ฯ ไปกันหลายคน เลยเช่ารถตู้ไป ท่านที่ปรึกษาของโครงการหลวง
ท่านเชิญให้ผมไปดูความเป็นอยู่ของพวกไทยลื้อจากสิบสองปันนา ที่บ้านวังไผ่
และขึ้นไปดูพวกชาวเขาเผ่าปะหล่อง ที่บ้านนอแล
บนดอยอ่างขาง ซึ่งพวกปะหล่องนั้น เคยไปดูมาแล้วครั้งหนึ่ง
จากกรุงเทพ ฯ มาพักนอนที่เชียงใหม่หนึ่งคืน จากตัวเมืองเชียงใหม่ ก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือ
ผ่านอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง อำเภอเชียงดาว ซึ่งช่วงนี้ของถนนสาย ๑๐๗ กำลังขยายถนนคงจะเสร็จในปี
๒๕๕๐ นี้ ก่อนถึงตัวอำเภอเชียงดาว จะมีทางเลี่ยงเมืองไปได้เลย แต่หากหิวข้าวขอแนะร้านขาหมู
ร้านเก่าแก่กว่าห้าสิบปี เข้าตัวอำเภอแล้ว จะอยู่ทางซ้ายมือ ตรงข้ามร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์
แต่วันนี้ยังไม่หิว จะเก็บพุงเอาไว้ไปใส่อาหารไทยลื้อ เข้าสายเลี่ยงเมืองเชียงดาวมาแล้ว
กม.๔ จะมีทางแยกซ้ายไปยังวัดถ้าเชียงดาว
ที่เคยมีพระเกจิอาจารย์สำคัญจำพรรษาอยู่ เมื่อถนนมาบรรจบกับสาย ๑๐๗ ใหม่ วิ่งต่อไปจนถึง
กม.๗๘.๕ มีทางแยกซ้ายเข้าถนน ๑๑๗๘ ถนนสายนี้ จะไปยังเมืองงาย
ที่ตั้งพระสถูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เลยเมืองงาย ไปหน่อยจะมีทางแยกซ้ายไปยังอำเภอเวียงแหง และหากไม่เลี้ยวตรงต่อไป
ก็จะไปถึงทางแยกขวาที่บ้านอรุโณทัย เป็นเส้นทางที่จะขึ้นไปยังยอดดอยอ่างขาง
ได้อีกเส้นทางหนึ่ง ปกติผมขึ้นอ่างขางในระยะหลัง ๆ นี้ถนนดีแล้ว ผมจะขึ้นทางถนนสายนี้เพราะจะมีความชัน
และคดเคี้ยวน้อยกว่าขึ้นทางด้านหน้าจาก อ.ฝาง ระยะทางจากเชียงดาว ใกล้เคียงกันประมาณ
๘๑ กม. พอวันกลับลงเขาก็จะลงทางด้านหน้ามาบรรจบกับสาย ๑๐๗ ได้เห็นภูมิประเทศที่แปลกตาไม่ซ้ำกัน แต่วันนี้จะไปบ้านวังไผ่ก่อน ไม่ซ้ำเส้นทางเดิม
จึงวิ่งเลยทางแยกไปเมืองงาย
ตรงไปตามถนน ๑๐๗ จนถึง กม.๙๕ ทางขวามือริมอ่างเก็บน้ำที่สวยเย็นตา เย็นใจ
เป็นที่ตั้งของ "ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก"
ควรแก่การพักผ่อนเพราะเดินทางจากเชียงใหม่มาแล้ว ๙๕ กม. แต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง
เพราะจากแม่แตงถนนจะขึ้นเขา และทางกำลังก่อสร้างด้วย ที่ศูนย์พัฒนาแห่งนี้
เดี๋ยวนี้ทำดีมาก มีร้านแบบเซฟเว่น ให้ซื้อสินค้ากระจุก กระจิกได้ มีร้านอาหารใครจะกินก็ซื้อคูปอง
เอาไปซื้ออาหาร เท่าที่สำรวจมี ข้าวแกง ท่าทางดี ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว กาแฟสด
ชา อาฆาตเอาไว้ก่อน วันหลังจะมาชิม มีร้านขายของดอยคำ มีอาหารปลาซื้อไปโยนให้ปลาในอ่างเก็บน้ำ
จากศูนย์พัฒนา ฯ วิ่งต่อไปพอข้ามสะพานห้วยลึก จะมีตลาดผลไม้ ให้จับจ่ายกัน
กม. ๑๑๘ หากเลี้ยวขวาเข้าไป จะเข้าไปในไร่องุ่น
กม. ๑๓๗ ปากทางที่จะเลี้ยวซ้ายขึ้นไปยังดอยอ่างขาง
ที่ผมแนะว่าไปอ่างขางลงทางนี้ขึ้นทางเชียงดาว ก่อนเข้าตัวอำเภอฝาง จะมีทางเลี่ยงเมืองไปยังอำเภอแม่อายได้เลย
แต่วันนี้ขาไปอยากวิ่งผ่านตลาดฝาง เพราะไม่ได้แวะเข้าไปนานแล้ว มีร้านอาหารอร่อยชวนชิมไว้ร้านหนึ่ง
อยู่ทางขวามือเยื้อง ๆ กับวัด ฝางมีที่เที่ยวสำคัญคือ บ่อน้ำร้อนฝาง,
อนุสาวรีย์พระเจ้าฝาง
และพระนางสามผิว
(ทุกวันสีผิว จะเปลี่ยนไปตามเวลา) กำแพงเมืองเก่า
ที่เคยปักป้ายเอาไว้ว่า อะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาตีได้ฝาง เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๐ ผมเคยเขียนค้านไป
เพราะอะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี ที่เมืองพิษณุโลก และทำนายว่าต่อไปจะได้เป็นกษัตริย์
ตอนนั้ พ.ศ.๒๓๑๘ แกอายุ ๗๒ ปี ดังนั้น ๒๓๓๐ แกต้องอายุ ๘๔ ปี ผมเป็นทหารแท้ที่แข็งแรงมากคนหนึ่ง
อีกหลายปีกว่าจะอายุ ๘๔ ยังรู้สึกว่าร่างกายทรุดโทรมลงไปแยะ ท่านอะแซอายุ
๘๔ ในยุคที่ไม่มีหมอหัวใจ หอมฟัน ฯ ผมท้าให้แกไม่ต้องขี่ม้าถือทวนให้แกนอนเปลมีคนหามแล้วนอนกอดทวนมาคงตายเสียก่อน
ระยะทางจากอังวะมาฝางประมาณ ๓๐๐ กม. ไม่ทราบว่าเขาแก้ที่ป้าย หรือยังว่าเป็นแม่ทัพอีกคนมายึดฝาง
เพื่อเตรียมเสบียงไว้รอทัพใหญ่ จาก อ.ฝาง (ก่อนถึงฝาง ๔ กม.มีทางแยกขวาไป
อ.แม่สรวยได้) ไปอีก ๒๔ กม.จะถึงตำบลท่าดอนที่อยู่ริมแม่น้ำกก ท่าดอนเจริญมาก
มีเรือล่องไปยัง อ.เมืองเชียงรายได้ ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำกกตรงต่อไปฝั่งซ้ายที่
กม.๒๙ เที่ยวกลับน่าแวะคือ สวนส้มธนาทร ชมชิมส้ม ชมสวนที่ส้มออกลูกเต็มต้น
ถนนจากฝางไปแม่อาย ท่าตอน เรื่อยไปจนถึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ถนนดี สองเลน
ราดยางดีตลอดสาย
กม.๓๖.๕ มีทางแยกขวาเข้าถนนในหมู่บ้าน วิ่งมุ่งหน้าสู่ภูเขาผ่าน "บ้านหมอกจ๋าม"
เลยไปอีกประมาณ ๕ กม.ก็จะถึงชุมชนวังไผ่ หมู่บ้านที่อยู่ริมแม่น้ำกก บริเวณบ้านสะอาดตา
มีพ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านที่ยกย่องกันเอง ไม่ใช่ทางราชการตั้งเป็นผู้นำ ชุมชนนี้เป็นชาวไทยลื้อทั้งหมู่บ้าน
อพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนา เมืองยอง มาแม่สาย แล้วมาปักหลักที่ตำบลท่าตอน
บ้านวังไผ่ ตั้งเป็นหมู่บ้านมานาน ๓๓ ปีแล้ว (พ.ศ.๒๕๕๐) นับบถือศาสนาพุทธ
การศึกษาส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือร้อยละ ๗๐ รองลงมาร้อยละ ๒๐.๕ ระดับประถมศึกษา
ระดับมัธยมร้อยละ ๙.๕ ประกอบอาชีพการเกษตรแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ รับจ้างและทอผ้า
ส่วนที่บ้านหมอกจ๋ามมีอีกอาชีพคือ เจียระไนพลอย ไม่มีโรงเรียน มีศาลาเล็ก
ๆ มีครูอาสามาจากเชียงราย จากตำบลเดียวกับครูจูหลิง สอนหนังสือให้เด็ก ไม่มีเงินเดือนประจำ
นักเรียนไม่มีสัญชาติถูกต้อง จึงไปเรียนต่อระดับสูง ๆ ไม่ได้ โครงการหลวงได้เข้ามาทำโครงการให้พึ่งพาตนเอง
"เน้นเศรษฐกิจพอเพียง" มีเงินทุนจากโครงการวิจัยโครงการหลวง ในหมู่บ้านนี้มีเพียง
๕ หลังคาเรือนที่นับถือศาสนาคริสต์ นอกนั้นนับถือศาสนาพุทธ เด็ก ๆ รู้จักการเก็บขยะเพื่อคัดเลือกเอาไปขาย
ให้พ่อค้าที่มารับซื้อเช่นขวดเป็นต้น ช่วยให้หมู่บ้านสะอาดตา
ในฤดูแล้ง น้ำในแม่น้ำจะน้อย แต่ริมฝั่งธรรมชาติจะสวยมากเพราะหินก้อนโต ๆ
จะโผล่ขึ้นมา มีน้ำไหลผ่าน จะไหลไปทางเชียงราย ฤดูฝนน้ำมาก ไหลเชี่ยวจะล่องแก่งไปเชียงรายได้
พ่อหลวงคาที่ทำหน้าที่ผู้นำของหมู่บ้าน กำลังพยายามส่งเสริมให้บ้านพักของพวกเขาทำเป็นสะเดย์
เวลานี้ทำได้แล้ว ๗ หลังคาเรือน ผมไปดูแล้วสะอาดมาก มีคนมาพักน้อยเพราะไม่มีใครแนะนำ
ผมจึงขอแนะนำชักชวน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวยิ่งดี ที่พักดี สะอาด ธรรมชาติสวยมาก
ได้เห็นบ้านช่องแบบไทยลื้อสิบสองปันนา
ได้เห็นประเพณีของเขา ได้กินอาหารไทยลื้อแบบสิบสองปันนาแท้ ซึ่งผมกำลังจะไปไปชิม
เขารับรองว่าอาหารของเขาคงรสของสิบสองปันนาไว้ทุกประการ บ้านก็แบบไทยลื้อ
ความเป็นอยู่ก็ลื้อ อาหารก็ลื้อ
ท่านที่สนใจจะพัก เช่นไปเที่ยวเชียงใหม่แล้วจะไปเชียงรายต่อ ทดลองไปตามเส้นทางเชียงดาว
ฝาง แม่อาย แวะเที่ยวตามทางมาเรื่อย ๆ แล้วมาพักที่ "บ้านวังไผ่" เสียคืนหนึ่งจะสุขใจอย่างยิ่ง
การมาพักโทรติดต่อพ่อหลวง "คา" ๐๘๕ ๗๑๓ ๖๐๓๕ ค่าที่พักผมกำหนดราคาให้เขาเอง
และบอกเขาว่าต้องทำอาหารแบบที่ทำให้ผมกิน (พวกผมจ่ายเงินให้เขาทำอาหารไทยลื้อให้)
มีการแสดงของสาวชาวบ้านด้วย ให้คิดเงินคนละ ๓๐๐ บาท สำหรับพัก ๑ คืน อาหาร
๒ มื้อ เย็นและเช้า หรือใครไม่อยากพัก อยากไปเชียงรายเลย (อ.แม่จัน จะผ่านทางแยกซ้ายขึ้นดอยแม่สลอง)
แต่อยากกินอาหารไทยลื้อ ก็ติดต่อพ่อหลวงคา ให้เขาจัดอาหารกลางวันให้ ราคาผมไม่ได้กำหนดไว้
ก็น่าจะไม่เกินหัวละ ๑๐๐ บาท ใกล้ ๆ ทางเข้าหมู่บ้านมีรีสอร์ทไม่ได้เข้าไปดู
แต่ผมว่านอนบ้านไทยลื้อดีกว่า ได้บรรยากาศดี ๓๐๐ บาท กิน นอน ชมการแสดงด้วย
ชาวบ้านเอาดนตรี มีเครื่องดนตรี ๕ ชิ้น มีกลอง ไวโอลิน กีตาร์ อีกชิ้นเรียกไม่ถูกเหมือนระนาด
กลองก็ตามแบบของเขาเหมือนวตะโพนใบหนึ่ง กลองเล็กอีกใบหนึ่ง เริ่มบรรเลงตอนที่มาถึง
ตอนกินข้าวและฟ้อน มีทั้งเด็กฟ้อน สาวฟ้อน สาว ๆ ไทยลื้อหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่
ผิวขาว ผิดกับชาวเขาทั่วไป ทางแยกเข้าบ้านหมอกจ๋าม ห่างจากตัวตำบลท่าตอน ๑๖
กม.
มาชิมอาหารไทยลื้อ สิบสองปันนาดูบ้าง เขารับรองว่าเหมือนที่สิบสองปันนาทุกประการ
ลาบหมู เขาเลี้ยงหมูเอง ทำอาหารสะอาดน่ากิน ลักษณะลาบเหมือนลาบเมืองเหนือ
ลาบสุกมีผักมาให้ทั้งผักสดและผักลวก เจอลาบของเขาจานแรกก็แทบอิ่มด้วยความตะกละ
แกงผักกาด คล้าย ๆ แกงจอของเชียงใหม่ แต่ไม่มีรสเปรี้ยว รสค่อนข้างจืด พยายามอุ่นร้อน
ๆ
ปลาดุกย่างสิบสองปันนา ปลายัดไส้พริก หอม กระเทียม ขิง ยัดใส่แล้วพับปลาทับไว้
มีผักชี ผักกวางตุ้ง ผักกาดพื้นเมืองใส่จานมาให้
ยำบุก เอาหัวบุกมาหั่นแบบยำหนังหมู กินเล่น กินจริงดีหมด กินแกล้มยิ่งดี
ไก่อบ ๑๒ ปันนา มีน้ำซุปมาให้ด้วย รสชาติดี ไก่เนื้อนุ่ม สีขาวน่ากิน เนื้อนอกเกรียม
ข้าวเกรียบบุก จานนี้สงสัยลืมยกมา เพราะควรยกมาเป็นจานแรก แต่มาทีหลัง ก็หมดจานอีกนั่นแหละ
อาหารเติมได้ไม่อั้น กินกันจนพุงห้อย อาหารหมดไปไม่ถึงครึ่ง
ข้าว อาหาร ของเขาต้องกินกับข้าวนึ่งหรือข้าวเหนียว แต่เขากลัวพวกเรากินไม่อร่อย
เขาก็มีข้าวเจ้ามาให้ด้วย ปรากฎว่าคณะของผมไม่มีใครแตะข้าวเจ้า กินแต่ข้าวเหนียวกันทุกคน
ของหวาน "ข้าวต้มเขาควาย" ห่อข้าวเหนียวที่ปรุงมีรสแล้วเอาไปนึ่ง คล้ายห่อข้าวต้มน้ำวุ้น
แต่ห่อใหญ่กว่า ห่อเหมือนเขาควายมีสองเขา ผลไม้มีส้มสายน้ำผึ้ง อย่าเผลอไปกินข้าวต้มเขาควายก่อนกินข้าวเป็นอันขาด
เกิดอร่อยขึ้นมาจะหยุดไม่ได้ ของหวานจานนี้ พออิ่มอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ขอถุงเขามากวาดจากทุกโต๊ะมาใส่ถุง
หิ้วขึ้นรถเอาไปด้วย พรุ่งนี้จะเอาไปแจกเด็ก ตอนไปบ้านชาวเขาเผ่าปะหล่อง ที่บ้านนอแล
มีโอกาสขอเชิญไปเที่ยว ไปพัก ไปกระจายรายได้กับคนไทยลื้อดูบ้าง แล้วจะติดใจ
........................................................
|