ไปชุมพร
(อีกแล้ว)
ต้องของเล่าเรื่องไปจังหวัดชุมพร "อีกแล้ว" ด้วยเหตุผลที่ว่าประการแรก
จะไม่ทันสมัยที่เป็นนักเดินทาง แต่ไม่เคยไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับเขาเลย
ต้องรีบไปเพื่อเอามาเล่ากับเขาบ้าง
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากไปทางด่วนจากบ้านผมไม่ไกลเลย บ้านผมอยู่ลาดพร้าวซอย
๗๑ ขึ้นทางด่วนไปสองเด้งก็ถึงแล้ว เร็วกว่าไปท่าอากาศยานดอนเมืองมาก ใช้เวลาประมาณ
๔๕ นาทีเท่านั้นเอง ผมอยากขับรถไปเองมากกว่า เพราะตั้งใจว่าไปชุมพรเที่ยวนี้
จะแวะเข้าน้ำตกระหว่างทางหลายแห่ง จะได้มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง
ถึงสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เจ็ดโมงเศษ ๆ เพราะเครื่องบินจะออกเวลา ๐๙.๓๐
บริเวณห้องผู้โดยสารที่จะต้องไปเช็คตั๋วนั้น กว้างขวางดี เพราะมีพื้นที่กว้างกว่าทุกสนามบินในโลกนี้
ตอนนี้ผมเช็คตั๋วเรียบร้อยและเข้าไปอยู่ในห้องผู้โดยสารขาออกแล้ว มีร้านขายของของคิงเพาเวอร์แยะดี
แต่ไม่ได้ปลอดภาษีเพราะเดินทางในประเทศ สินค้าราคาไม่ถูกกว่าตามห้าง เลยไม่รู้จะซื้อหอบหิ้วไปทำไม
จากนั้นก็จะต้องเดินหรือไปตามทางเลื่อน ไปกันอีกหลายร้อยเมตร ไปยังประตูที่จะออกไปยังห้องผู้โดยสารที่จะออกไปขึ้นเครื่องบิน
หากเดินไปก็คงขาถ่างเพราะไกลมากและที่ลำบากมาก สำหรับ ส.ว.อย่างผม สุดท้ายก็จะลงบันได้เลื่อนลงไปยังห้องที่จะตรวจตั๋วและขึ้นเครื่องบิน
ห้องนี้กว้างขวางมาก "ไม่มีห้องสุขา" คนนั่งกันนับร้อย หากจะเข้าสุขาต้องเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนคือ
มีแต่บันไดเลื่อนให้ลงมาได้ แต่หากจะขึ้นต้องไต่บันไดขึ้นไป เขาคงคิดว่าห้องนี้นั่งกันไม่นาน
ห้องนี้นอกจากทีวี ตั้งเครื่องขวาง ๆ กับเก้าอี้นั่งแล้วไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีกาแฟ
อาหารขาย ไม่มีสุขา ใครจะเข้าสุขาต้องตะกายบันไดขึ้นไป ส่วนอาหารนั้นไม่มีที่จะซื้อกินได้อีกแล้ว
ต้องนั่งอยู่ในห้องนี้อีกเกือบสามชั่วโมง หนังสือพิมพ์สักฉบับก็ไม่มีวางไว้ให้อ่าน
ทรมานสุด ๆ ไปเลย ทรมานมากตอนไต่บันไดกลับขึ้นไปเพื่อไปห้องสุขานี่แหละ
พอได้เวลาก็เช็คตั๋ว เดินออกประตู ไม่ได้เข้างวงอย่างดอนเมือง ไปขึ้นรถนั่งยืนเบียดกัน
รถวิ่งไปหลายกิโลเมตร เพื่อไปขึ้นเครื่องบิน สนามบินใหม่ ทำไมล้าสมัย แถมอีกนิดขึ้นเครื่องแล้วเครื่องบินแท็กซี่ออกไปแล้ว
ไปติดอยู่ที่หัวสนามอีกครึ่งชั่วโมง จึงวิ่งขึ้นได้ ไปถึงสนามบินสุราษฎร์ธานีเมื่อเวลาประมาณ
๑๕.๐๐ เลยเวลาที่จะมีเครื่องบินเข้าตามปกติ ห้องอาหารของสนามบินจึงปิดแล้ว
มีแต่กาแฟซาลาเปาขาย ตอนอยู่บนเครื่องบินมีอาหารขายเหมือนกันคือ แซนวิชกับเครื่องดื่ม
พอแก้หิวได้ แต่ผมกะไปกินที่สนามบินสุราษฎร์ธานี เลยไม่ได้ซื้อ ลงสนามบินแล้วผิดหวัง
ไม่มีอาหารขาย คนมารอรับก็รออยู่หลายชั่วโมง เพราะต้องมาจากชุมพรที่อยู่ไกลออกไปเกือบ
๑๘๐ กม. สุดท้ายออกจากสนามบิน วิ่งย้อนไปยังสหกรณ์โคออฟที่มีศูนย์อาหาร มีภัตตาคารและร้านขายสินค้าโอท๊อป
อาหารใต้นั้นมักจะออกรสเผ็ดร้อน แต่เป็นเผ็ดอร่อย วันนี้คั่วกลิ้ง รสเผ็ด
เผ็ดจริง ๆ เกินเผ็ดอร่อย กินไปร้องไห้ไปว่างั้นเถอะ
จากสหกรณ์โคออฟ ที่สุราษฎร์ธานีกลับไปยังชุมพร ไปดูงานก่อสร้างศาสนสถานที่สร้างบริเวณกองพันทหารปืนใหญ่ที่
๒๕ ในค่ายเขตอุดมศักดิ์ (ค่ายนี้ตั้งมานานแล้ว ไม่มีศาสนสถาน) การก่อสร้างเรียบร้อย
พระประธานที่มีผู้บริจาคมาคือ พระแก้วมรกตเครื่องทรงฤดูฝน เท่าองค์จริง คือหน้าตักกว้าง
๑๙ นิ้ว ชั้นรองลงมาคือ "หลวงปู่ทวด สก." ที่สร้างเมื่อสมเด็จพระนางเจ้ามีพระชนมายุ
๗๒ พรรษา สร้างแล้วเอามาให้บูชาที่วัดห้วยมงคล หัวหิน ซึ่งที่วัดนี้สร้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
หรือในโลกเอาไว้ หลวงปู่ทวดขนาด หน้าตัก ๙ นิ้ว ที่วัดห้วยมงคลไม่มีจำหน่ายแล้ว
เลยไปขอจาก พลเอกวิเศษ คงอุทัยกุล ผู้ริเริ่มการสร้างหลวงปู่ทวด ท่านเป็นทหารปืนใหญ่เก่า
เวลานี้ก็ยังเป็นรองสมุห์ราชองค์รักษ์ ท่านกรุณามอบมาให้ ๑ องค์ เป็นหลวงปู่ทวดซึ่งเป็นพระส่วนตัวของท่าน
ชั้นรองลงไปอีกชั้นหนึ่งคือ พระรูปพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวิหาร หรือศาสนสถานแห่งนี้จึงมีด้วยกัน ๓ องค์ พอวันรุ่งขึ้น
วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๙ ก็ทำพิธีเปิดศาสนสถานแห่งนี้ ซึ่งตรงกับวันเกิดของกองพันทหารปืนใหญ่ที่
๒๕ ทำบุญเลี้ยงพระเบิกเนตรพระแก้วมรกตเป็นอันว่าจบพิธี ช่างก่อสร้างเป็นทหารปืนใหญ่ทั้งหมด
ศาสนสถานตั้งอยู่ริมสระน้ำ เดิมเป็นสระเล็ก ๆ ผมให้ขุดขยายเป็นสระใหญ่ แต่ยังขาดคือ
ระเบียงรอบศาสนสถานและท่าน้ำลงสระ ซึ่งในสระได้ปลูกบัวและปล่อยปลา ปี ๒๕๕๐
จะพยายามหาสตางค์มาสร้างระเบียงรอบศาสนสถานและท่าน้ำ กับจะเขียนภาพจิตรกรรมภาพพระพุทธองค์ประสูติ
ตรัสรู้และภาพปฐมเทศนา (ภาพการเทศนาครั้งแรกของพระพุทธองค์แก่เบญจวัคคีย์หมายถึง
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร) ช่างวาดก็ไม่ได้ไปจ้างใครที่ไหน ก็ให้ทหารปืนใหญ่ที่มีฝีมือเป็นผู้วาดภาพต่าง
ๆ เหล่านี้ รวมทั้งการสร้างระเบียงท่าน้ำและการปลูกต้นไม้รอบศาสนสถานตั้งใจจะให้ปลูก
๙๙ ต้น ต้นที่สำคัญที่สุดคือ ต้น "สาละ" และจะปลูกให้ทันในต้นฝนปี ๒๕๕๐ นี้
ขออนุโมทนาบุญกับท่านผู้อ่านทุกท่านที่ได้มีส่วนร่วมในการทอดผ้าป่า เพื่อสร้างศาสนสถานแห่งนี้
ตอนเย็นแดดร่มลมตก จึงตั้งใจจะไปที่ศาลกรมหลวงชุมพร ออกจากโรงแรมที่พักก็เลี้ยวซ้ายตรงไปจนถึงสามแยก
หากเลี้ยวซ้ายก็จะไปผ่านศาลหลักเมืองชุมพร พอถึงสี่แยกเลี้ยวขวา ก็จะไปตามถนนแหล่งค้าแหล่งของกินในตัวเมือง
แต่ผมไม่เลี้ยวซ้ายเข้าเมือง เลี้ยวขวาวิ่งไปสัก ๕ กม. ก็จะถึงอนุสาวรีย์ยุวชนทหารอยู่ทางซ้ายมือ
มีประวัติว่าเมื่อ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในประเทศไทยหลายจุด
จุดหนึ่งคือ ที่หาดบ้านคอสน และหาดบ้านแหลมดิน ต.ท่ายาง อ.เมือง ผู้บังคับหน่วยยุวชนทหารที่
๔๒ จึงได้นำกำลังยุวชนทหาร จากโรงเรียนศรียาภัย สมทบกับตำรวจ ทหาร และประชาชน
เข้าต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น สู้กันถึงขั้นเข้าตะลุมบอนบริเวณสะพานท่านางสังข์
จนสามารถยั้งทัพทหารญี่ปุ่นไม่ให้รุกเข้าตัวเมืองชุมพรได้ วีรชนเสียชีวิตจากการสู้รบไป
๕ นาย บาดเจ็บอีก ๕ นาย จึงสร้างอนุสรณ์ไว้ แต่มาสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ บริเวณสะพานท่านางสังข์
เดิมสร้างเจดีย์เอาไว้องค์หนึ่ง ณ ที่นี้ สะพานหินโค้งที่ผาแดง
ต้องสังเกตทางเข้าให้ดี ๆ ประมาณ กม.๔.๕๐๐ เลี้ยวซ้ายเข้าซอยแหลมเทียน เข้าไปตามเส้นทางนี้ประมาณ
๒๐๐ เมตร ผาแดง เห็นเป็นประตูหินโค้งในทะเล สวยมาก แต่ต้องดูไกล ๆ สัก ๑๐๐
เมตร ไปดูใกล้ ๆ ต้นไม้จะบังหมด ยังไม่มีการพัฒนา วิ่งไปตามถนนที่จะไปหาดทรายรีนี้จะสุดทาง
(หากเลี้ยวขวาก่อนถึงจะไปศาลสมเด็จ ฯ) ที่วัดปากน้ำชุมพร เลี้ยวซ้ายไปจะเข้าตลาดปากน้ำชุมพร
ผ่านตลอดไปจะสุดทางที่ริมทะล จุดชมวิว มีเกาะเล็กๆ เพิ่มความสวยให้อยู่ในอ่าวปากน้ำ
กลับออกมาจากตลาดปากน้ำชุมพร เลี้ยวซ้ายเลาะหาดทรายรี ที่มีร้านอาหารมากมาย
และเคยพามาชิมแล้ว ไปจนถึงศาลสมเด็จเตี่ย ที่หน้าศาลมีมณฑปหลวงปู่ศุข แห่งวัดมะขามเฒ่า
พระอาจารย์ของเสด็จเตี่ย ตอนข้าง ๆ ทางขึ้นริมทะเลคือ สถานที่สิ้นพระชนม์ของกรมหลวง
ฯ และสร้างอาคารไว้ มีพระรูปเช่นกัน ด้านหลังมีต้นหูกวาง เป็นต้นไม้ประวัติศาสตร์ที่กรมหลวง
ฯ ระหว่างมีพระชนม์ชีพชอบมาประทับใต้ต้นหูกวางนี้ เมื่อสิ้นพระชนม์นำพระศพมาประทับที่ตรงนี้เพื่อรอเรือ
เรือหลวงพระร่วงมารับพระศพเข้ากรุงเทพ ฯ เมื่อ ๒๔ ธ.ค.๒๔๖๖ ใครที่คิด มิดี
มิร้าย กับชาติบ้านเมือง อ่านพระดำรัส (มีหลายแห่งบริเวณศาล) ของกรมหลวง
ฯ ที่สาปแช่ง คนคิดร้ายต่อบ้านเมืองเอาไว้ อ่านแล้ว "จะหนาว" เมื่อไปตามเส้นทางนี้ก็เคยชิมอาหารในเส้นทางนี้
หากถึงสามแยกเลี้ยวขวามาทางอนุสาวรีย์ยุวชนทหารมาได้ ๗ กม. ก่อนจะข้ามสะพาน
ทางซ้ายมือมีถนนแยกไปปากน้ำสาย ๔๐๐๑ ถนนเส้นนี้ไปปากน้ำชุมพร (เดิม)
สุดถนนสายนี้จะเป็นหมู่บ้าน เป็นชุมชนไปพอดีรถเข็นขาย "เครป" ออกขาย ชาวบ้านเข้าคิวรอซื้อ
และยังมีไส้กรอกปิ้ง น้ำเต้าหู้อีก ๒ คัน ส่วนข้าวโพดคั่วนั่งตบแมลงวัน ถนนสายนี้มีท่าเรือไปเที่ยวเกาะเต่า
ทัวร์ชมหิ่งห้อย ทัวร์หมู่เกาะชุมพร ทัวร์เกาะเต่า เกาะนางยวน แบบพักค้างคืนก็มี
โทรถามดู อาหารค่ำริมน้ำ
กุ้งแม่น้ำจานร้อน กุ้งต้มกะทิในจานร้อน แครอท เม็งมะพร้าว ซดชื่นใจจริงๆ
กุ้งอบวุ้นเส้น กุ้งตัวโตอบอยู่ในวุ้นเส้น เนื้อแน่น เหนียวหนึบ
"ปู" สั่งปูไข่ตัวโต ผัดผงกะหรี่ หอมกลิ่นกะหรี่ ปูก้ามใหญ่ แกะง่าย
ปูนิ่มทอดกระเทียมพริกไทย หอมฟุ้งมาแต่ไกล หมดแล้วจานเกลี้ยงยังกับล้าง
ปลาหมึกชุบแป้งทอด เด็ก ผู้ใหญ่ ชอบหมด ตามด้วย
ปลาสำลีริเวอร์ไซด์ ปลาสำลีทอด เนื้อขาวจัวะ แล้วมียำมะม่วง น้ำยำราดมาบนตัวปลา
เปรี้ยวด้วยน้ำมะขาม อมเปรี้ยวนิด ๆ ใส่หัวปลี มะม่วงซอย ถั่วลิสง มีผักกะหล่ำ
แครอท ผักกาดหอมวางข้าง จานนี้อย่าโดดข้ามไปเป็นอันขาด บอกราคาไว้ด้วย ปลาตัวโต
ราคา ๒๒๐ บาท
ปิดท้าย ด้วยการวิ่งเข้าเมืองไปซื้อโรตี เจ้าสวย อร่อย ย่านของกินยามค่ำถนนกรมหลวง
ฯ ที่ในเมืองชุมพร ตามด้วยการซื้อน้ำเต้าหู้กลับมาซดที่โรงแรม
...................................................
|