www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
ท่องเที่ยวไทย
สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้า
ฯ (๒)
ผมเล่าให้ฟังถึงเรื่ององค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี และเล่าถึงสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ไปแล้ว เลยต้องขอเล่าต่ออีกสวน แต่สวนนี้ผมมีข้อมูลน้อยเต็มที
ค้นหาประวัติตั้งแต่ตั้งมาไม่ได้เลย แต่ดีตรงที่พอท่านผู้อ่าน อ่านจบแล้วนึกสนุกขึ้นมาไปชมได้เลย
โดยเฉพาะท่านผู้อ่านที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ เพราะเป็นสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
ที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ อยู่ถนนกำแพงเพชรนี่เอง
สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ แห่งที่สองนี้คงขึ้นกับองค์การสวนพฤกษศาสตร์
สำนักนายกรัฐมนตรี แต่สร้างขึ้นในภายหลังจากที่สร้างสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จ ฯ
แห่งแรกที่อำเภอแม่ริมเรียบร้อยแล้วหลายปี สวนอยู่ที่ถนนกำแพงเพชร
ติดกับสวนจตุจักรเพียงคั่นด้วยถนน ที่ผ่านด้านข้างของสวนจตุจักร
หากบอกเพียงที่ตั้งว่าอยู่ติดกับสวนจตุจักรคงไม่ต้องอธิบายมาก โดยเฉพาะคนกรุง
ถ้าตั้งตนจากสี่แยกปฎิพันธ์ (เลี้ยวซ้ายไปสะพานแดง เลี้ยวขวาไปสะพานควาย)
ตรงเรื่อยมาแล้วเลี้ยวขวาข้ามสะพาน ตรงต่อไปอีกจนถึงทางแยกซ้ายจะเลี้ยวซ้าย
เข้าถนนกำแพงเพชร ถนนสายนี้วิ่งผ่านสวนจตุจักรทางด้านขวา เลยต่อไปจะมีถนนแยกขวาซึ่งจะไปผ่านพิพิธภัณฑ์เด็ก
พอเลยถนนสายนี้ไปก็จะถึง สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์อยู่ทางขวามือ
แถวนี้จะหาที่จอดรถไม่ได้เลยจะต้องวนไปกลับรถมาเพื่อเข้าประตูสวน ซึ่งมีป้ายพระนามของสมเด็จ
ฯ ป้ายใหญ่โต งดงาม ข้อเสียคือ ต้องจอดรถเฉพาะภายในสวนเท่านั้น เพราะถนนด้านนอกจะจอดรถไม่ได้เลย
ลานจอดรถ จอดรถไม่ได้มากนัก แต่ก็เป็นจำนวนร้อยคัน หากเป็นวันหยุดราชการแล้วจะแน่นตั้งแต่เช้า
และไม่สมดุลย์กับความกว้างขวาง ความงดงามของสวนสมเด็จ ฯ ในกรุงแห่งนี้ แม้จะไม่กว้างเท่าสวนหลวง
ร.๙ แต่ก็นับว่ากว้างขวางมากและงดงามมากแห่งหนึ่ง เพราะสถานที่จอดรถน้อยไปจึงทำให้คนมาเที่ยว
มาชม มาพักผ่อน ไม่คุ้มกับสถานที่ที่แสนจะงดงามและกว้างขวางแห่งนี้ "รปภ."
ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูนั้นเขาจะใช้วิธีง่าย ๆ ไม่ให้คนเข้าชมด้วยการวางป้ายห้ามเข้า
เมื่อลานจอดรถเต็ม ซึ่งความจริงแล้วน่าจะผ่อนผันให้จอดรถซ้อนคันได้ แต่ต้องปลดเกียร์ว่างเอาไว้
แต่ยามทั้งหลายใช้วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ตั้งป้ายห้ามเข้าเสียสิ้นเรื่องไป
ผมจะไปถ่ายภาพพอดีไปวันหยุด ต้องใช้วิธีให้ลูกชายซึ่งงานของเขาก็มาก
ขับรถไปให้แล้ว ปล่อยผมลงเดินถ่ายภาพ นัดหมายเวลากัน เขาก็ต้องขับรถตระเวนเรื่อยไป
ได้เวลาก็ควักเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรบอกลูกชาย ว่าเสร็จแล้วมารับพ่อได้
ทางสวนหรือองค์การควรพิจารณาเรื่องสถานที่จอดรถ เพราะในกรุงเทพ ฯ รถกับคนดูจะคู่กันไปแล้ว
จะไปเที่ยวให้สะดวกที่สุดคือไปรถแท็กซี่ หรือรถตุ๊กตุ๊กน่าจะสะดวกกว่าขับรถไปเอง
เพราะไปรถประจำทางก็คงจะไม่สะดวกนัก และผมไม่แน่ใจด้วยว่ารถประจำทางสายไหนจะผ่าน
เมื่อเข้าประตูสวนไปแล้วจะเห็นความงดงามของดอกไม้ ไม้ประดับงามตั้งแต่ผ่านประตูเข้าไปเลยทีเดียว
เมื่อเข้าไปแล้วก็มีทางเดินไปข้ามสะพาน ซึ่งมีธารน้ำที่กว้างใหญ่ เป็นสระน้ำคดเคี้ยวไปตามพื้นที่ของสวน
ช่วยให้ดูร่มรื่นเย็นตาอย่างยิ่ง
ภายในสวนแบ่งเป็นลานต่าง ๆ ได้แก่ ลานอโศก
ซึ่งก็มีต้นอโศกจำนวนมาก มีลานชบา
นอกจากจะมีต้นชบามากหลากพันธุ์หลากสีแล้วก็ยังมีไม้ดอกอื่น ๆ ปลูกประดับงดงามยิ่งนัก
สวยเกินกว่าที่ผมจะพรรณนาได้ ส่วนอีกลานคือ ลานลีลาวดี
ซึ่งชื่อเดิมคือ ลั่นทม แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นลีลาวดี เพื่อให้กล้าปลูกกันในบ้าน
ซึ่งความจริงแล้วดอกลั่นทมมีหลากพันธุ์และหลากสี เหมือนดอกชวนชม หากนักเล่นต้นไม้ดูออกจะทราบว่าสีแตกต่างกัน
ชวนชมที่เรียกว่า ชวนชมฮอนแลนด์นั้น สีจะสดสวยและมีมากสี ตั้งชื่อไว้ต่าง
ๆ กัน ลีลาวดีก็มีหลายสีเช่นกัน และผมเคยปลูกลั่นทมลงกระถางเอาไว้ในบ้าน ก็ยังไม่ระทมแต่ประการใด
อยู่ที่เราจะเชื่อหรือเปล่า เหมือนปลูกต้นโศกอินเดีย ซึ่งเมื่อโตจะพุ่งตรงขึ้นไป
หมอดูซึ่งผมไม่ได้หามาดูมาหาผมเอง แนะว่าให้โค่นทิ้งเสียบอกว่าใครเขาปลูกต้นโศกกันบ้าง
โศกอินเดียปลูกแล้วไม่กินที่เหมือนโศกไทย ซึ่งต้นใหญ่ พุ่มหนา แผ่กิ่งก้านออกไป
เขาเลยไปปลูกกันตามวัด แต่โศกอินเดียนั้นหาปลูกในบ้านก็ไม่เห็นเป็นอะไร หากกลัวสูงมากเราก็ปลูกเป็นไม้ประดับ
ปลูกลงกระถางไปเลย ทำบอนไซเสียเลย สวยดี
ผมเดินชมในสวนได้ไม่นานนัก (หมายถึงวันที่ไปถ่ายภาพ) แต่วันหลังไปใหม่ คราวนี้ไปโดยไม่ตั้งใจคือ
ไปตลาดบองมาเช่ แล้วมาสวนรถไฟ เลยมาดูสวนสมเด็จ ฯ พอดีเขาไม่ได้วางป้ายห้ามเข้า
เพราะที่จอดเต็ม ก็เลยมีโอกาสเข้าไปจอดและเข้าไปเดินชมได้เต็มที่ ไปอย่างมีเวลา
แค่นั่งพักริมธารน้ำก็เย็นชื่นใจแล้ว
เมื่อกล่าวถึงแล้วต้องขอเล่าเอาไว้ด้วย เพราะเคยเขียนร้านอาหารโจ๊กร่วมใจ
ที่อยู่เลยตลาดบองมาเช่ไปแล้ว แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าเขียนเรื่องของตลาดบองมาเช่ไปแล้วหรือยัง
ผมชอบครับ ตลาดนี้ เพราะมีที่จอดรถ ตลาดสะอาดมาก จัดระเบียบดี อาหารอร่อย
ๆ มีแยะหลายเจ้า มีอาหารสด อาหารแห้ง ดอกไม้ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน
ฯ
หากไปตลาดบองมาเช่ ก็ไปจากแยกลาดพร้าว ไปตามถนนวิภาวดีรังสิต พอเกือบจะถึงทางแยกไปงามวงค์วาน
ก็สังเกตทางซ้ายเอาไว้ จะมีป้ายบอกว่าไปวัดเสมียนนารี ให้เลี้ยวซ้ายไปวิ่งผ่านทางแยกเข้าวัดเสมียนนารีไปก่อน
ก่อนถึงสี่แยกไฟสัญญาณ ตลาดบองมาเช่จะอยู่ทางซ้ายมือ หากเลยไปจะเป็นสี่แยกไฟสัญญาณ
โจ๊กร่วมใจอยู่ทางขวามือ อาหารอร่อยคือโจ๊ก ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ และข้าวหน้าไก่
สไตล์ของเขาเอง แต่ก็คล้ายกับต้นตำรับคือเหลาะงาทิ้ง ที่ห้าแยกพลับพลาชัย
เลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดในที่จอดรถของตลาดได้เลย ไปทีไรก็เห็นมีที่เหลือให้จอดทุกทีไป
การบริการจราจรของเจ้าหน้าที่ทำได้ดี จึงสะดวก ตลาดสะอาดมาก อยากเห็นตลาดอื่น
ๆ สะอาดเป็นระเบียบเหมือนตลาดแห่งนี้ และไม่ปล่อยให้ขายกันจนแน่นเต็มไปหมด
จะไม่ยกตัวอย่างตลาดที่ขายดี จนแม่ค้าพ่อค้าขายกันแน่นเลยทีเดียว หากเข้าตลาดตรงป้ายใหญ่ของตลาดที่มีคำว่า
"บอง มาเช่" เข้าไปแล้วเลี้ยวซ้ายจะมีร้านที่ผมไปชิม ไปซื้อประจำคือ .-
ร้านมันซีส์ ขายจำพวกพาย แซนวิช และช่อม่วง
เพ็ญเบอร์เกอรี่ แนวเดียวกันแต่คนละช่อง ขนมปัง และพวกเบเกอร์รี่
แก้วจีบ ร้านนี้มีส่วนช่วยให้ตลาดบองมาเช่ดัง ผมเขียนแนะนำร้านแรกคือร้านแก้วจีบ
เพราะพบความแปลก และอร่อยของเขาที่ร้านแก้วจีบนี่แหละ ผ่านมุมร้านมันซีส์ ไปก่อน
เข้าอีกช่องหนึ่ง ทางเดินในตลาดมี ๓ ช่อง มีแผงร้านขายของสองข้างทางเดินของแต่ละช่อง
ร้านแก้วจีบ ช่องที่ ๒ เดินเข้าไปในช่องนี้ร้านจะอยู่ทางขวามือ จะเห็นตั้งหม้อดินแบบทำข้าวเกรียบปากหม้อ
แต่ทำขนม "ถั่วแปป" ผมถึงบอกว่าของเขาแปลก ที่ขนมถั่วแปปมาทำกันสด ๆ ทำให้ดูเลยทีเดียว
แทบจะไม่มีวางขาย เพราะคนซื้อจะคอยรับเอาไปเลย ขนมถั่วแปปของเขาละเลงแป้งบนผ้าขาวบาง ที่ขึงอยู่ปากหม้อดิน
แป้งสุกใส่ไส้ถั่ว พับเข้าหากันตักเอาออกมา แล้วมาคลุกมะพร้าวสด เวลาเราจะกินก็โรยน้ำตาย
คลุกงา หอม หวาน นุ่ม เหนียว ชวนชิมนัก
นอกจากนี้ร้านแก้วจีบยังมี ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู ช่อม่วง ปั้นขลิบ
อร่อยทุกอย่าง ร้านนี้บางกอกน่าจะออกประกาศนียบัตรความอร่อยให้ เพราะอร่อยและยังแปลกอีกด้วย
พึ่งเจอแบบนี้ร้านเดียว แต่ผมไม่ทราบว่าโทรศัพท์เขามีไหม ตรงแผงที่ขายคงไม่มีแน่นอน
ที่บ้านเขาคงมีแต่ไม่เคยถามสกันสักที และก็ไม่แน่ว่าเขาจะรู้จักตัวผมไหม บางกอกอนุเคาระห์ออกประกาศนียบัตรให้
ส่งมาให้ผมก็ได้ครับ ผมจะไปให้เขาเอง เพราะผมไปบองมาเช่บ่อย ชอบไป และบางทีก็ไปนั่งกินอาหารกลางวันเสียเลย
เพราะมีแพงขายอาหารหลายแผง มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง เป็นโต๊ะเก้าอี้ส่วนกลางใครนั่งก็ได้
บริการตัวเองก็แล้ววกัน ที่นั่งมีมาก ผมไปชิม บางทีกินก๋วยเตี๋ยว บางครั้งก็ข้าวแกง
แล้วปิดท้ายด้วยการซื้อขนมถั่วแปป มานั่งชิมกันในตลาดบองมาเช่ นี่แหละ
ยังมีอีกร้านในตลาดนี้คือร้านขายขนม กุ่ยฉ่าย เชลล์ชวนชิม แผงขายอยู่เยื้องกับร้านแก้วจีบ
อร่อยสมยี่ห้อเชลล์ชวนชิม ไส้ผัก ไส้เผือก ไส้มันแกว และไส้กุ่ยฉ่าย ซื้อแล้วหอบกลับบ้านเอามาเป็นอาหารเย็น
จากตลาดบองมาเช่ หากกลับมาทางแยกลาดพร้าวใหม่ แล้วเลี้ยวกลับรถเข้าถนนวิภาวดีรังสิต ทิศทางที่จะไปตลาดบองมาเช่ใหม่
แต่พอกลับรถมาก็เลี้ยวซ้าย (หากเลยไปคือบริษัท ปตท.จำกัด) เข้าไปยังสวนอีกสวนหนึ่ง
เดิมชื่อว่า "สวนรถไฟ" ซึ่งหากท่านติดตามอ่านข่าวของสวนนี้คงจะเกิน ๕ ปีมาแล้ว
ที่ทางการจะเอาสวนรถไฟมาทำสวนสาธารณะ แต่เดิมนั้นเป็นสนามกอล์ฟ ซึ่งเป็นที่ออกกำลังกายของคนไม่กี่ร้อยคน
พวกแคดดี้จึงไม่ยินยอม ยื้อแย่งกันอยู่นาน จบอย่างไรไม่ทราบ ทราบแต่ว่าได้สวนรถไฟคืนมาทำเป็นสวนสาธารณะ
แต่ภายในบริเวณสวนยังไม่ทิ้งลายของสนามกอล์ฟ จึงสวยน้อยไปหน่อย ไม่สมกับที่ต่อสู้กันนานกว่าจะได้สวนมา เป็นสวนของประชาชนทั่วไป
แต่ที่เห็นเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ คือเปลี่ยนชื่อ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็น "สวนวชิรเบญจทิศ"
ที่ได้ประโยชน์มากในเวลานี้คือ การไปออกกำลังกายของประชาชน เห็นมีไปวิ่งไปเดินออกกำลัง และผมเคยเข้าไปตอนเย็นจะมีการเต้นแอโรบิค
มีทั้งหนุ่ม สาว ผู้เฒ่า ผู้ชรา จำนวนมากมาเต้นกัน มีเสียงเพลง มีผู้นำเต้นเขาเรียกว่าอะไรผมเรียกไม่ถูก
เพราะยังไม่ขยันพอที่จะไปเต้นกับเขา เอาแค่ขับรถจากลาดพร้าว ซอย ๗๑ ไปสวนรถไฟ
ไปกลับก็คงไม่ต่ำกว่า ๓ ชั่วโมง เลยเต้นที่บ้านดีกว่า ไม่ต้องเปลืองน้ำมันค่ารถ
และคนอายุปูนผม ขืนไปเต้นแร้งเต้นกาออกกำลังอาจจะหัวใจวายตายเอาง่าย ๆ การออกกำลังของผมคือเดิน
ปลูกต้นไม้ ขับรถ และเวลาออกตระเวนหาวัตถุดิบเพื่อเขียนหนังสือก็ต้องขับรถ
ต้องเดิน ยิ่งเที่ยวดอยด้วยละก็เดินสนุกนัก ๒ - ๓ วันมานี้ก็ไปเขาค้อ เพื่อไปตรวจการก่อสร้าง
"ศาล ๓ มหาราช" ที่ผมยเคยทอดผ้าป่าที่วัดวิชมัยปุญญาราม เมื่อ ๑๐ กันยายน
๒๕๔๖ เพื่อสร้างศาลานี้ เวลานี้ใกล้จะสำเร็จแล้ว ด้วยความอนุเคาระห์ ร่วมแรง
ร่วมศรัทธาของท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนหนังสือของผมร่วมบริจาคมาสร้างศาล ๓ มหาราช
ซึ่งมีพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมเด็จพระปิยมหาราช
ที่ผู้ศรัทธาในองค์มหาราชและศรัทธาในพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ที่เขาค้อ
นำมาถวายไว้ใต้ฐานพระบรมธาตุ ฯ จนเต็มไปหมดไม่สมพระเกียรติ ผมและท่านเจ้าอาวาสจึงคิดกันว่าต้องอัญเชิญมาประดิษฐานให้สมพระเกียรติ
จึงได้คิดสร้างศาล ๓ มหาราชขึ้น และก็ประสบความสำเร็จ แต่ห้องใต้พระธาตุยังมีเทพฝ่ายจีนอีกเช่น
เจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่กวนอิมพันมือ องค์โตทีเดียว เห้งเจีย กวนอู ฉก ลก ซิ่ว
ฯ เทพฝ่ายอินเดียเช่นพระพรหม เขามีอยู่แล้ว ๑ องค์ ผมไปคราวนี้นำไปถวายไว้อีก
๑ องค์ เป็นองค์ขนาดเล็กแต่เก่าแก่มาก มีผู้แนะนำว่าอย่าเอาไว้เป็นส่วนตัวเลย
จะไม่เป็นมงคลกับเราให้เอาไปถวายไว้บนที่สูง ๆ เถิด นึกขึ้นมาได้ว่ากำลังสร้างศาลบนเขาค้อ
จึงอัญเชิญขึ้นไปไว้บนเขาค้อ และพอปีหน้าก็สร้างศาลถวาย เวลานี้มีเทพฝ่ายอินเดียเช่น
พระพรหม พระพิคเนตร นางธรณี และอีกหลายเทพ และพอเริ่มสร้างศาลแล้ว ก็มีพระผู้ใหญ่อีกนั่นแหละท่านบบอกว่า
ต้องถวายพระแสงดาบใส่พานไว้บนหน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย เพราะท่านเป็นกษัตรนิย์นักรบที่ยิ่งใหญ่
แต่พระแสงดาบของพระองค์ท่านจะยาวกว่าดาบทั่วไปเมื่อเวลาทรงม้า พอผมทราบและตั้งใจว่าจะหาเวลาไปยังอุตรดิตถ์
เพื่อไปให้ถึงบ่อเหล็กน้ำพี้ คงจะหาดาบเหล็กน้ำพี้ได้เอามาตกแต่งฝักดาบลงรักปิดทองเสียแล้วเอาไปใส่พานถวายไว้
แต่ปรากฎว่ายังไม่ทันไป ไปที่วัดคลองเกตุ วัดที่ผมเคยช่วยเหลือทำนุบำรุงมากับหลวงปู่บุญตา
เกจิอาจารย์สำคัญที่มรณภาพไปแล้ว แต่ท่านฝากไว้ให้ผมช่วยดูแลวัดด้วย อย่างทิ้งวัดที่ช่วยยกันพัฒนา
ผมจึงไปที่วัดนี้เป็นประจำ วัดคลองเกตุอยู่ที่อำเภอโคกสำโรง จากลพบุรีไป ๓๕
กิโลเมตร ถึงวงเวียนโคกสำโรงตรงไปอีกสัก ๓ กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าไป มีพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่ที่ผมสร้างไว้ด้วยศรัทธาของท่านผู้อ่านเช่นกัน
และมีภาพจิตกรรมฝาผนังในอุโบสถ ฝีมือศิลปินรุ่นใหม่แต่งดงาม และเวลานี้ไปก็มักจะไปพบพระองค์หนึ่ง
ซึ่งพระสงฆ์องค์นี้อายุคงไม่เกิน ๕๐ ปี นามสกุลท่านนักการเมืองรู้จักหมด เพราะอย่างน้อยก็เป็นนามสกุลของประธานวุฒิสภามาแล้ว
ท่านเป็นพระที่มีสตางค์ แต่หากสึกเมื่อไรเจ็บหนักทันที จึงต้องบวชเรื่อยไป
ท่านมีญาณที่รับญาณอื่นได้เช่น เข้าทรงวิญญาณเกจิอาจารย์สำคัญ ๆ โดยที่ท่านไม่ได้เชิญ
และหากให้ท่านเชิญท่านก็ทำไม่ได้ มาเข้าเอง และเมื่อเข้าแล้วถามอะไรก็บอกให้
เช่นมีเคาระห์ก็สะเดาะเคราะห์ให้ ทำด้วยวิธีง่าย ๆ ไม่ได้เสียเงินเสียทองอะไรเช่นให้ไปใส่บาตร
ให้ใส่กล้วยน้ำหว้าด้วย หรือทำกันตรงนั้น แต่ไม่ใช่พระ "สมยศ" ทำให้เป็นวิญญาณของหลวงปู่หรือองค์อื่นมาทำให้
ก็แปลกดี ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ก็แล้วกัน ผมไปหาพระสมยศคราวนี้ท่านทราบอยู่แล้วว่าผมกำลังสร้างศาล
๓ มหาราช ท่านบอกขึ้นมาเลยว่า ต้องถวายพระแสงดาบสมเด็จพระนเรศวร มีดาบแล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่มีท่านจะให้ "ดาบเหล็กน้ำพี้" มีคนเอามาถวายท่านไว้ คงแบบผมมีพระพรหมเก็บเอาไว้เองไม่ได้
ผมถอดดาบออกจากฝักแล้วน่าจะเป็นเหล็กน้ำพี้จริง เนื้อเหล็กแทบจะเป็นสีเขียว
ผมจะนำไปทำฝักดาบใหม่ให้งามสมพระเกียรติแล้วไส่พานไปวางถวายไว้หน้าพระพักตร์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งในศาลจะประทับเป็นองค์กลาง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชประทับทางขวา สมเด็จพระปิยมหาราชประทับทางซ้าย
ศาล ๓ มหาราชอยู่บนเขาค้อ ตรงหลักกิโลเมตร ๑๙
สัปดานี้ผมออกจะเขียนเลอะๆ พิกล โดดไปโดดมา คงจะเป็นเพราะผมมีเนื้อที่เหลือแยะ
แต่มีเรื่องของสวนสมเด็จ ฯ น้อย แต่ก็อยากเล่าและอยากให้ไปเที่ยวกัน เพราะสวยจริง
ๆ เลอะไปบ้างตามภาษาคนสูงอายุ หวังว่าคงอภัยให้ผมด้วย ทีนี้พาไปกินอาหาร อาหารจีนชั้นเยี่ยม
แต่ไม่ใช่อาหารแพง เขาแพงตามราคา ตามวัตถุดิบของเขาคือร้าน ไดนาสตี้
เส้นทางไปร้านอาหารจีนชั้นหนึ่ง ร้านนี้คงไม่ต้องบอกมากเพราะเป็นร้านอาหารในโรงแรมโซฟิเทล
เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว เมื่อขึ้นไปยังที่จอดรถ จอดได้ชั้น ๒ ทางขวาก็ดี
เพราะจะได้เดินเข้าไปในห้องล็อบบี้ของโรงแรมโซฟีเทลได้เลย ห้องอาหารอยู่ชั้น
๒ ของโรงแรม เข้าทางด้านหน้าของโรงแรมก็ได้ หากมีคนขับรถมาส่งให้ หรือนั่งแท็กซี่มาก็ลงด้านหน้าทางเข้าตัวโรงแรมได้เลย
จองห้อง ๐ ๒๕๔๑ ๑๒๓๔ ห้องอาหารมีแบบเป็นห้องส่วนตัว (ต้องจอง) และห้องอาหารรวม
บรรยากาศแจ่มแจ๋ว จีนแท้แน่นอน อาหารจีนทั่ว ๆ ไป ดูได้จากเมนูเช่น เป็ดปักกิ่ง
เป็นต้น แต่วันนี้ผมสั่งอาหารที่เขากำลังเสนอ คือ .-
หูฉลามฮ่องเต้ EMPEROR SHARK S FIN SOUP
ใช้หูฉลามเป็นแผ่น ซึ่งราคาจะแพง เพราะปกติหูฉลามแค่มาเป็นเส้นก็ชามละหลายร้อยบาทแล้ว
แต่นี่มาเป็นแผ่น ได้เคี้ยวกรุบ ๆ ชามโต ชามเดียว ๒ คนกำลังดี ขืนกินคนเดียวไม่ต้องชิมอย่างอื่นกัน
ไก่ฮองเฮา สวยจนไม่อยากกิน "EMPRESS CHICKEN"
ไก่สอดไส้แฮม ชั้นในของไก่ตัวนี้จะมีแฮม เห็ดหอม ผัดรวมกันมา ปรุงรสเลิศ แล้วเอาเครื่องในชุดนี้ห่อในใบบัว
เมื่อเปิดชั้นในใบบัวที่ห่อออก กลิ่นหอมฉุยจะฟุ้งขึ้นมา อร่อยตั้งแต่ยังไม่ได้ชิม
ภายนอกเอาแป้งซึ่งเป็นแป้งขนมปังมาปั้นเป็นตัวไก่สีขาวตัวโต เวลาจัดลงจานจะมีไข่ไก่วางเคียงมาด้วย
๒ ฟอง "โปรดชมรูปไก่" เวลาจะชิมก็ต้องเอามีดกรีดตัวไก่ (ด้วยความเสียดาย)
กรีดชั้นต่อไปถึงใบบัว ชั้นสุดท้ายคือไก่ฮองเฮาที่ผัดมารสเลิศ กินไปชมความงามของไก่ไป
จานนี้ราคา ๑,๐๐๐ บาท กินได้หลายคน
ไก่ทอด เศรษฐี วิกฤตไก่ยังไม่เกิดตอนผมไปชิมเลยสั่งไก่อีก "RICHNESS
CHICKEN" ไก่ทอด หนังกอบ เนื้อนุ่ม เค็มในตัว มีน้ำจิ้มซีอิ้ว
ต้องโรยด้วนพริกไทย - เกลือป่นด้วยจะชูรสยิ่งขึ้น
ถุงนำโชค ใช้ไข่ขาวทอดเป็นแผ่น ใส่หอยเชลล์กับเห็ดฟาง นึ่งแล้วราดด้วยน้ำเกรวี่
ถุงทำด้วยแป้ง เอาผักผูกปากถุง เป็นความอร่อยสุดอธิบายทีเดียว
ติ๋มซำ ของเขาก็มีสั่งมาแค่ลองชิมคือ เผือกทอด ขนมจีน และฮะเก๋า มีแปลกคือขนมจีบหอยเชลล์และซาละเปกาไส้หอยเชลล์
ข้าวผัดคะน้า ปลาเค็ม เอามาปิดท้าย ผักคะน้าที่หั่นฝอย ปลาเค็มผัดด้วยการหั่นโรยมาเป็นชิ้นเล็ก
ๆ
ของหวานปิดท้ายด้วยแป๊ะก๊วยนมสดกับพุทราทอด
...............................................
|