จังหวัดกาฬสินธุ์
เมืองกาฬสินธุ์ฟังชื่อดูแล้วเหมือนอยู่ไกลเหลือเกิน และดูจะน่ากลัวด้วยซ้ำไป
แต่หากพิจารณาคำแปลชื่อเมืองของเขาให้ดี ๆ แล้ว จะเห็นว่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
ไม่แห้งแล้ง ไม่ขาดแคลนน้ำและเป็นมานานแล้วด้วย เป็นเมืองดินดำน้ำชุ่ม
ชะตาของเมืองมีขึ้นมีลง กาฬสินธุ์เคยถูกยุบลงมาเป็นอำเภอเมื่อปี พ.ศ.
๒๔๗๔ เหตุผลเพราะเศรษฐกิจเหมือนยุคไอเอ็มเอฟปี ๒๕๔๒ นี่แหละ และพอชะตาขึ้นก็กลับตั้งเป็นจังหวัดใหม่เมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๙๙
ดินแดนของกาฬสินธุ์ในปัจจุบันนี้นั้น ในสมัยโบราณเคยเป็นที่อยู่ของพวกละว้า
มีเมืองที่ปรากฏเป็นซากปรักหักพังให้เห็นอยู่ ๔ เมือง คือ เมืองฟ้าแดดสงยาง
เมืองเชียงโสม เมืองเชียงสา
และเมืองเชียงน้อย
และเมืองเหล่านี้สงสัยว่าจะถูกทำลายลงโดยกษัตริย์พม่า คือ พระเจ้าอโนรธามังช่อ
กษัตริย์พม่าแห่งพุกาม ซึ่งมีอำนาจมากในสมัยนั้น (เป็นกษัตริย์องค์ที่
๔๒ ของพุกาม ตรงกับยุคสุโขทัยที่พึ่งเริ่มต้น) คงจะประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐
เศษ
ชนชาวกาฬสินธุ์เป็นชนเผ่าไทยเผ่าหนึ่ง เรียกตัวเองว่า "อ้ายลาว"
เผ่าเดียวกับลาวในนครเวียงจันทน์ในปัจจุบันนี้ ได้อพยพมาจากเวียงจันทน์ในราว
พ.ศ. ๒๓๒๐ - ๒๓๒๑ สาเหตุเนื่องมาจาก เจ้าผ้าขาวกับพระวอพระตา
เกิดผิดใจกันกับเจ้าเมืองเวียงจันทน์ จึงหนีมาอยู่ที่หนองบัวลำภู (จังหวัดหนองบัวลำภู)
กองทัพเวียงจันทน์ก็ยังอาฆาตเล่นไม่เลิก ยกทัพตามมาตีอีก ๓ ท่านนี้ก็อพยพหนีเรื่อยไป
พระวอ พระตา ไปตามลำน้ำโขง ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ตำบลดอนมดแดง (ในเขตอุบลราชธานี)
ส่วนเจ้าผ้าขาวอพยพลงใต้ และตั้งเป็นหมู่บ้านอยู่ที่พรรณานิคม (จังหวัดสกลนคร)
เจ้าผ้าขาวอพยพบ่อยเข้า หมดแรงเลยกลายเป็นเจ้าผ้าดำลงหีบศพไป "เจ้าโสมพะมิตร"
ได้เป็นผู้คุ้มครองราษฎรแทน เจ้าศิริบุญสารเจ้าเมืองเวียงจันทน์ก็ยังเล่นไม่เลิกตามมาต่อตีอีก
เกิดความกันดารในถิ่นที่อยู่ด้วย อพยพอีกพาผู้คนข้ามสันเขาภูพานลงมาทางใต้
(จังหวัดกาฬสินธุ์ในปัจจุบัน) สมทบกับพวกที่อพยพลงมาก่อน ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ตำบลแก่งสำโรง
พ.ศ. ๒๓๓๔ เจ้าโสมพะมิตร ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และได้นำกาน้ำสัมฤทธิ์ขึ้นทูลถวายด้วย ได้กราบทูลขอตั้งบ้านแก่งสำโรงเป็นเมือง
และกราบทูลให้ทรงทราบว่า ถิ่นเดิมของพวกตนคือริมแม่น้ำก่ำ (จึงทูลเกล้าถวายกาสัมฤทธิ์)
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามเมืองว่า "กาฬสินธุ์" เมื่อปี
พ.ศ. ๒๓๓๖ และพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ เจ้าโสมพะมิตรเป็น "พระยาชัยสุนทร"
เจ้าเมืองกาฬสินธุ์คนแรก ต่อจากนั้นเมืองกาฬสินธุ์ก็มีเจ้าเมืองปกครองสืบเนื่องกันมาโดยลำดับ
๑ สิงหาคม ๒๔๕๖ โปรด ฯ ให้ยกเมืองร้อยเอ็ดเป็นมณฑล และให้กาฬสินธุ์คงเป็นจังหวัดขึ้นกับมณฑลร้อยเอ็ดจนถึงปี
พ.ศ. ๒๔๗๔ จึงถูกยุบเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดมหาสารคาม และกลับตั้งขึ้นเป็นจังหวัดใหม่เมื่อ
๑ ตุลาคม ๒๔๙๐
การเดินทางไปกาฬสินธุ์ไปได้หลายเส้นทาง จะไปโดยไม่ผ่านขอนแก่นก็ได้
คือ ไปตามถนนมิตรภาพจนถึงอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น แล้วแยกขวาไป
อำเภอบรบือ ไปมหาสารคาม ไปกาฬสินธุ์ได้เลย หรืออีกเส้นทางก็ไปผ่านตัวเมืองขอนแก่นก่อน
(ผมไปทางนี้เพราะอยากไปนอนขอนแก่น) แล้วไปอีก ๗๗ กม. ตามถนนสาย ๒๐๙ ก็จะถึงกาฬสินธุ์
จะไปให้ครึกครื้นกว่านั้นก็ได้ เช่นไปจากกรุงเทพ ฯ - วิ่งเลียบคลองรังสิตไปโผล่นครนายก
แล้ววิ่งต่อไปยังปราจีนบุรี (ไม่ต้องเข้าเมือง) ตรงไปยัง จังหวัดสระแก้ว
ไป อำเภออรัญประเทศ (หรือจะเลี้ยวซ้ายเสียที่อำเภอวัฒนานครก็ได้) ไปอำเภอตาพระยา
ไปโผล่ อำเภอละหารทราย จังหวัดบุรีรัมย์ จะแวะเที่ยวปราสาทหินพนมรุ้งก่อนก็ยังได้
หรือจะเลยต่อไปทางอำเภอนางรอง กินขาหมูนางรอง (จำไว้ดี ๆ มาจากกรุงเทพ
ฯ ร้านต้องอยู่ซ้ายมือชื่อขาหมูนางรอง) ไปบุรีรัมย์เข้าเส้น ๒๑๙ ไปกาฬสินธุ์ระยะทางก็ใกล้เคียงกันแทบทุกสาย
แต่เส้นหลังนี้ไกลกว่าหน่อย และถนน ๒ เลน ส่วนเส้นแรกนั้น ๔ เลน จนถึงบ้านอำเภอบ้านไผ่
หรือขอนแก่น จากนั้นจึงจะเป็นถนน ๒ เลน แต่ก็เป็นถนนราดยางอย่างดี
กว้างวิ่งสบายระวังมอเตอร์ไซด์หน่อยก็แล้วกัน เพราะถนนตีเส้นทึบที่ขอบทาง
เขาไม่วิ่งกันในเส้นทึบเขามาวิ่งกันในเลนรถยนต์ต้องระวัง ไม่งั้นจะเที่ยวไม่สนุก
ต้องไปเที่ยวโรงพักแทน
ผมไปครั้งสุดท้ายคงกว่าสิบปีมาแล้ว กาฬสินธ์วันนี้เจริญขึ้นมาก
มีถนนเพิ่มมากขึ้นแต่เป็นถนนสายสั้น ๆ จำเส้นทางยาก ผมมาเที่ยวนี้ขับรถหลงทางหลายหน
นอนอยู่ ๒ คืน คงจะหลงสัก ๒ - ๓ ครั้ง โดยเฉพาะตอนหาทางออกจากเมืองกลับโรงแรม
พักที่โรงแรมริมปาว แต่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำชี แม่น้ำเล็ก ๆ น้ำมีน้อย
เป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง โรงแรมเดียวของจังหวัดนี้ เพราะกาฬสินธุ์ขาดการประชาสัมพันธ์
ทำให้ขาดนักท่องเที่ยวทั้ง ๆ ที่กาฬสินธุ์ในปัจจุบันเป็นเมืองน่าเที่ยวมาก
มีแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก "โลกตลึง" เลยทีเดียว คือซากฟอร์สซิลไดโนเสาร์
เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเรียกว่ามีของดีแล้ว แต่ไม่รู้จักงัดเอามาอวดชาวโลก
โรงแรมริมปาวมีห้องอาหารชื่อ กุฉินารายณ์ ชิมมื้อเย็นอยู่มื้อเดียว
เพราะมีอาหารอร่อยถูกปากอยู่อย่างเดียว แต่อร่อยมาก คือ แกงต้มข่าไก่
ส่วนข้าวสวยนั้นสวยจริง ๆ หรือผมจะแก่มากไปก็ไม่ทราบ ข้าวแข็งไปและไม่ร้อน
ร้านอาหารทั้งหลาย ต้องจำไว้ให้ดี ๆ กับข้าวอร่อยปานใดก็ตามลอง "ข้าว"
ไม่นุ่ม ไม่ร้อน เย็นชืดและแข็งแล้ว อาหารมื้อนั้นจะหมดรส
นอกจากคนกินเหล้าประเภทกินเหล้าแล้วไม่กินข้าว (เช่นผม) ก็แล้วกันไป
มื้อดึกเขามีข้าวต้ม บุฟเฟ่ต์ ๕๙ บาท เท่านั้น ดูอาหารแล้วใช้ได้ แต่ไม่ได้ชิม
มื้อเช้าก็บุฟเฟ่ต์พอใช้เพราะอาหารไม่มากนัก คงมีข้าวต้ม แฮม
ไข่ดาว และไส้กรอก กาแฟ ชา และน้ำส้ม มีให้เท่านั้น
ไม่ถึงอาหารเช้าชุดใหญ่ เหมือนโซฟิเทลที่ขอนแก่นนั่นกินกันจุกไปถึงมื้อเที่ยงเลยทีเดียว
มื้อกลางวันเขาก็มีบุฟเฟ่ต์อีกนั่นแหละ ไม่ได้ชิมอีก เพราะออกไปตระเวณอยู่ตามอำเภอ
หากินตามท้องถิ่น จึงขอข้ามห้องอาหารกุฉินารายณ์ไป แต่คนชอบข้าวแข็งละก็น่ากิน
เอาแกงข่าไก่ราดอร่อยไปเลย แต่ที่ต้องชมอย่างมาก คือ พนักงานดีทุกคน
คนที่มายกกระเป๋าให้ผมมีความรู้มาก ถามแหล่งท่องเที่ยว ถามวัดวาอารามตอบได้หมด
สมาคมโรงแรมน่าจะพิจารณาข้อนี้ บ๋อยยกกระเป๋านั่นแหละสำคัญ เพราะเกือบจะเป็นคนแรก
ที่แขกจะชอบคุยด้วย คุยกันตอนยกกระเป๋าขึ้นลิฟท์เดินเข้าห้องนั่นแหละ
หากมีการอบรมพนักงานเป็นหลักสูตรไปเลย ๗ วันก็ยังดี ให้รู้จักจังหวัดของโรงแรมของตัว
ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดเอง
กาฬสินธุ์มีน้ำสมบูรณ์เพราะมีเขื่อนลำปาว
ซึ่งเขื่อนนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๓๖ กม. หากมีเวลาจะแวะตั้งแต่ตอนขามาก็ได้
เป็นเหมือนทะเลสาบใหญ่ และในตัวเมืองยังมีโครงการชลประทานอีกด้วย โอกาสที่กาฬสินธุ์จะกันดารน้ำนั้นจึงมีโอกาสน้อย
สำคัญที่ว่าสร้างเขื่อนลำปาวแล้ว สร้างคลองส่งน้ำมากพอที่จะเฉลี่ยน้ำไปยังพื้นที่ต่าง
ๆ ได้ทั่วถึงแคไหน
สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกาฬสินธุ์ ผมไม่ได้ไปในคราวนี้ทุกแห่ง
แต่จะสรุปรวมเอาไว้ คือ อนุสาวรีย์พระยาชัยสุนทร
(ท้าวโสมพะมิตร) ตั้งอยู่หน้าที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข ต้องถือว่าจุดนี้เป็นจุดหลักในการหาสถานที่อื่น
ๆ ในตัวเมืองกาฬสินธุ์ เพราะไปไหนไม่ถูกผมมาตั้งต้นกันตรงอนุสาวรีย์นี่แหละ
และเมื่อเข้าเมืองท่านก็ควรมาคาระวะท่านด้วย
วัดกลาง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ดำ
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองกาฬสินธุ์ ปีใดฝนแล้งชาวเมืองจะอัญเชิญหลวงพ่อดำออกแห่ขอฝน
ผมไปครั้งแรกนั้นผมไปเป็นทางการ ฝ่ายรับรองเขาก็อนุญาติทางวัดไว้เรียบร้อย
ไปกราบนมัสการได้ เพราะหลวงพ่อดำท่านไม่ได้อยู่ในโบสถ์ ท่านอยู่หอสูง
ยิ่งไปคราวนี้ไม่ทราบท่านอยู่ตรงไหน เพราะโบสถ์ก็ปิด เล็ง ๆ เห็นหลวงพ่อองค์หนึ่งท่านนั่งสั่งงานใต้ต้นไม้
ราษีท่านดี เดาว่าน่าจะเป็นเจ้าอาวาสองค์ใหม่ เพราะองค์เก่าผมเคยกราบคาระวะ
ท่านอายุมากแล้ว องค์นี้อายุไม่มากกว่าผมแน่เลยไปกราบท่าน และขอนมัสการหลวงพ่อดำ
ท่านกลับบอกว่าเคยได้ยินชื่อผม ท่านก็ให้เปิดโบสถ์ไปกราบพระประธานในโบสถ์
และเปิดอาคารน่าจะเรียกว่าอาคารเอนกประสงค์ สร้างไว้สวยงามทีเดียว
หลวงพ่อดำจำลองอยู่ในอาคารนี้ เลยได้กราบแต่องค์จำลอง สำหรับการไปครั้งนี้
ส่วนหลวงปู่เจ้าอาวาสองค์เดิมยังมีชีวิตอยู่ แต่อายุ ๘๕ แล้ว เลยไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส
และวัดกลางยังมีพระพุทธบาทจำลองอีกด้วย
วัดศรีเมือง ผมหาไม่เจอถามสามล้อ
"ทรงมดแดงชะเง้อ" เขาบอกว่าขอเขา ๒๐ บาท เขาพาไปปรากฎว่าอยู่ใกล้ ๆ
วัดกลางนั่นและ ไปวัดกลางแล้วไปวัดศรีเมืองเสียเลยใกล้กัน ไปดูเสมาจากเมืองฟ้าแดดสงยาง
ที่ผมกำลังจะพาไป
พระพุทธสถานภูปอ อยู่ที่ภูปอ ห่างจากกาฬสินธ์ไปทางถนน
๒๓๑๙ ประมาณ ๒๘ กม.
ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
อยู่ในโรงพยาบาลธีรวัฒน์ ผมไปวันหยุดด้วย เลยไม่รู้ว่าเขา เปิดหรือเปล่า เพราะก่อนมาที่นี่
ได้ไปที่ศูนย์รวมจำหน่ายผลิตภันฑ์กาฬสินธุ์ อยู่ในโรงเรียนเมืองกาฬสินธุ์เขาไม่เปิด
ศูนย์ต่าง ๆ เหล่านี้ต้องเปิดในวันหยุดราชการ เพื่อบริการนักท่องเที่ยว
อำเภอสหัสขันธ์ เป็นอำเภอสำคัญที่ผมบอกว่า
เมืองไทยเรานั้นมีของดีที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายนัก แต่ไม่รู้จักส่งเสริมกันให้จริงจัง
ที่ประเทศแคนาดา ที่พิพิธภัณฑ์ ROYAL THYRRELL MUSEUM เขานำไดโนเสาร์ตัวเดียวที่ขุดพบมีอายุ
๗๐ ล้านปีมาไว้ที่นี่ และสร้างอาคารใหญ่โตสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้มาดูฟอรส์ซิลของไดโนเสาร์ตัวเดียวนี่แหละมากกว่าปีละห้าแสนคน
แต่ที่กาฬสินธุ์ อำเภอสหัสขันธ์ ได้พบฟอรส์ซิลกระดูกไดโนเสาร์ในหลุมเดียวกันจำนวน
"๖ ตัว" นอนทับถมอยู่ในหลุมเดียวกัน และขุดกระดูกท่อนโต ๆ ออกมาได้แล้วมากถึง
๕๗๐ ชิ้น แต่ไม่ได้ดังระเบิดเทิดเถิงเลย เพราะไม่รู้จักประชาสัมพันธ์ ก่อนหน้านี้ก็พบที่ขอนแก่น
ดูจะดังกว่าแล้วมาพบที่อำเภอกุฉินารยณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เหมือนกันเมื่อปี
๒๕๓๑ ที่ภูผางำ
วัดบ้านนาไคร้ ก็ทำท่าจะดัง มาพบอีกที่ ๒๕๓๗ โดยเจ้าอาวาสวัดสักกะวัน
วัดเชิงดอย
ภูกุมข้าว
เคราะห์ดีที่ท่านสงสัยเดาได้ จึงเกิดการสำรวจกันขึ้น แล้วก็พบซากถึง ๖ ตัว
อยู่ในหลุมเดียวกัน "อายุ ๑๓๐ ล้านปี" เวลานี้กำลังสร้างหลังคาคลุมหลุมอยู่
ส่วนโครงการและแบบที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์นั้น มีรูปให้ดูแต่ไม่รู้จะสร้างเมื่อใด
ไม่เห็นบอกเรื่องนี้ต้องทางราชการเข้าไปดำเนินการให้วัดทำ ไม่มีหนทางทำได้
แม้แต่ส่วนหนึ่งของแคนาดา เหมือนกับที่วัดปรมัยยิกาวาส ทางกรมศิลปากรเข้าไปสร้างพิพิธภัณฑ์ให้แก่วัดนี้
เพราะวัตถุโบราณที่มีคุณค่าประวัติศาสตร์มีมาก วัดปรมัยยิกาวาส ที่เกาะเกร็ด
จังหวัดนนทบุรี ขอแถมไว้ตรงนี้ด้วย เพื่อผู้ว่าราชการอ่านเจอหรือรองผู้ว่า
ที่เคยทำงานกันมาสมัยที่ท่านเป็นนายอำเภอเบตง ทำงานร่วมกันในเรื่องกดดันให้โจรจีน
ฯ ออกมามอบตัวเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ - ๒๕๓๐
การไปภูกุมข้าวไปตามถนนสาย ๒๒๗ ประมาณ ๒๘ กม. แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีก ๑ กม.
จากปากทางเข้าภูกุมข้าว หากเลยไปถึงจนอำเภอคำม่วง ถิ่นผ้าไหมแพรวาระยะทาง
๔๕ กม. และจะผ่านทางเข้าวัดพุทธนิมิตร ซึ่งมีพระพุทธไสยาสน์ภูค่าวอยู่ที่วัดนี้
วัดกำลังสร้างโบสถ์ด้วยไม้สวยงามมาก แกะสลักอย่างดี แต่น่าเสียดาย ทุกจุดที่มีการแกะสลักอย่างงดงาม
ก็จะแกะสลักชื่อผู้บริจาคที่งดงามเด่นนูนชัดด้วยอักษรสีทอง ข่มความงามของการแกะสลักประตู
หน้าต่างเสียหมด พระพุทธรูปท่านประทับตะแคงซ้าย ผิดพระพุทธไสยาสน์ทั่วไป และยังมีศาลาพุทธนิมิตร
ธรรมนิมิตร สังฆนิมิตร ซึ่งศาลาสังฆนิมิตรนี้ ประดับฝาและเพดานด้วยพระเครื่องทั้งสิ้น
ทุกหลังเป็นอาคารไม้และงามด้วยชื่อผู้บริจาค แต่ก็สมควรไปชมและไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์
ที่สหัสขันธ์ยังมีแหลมโนนวิเศษ
ห่างจากอำเภอเลี้ยวเข้าไปสัก ๖ กม. ไปดูพระอาทิตย์ตกงามนัก แหลมยื่นลงไปในเขื่อนลำปาว
มีแพขนานยต์รับส่งคน และรถข้ามฟากไปยังอำเภอหนองกุงศรีได้ ซึ่งที่อำเภอนี้มีเกาะมหาราช
เป็นสวนสาธารณะ
อำเภอสมเด็จ มีน้ำตกแก้งกะอาม
มีผาเสวย ผาตั้งอยู่บนเหวลึก
หน้าผาสูงชนชาวบ้านเลยเรียกว่า "เหวหำหด" ชาวบ้านเขาเรียกอย่างนี้จริง ๆ ไม่ใช่ผมตั้งให้
อำเภอเขาวง มีน้ำตกผานางคอย
น้ำตกตาดทอง
อำเภอยางตลาด อำเภอท่าคันโท มีเขื่อนลำปาว
และหาดดอกเกด
เป็นหาดเนินลดหลั่นจนจรดเขื่อน มีต้นการเกดเป็นไม้พื้นเมือง ปลูกปะปนกับไม้อื่นไว้เป็นกลุ่ม
อำเภอกมลาไสย เป็นอำเภอที่สำคัญมากในการท่องเที่ยวอีกอำเภอหนึ่ง
ผมให้รองลงมาจากอำเภอไดโนเสาร์ เพราะที่อำเภอนี้มีเมืองโบราณ คือ เมือง
"ฟ้าแดดสงยาง"
บางทีก็เพี้ยนไปเรียกว่าฟ้าแดดสูงยาง บางที่เรียกว่าเมืองเสมา
ตามลักษณะของเมือง มีอายุระหว่าง พ.ศ. ๑๓๐๐ - ๑๖๐๐ และได้ค้นพบหลักฐานที่ยืนยันว่า
ยุคโลหะของสุวรรณภูมิ ได้เริ่มมาก่อนทุกแห่ง ๆ ในโลกนี้
ปัจจุบันเมืองฟ้าแดดสงยางเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเสมา ตำบลหนองแป้น เดินทางไปตามถนนสาย
๒๑๔ (สายกาฬสินธุ์ - ร้อยเอ็ด) ประมาณ ๑๓ กม. จะถึงอำเภอ แล้วแยกขวามือเข้าไปอีก
๖ กม. ไปตามถนนสาย ๒๓๖๗ (สายนี้ไปออกอำเภอพยัคภูมิ ไปมหาสารคามได้)
จะถึงทางแยกขวา ซึ่งทางซ้ายคือวัดโพธิ์ชัยเสมาราม เลี้ยวขวาเข้าไปก่อน เที่ยวกลับจึงแวะวัดโพธิ์ชัย
เข้าไปอีกประมาณ ๑ กม. จะถึงพระธาตุยาคูหรือธาตุใหญ่
เป็นพระสถูปสมัยทวาราวดี (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๕) ได้รับการบูรณะแล้ว แต่ดูจะทำเสียใหม่หน่อย
และมีเสมาปักรายล้อม เหลือเสมาที่เป็นหินทราย และแกะสลักอยู่เพียงเสมาเดียวนอกนั้น
ไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วัดโพธิ์ชัยบ้าง ขอนแก่นบ้างและตัวเมืองฟ้าแดดสงยางก็อยู่รายล้อมพระธาตุนี้
คงเห็นแต่คันคูเมืองที่คงจะได้ปรับปรุงแล้ว แต่ก็ยังมองออกว่าลักษณะผังเมืองนี้
เมื่อพันปีก่อนเป็นอย่างไร
พิพิธภัณฑ์ที่วัดโพธิ์ชัย เป็นของวัดเองเรียกว่าโรงไม้กระจอก
ๆ จะเหมาะกว่า ทางจังหวัดหรือกรมศิลปากรต้องเข้าไปช่วยวัด เอาแค่เสมาหินทราย
(มีเสมาจำลองที่พิพิธภัณฑ์ขอนแก่น) "พิมพาพิลาป" เพียงแผ่นเดียว ตั้งอยู่โคนต้นไม้ในวัดโพธิ์ชัยเสมาราม
ก็งดงามจนประมาณค่ามิได้ สลักหินเป็นรูประนางยโสธรา สยายผมยาวให้เป็นราดพระบาท
(เป็นต้นศัพท์ของคำว่าราดพระบาท) ให้พระพุทธเจ้าเสด้จพระราชดำเนิน ใบเสมาต่าง
ๆ จึงแกะสลัดเป็นพระพุทธประวัติ พิมพาพิลาป งดงามยิ่งนัก "กลัวหาย" ในวัดนี้จึงมีทั้งเสมาเรียบ
เสมาแกะสลัก
ความที่กาฬสินธ์ไม่ใช่เมืองที่นักท่องเที่ยวไปเยือนกัน จึงหาร้านอาหารยาก
แต่ต่อไปนี้คงจะไปเยือนกันเพราะผมเชื่อว่า ที่ผมเขียนไปในหนังสือหลาย ๆ ฉบับ
เช่น ในไทยรัฐ "ต่วยตูน" คงมีนักท่องเที่ยวที่อยากเห็นสิ่งมหัสจรรย์ระดับโลก
คือ ฟอรส์ซิลของไดโนเสาร์ เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง ฯลฯ ไปเที่ยวกาฬสินธ์กัน
ไม่ไกลเลยประมาณ ๕๑๐ กม. ขับรถสบาย ๆ ไม่กี่ชั่วโมง ที่พักก็ดีสดวกสบาย น่าเที่ยวแต่ร้านอาหารอร่อย
ๆ คลำไม่เข้าเป้าหมายเลย ยอมแพ้และขออภัยต่อชาวกาฬสินธ์ด้วย
ร้านรสเด็ด เดี๋ยวนี้ย้ายมาอยู่ถนนหลังกาฬสินธุ์พลาซ่า เหลืออาหารอร่อยอย่างเดียว
คือ เต้าฮวยเย็น ก๋วยเตี๋ยว บะหมีพอแก้หิว ของอร่อยสมัยก่อน คือ พระรามลงสรง
ทำแบบหม้อไฟ ไม่ทำแล้วบอกว่าเหนื่อย
ร้านแซ๊บอีหลี ใกล้ ๆ วัดกลาง มีแต่อาหารเนื้ออย่างเดียว ถ้าซื้อกลับยังมีของดีคือ
เนื้อทุบ
ตลาดเทศบาลโต้รุ่ง อยู่หน้าศาลากลาง ติดตลาดกันตั้งแต่ตอนเย็น โดยปิดถนนทั้งสายเปิดเป็นตลาดโต้รุ่ง
ขายกันตั้งแต่ห้าโมงเย็นไปยันตีหนึ่ง สารพัดอาหาร มารถเข็นมีโต๊ะเก้าอี้นั่งพร้อม
แต่หากฝนตกไม้รู้ว่าเขาแก้ปัญหาอย่างไร ตั้งแต่ปากทางเข้าเรื่อยไปสารพัดอาหารจริง
"ปิ้ง" ไก่ปิ้ง ไก่ยาง หมูปิ้ง หมูสะเต๊ะ ไข่ปิ้ง (แบบอิสาน ไม่ใช่แบบหาบขายในกรุง)
ข้าวขาหมูเล็งไว้ ๒ เจ้าเพราะคนขายอ้วนทั้งคู่อีก ๒ - ๓ เจ้าคนขายผอมไปหน่อย
ก๋วยเตี๋ยวเกี๊ยว บะหมี่ ข้าวแกง ข้าวผัด อาหารตามสั่ง
เรียกว่าสรรพาหารทีเดียว และมากด้วยส้มตำไก่ย่าง เดินไปจนเกือบสุดร้านอาหาร
ทางซ้ายมือเจอประเภทอาหารตามสั่ง ถูกใจที่ชื่อร้านที่เขาแขวนป้ายไว้ และที่เสื้อคนขาย
ชื่อ "กุ๊กอ้วนกาฬสินธุ์" คนนั่งกินพอสมควร แต่ซื้อห่อกลับบ้านนั้นแยะทีเดียว
อุตสาหกรรมครอบครว พ่อเป็นกุ๊ก (ไม่อ้วนนัก) แม่รับคำสั่งคอยเตรียมอาหาร ลูกชาย/หญิง/เสริฟอย่างรู้งาน
พอนั่งก็น้ำแข็งฟรีมาทีเดียว ร้านตรงข้ามสารพัด "ยำ" ร้านเยื้องซ้าย ส้มตำชนิดสากกับทัพพีลอยเวลาตำ
เยื้องขวาขนมหวานใส่น้ำแข็งใส
ต้มจืดไข่น้ำ เอาไข่ไปเจียวก่อนแล้วใส่มาในแกงจืดหมูสับ ผัดกาดขาว รสแกงเยี่ยมร้อนซดชื่นใจ
หอมกลิ่นไข่เจียวที่ใส่มาทั้งแผ่น เข้ากันดี ผิดกับไข่น้ำโรงเรียนนายร้อยสมัยผมเป็นนักเรียน
ผัดหมึกน้ำพริกเผา หมึกข้ามน้ำข้ามทะเลมาผัดน้ำพริกเผา ถึงกาฬสินธุ์ผัดดีเสียด้วย
หอมเชียวเอาน้ำผัดคลุกข้าวยังได้เลย
ผัดขี้เมาหมู จานนี้อร่อยมากหรือมาก ๆ ผัดกับหน่อไม้อ่อน หวานเผ็ดนิดเดียว
กินกับข้าวก็ได้ เป็นกับแกล้มก็ได้ แต่เขาไม่ได้ขายเหล้า ทดลองชิมได้แค่นี้
แถมด้วยไข่ปิ้งที่ติดมือมาจากปากทางเข้า
|