|
สู่อีสาน (๒)
ผมจะพามายัง "วังน้ำเขียว"
ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์ของโคราช และที่แน่ ๆ คือ มีอากาศบริสุทธิ์ติดอันดับโลก
แต่คงต้องหมายถึง ในบริเวณทุ่งกว้าง ในสวนในไร่องุ่น คงไม่ใช่ในตัวอำเภอที่เป็นชุมชน
ผมพาวิ่งรถมาจนถึงสี่แยกกบินทร์บุรี โดยมาจากกรุงเทพ ฯ และริมคลองรังสิต มาผ่านนครนายก
ปราจีนบุรี ประจันต์คาม กบินทร์บุรี ร้านอาหารชวนชิมที่สี่แยกกบินทร์บุรี
คือ ร้านก๋วยเตี๋ยว และร้าน ซึ่งเป็นร้านเดียวที่มีผัดผักกะเฉดชลูดน้ำ ถึงสี่แยกกบินทร์บุรี
ก็เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสาย ๓๐๔ จะผ่านทางแยกซ้ายเข้าอำเภอนาดี ปราจีนบุรี จะล่องแก่งหินเพิง
ก็เลี้ยวเข้าไปทางสาย ๓๒๙๐ ผมจะขอแนะนำทัวร์ล่องแก่งหินเพิงเอาไว้ด้วย เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม
สมัยผมรับราชการอยู่ปราจีนบุรี และตอนไปรบเวียดนาม รับราชการไม่รวยสักที ประกอบกับเป็นชาวอำเภอนาดี
ทั้งผัวและเมียจึงลาออกมาทำทัวร์ล่องแก่งหินเพิง อยู่ในพวกแรก ๆ ที่นำล่องแก่งนี้
รีสอร์ทแก่งหินเพิง มีอาหารอร่อย ๒ มื้อ มีที่พัก และเครื่องเล่นชนิดที่ผมคงไปเล่นกับเขาไม่ได้แล้ว
เช่น โหนสลิงข้ามลำน้ำ ฤดูล่องแก่ง ก็ต้องเป็นฤดูฝน ประมาณเดือนกรกฎาคม เป็นต้นไป
น้ำจะแรงและสวยมาก
เลยทางแยกไปล่องแก่งหินเพิงไปแล้ว ถนนมักจะไต่ขึ้นเนินตลอดสูง ๆ ต่ำ ๆ ไปจนถึงอำเภอปักธงชัย
เลย จึงจะพอมีถนนวิ่งในที่ราบบ้าง กม. ๒๔ จะมีแผงขายผลไม้
กม.๓๒ อุทยานแห่งชาติทับลาน
ป่าลานผืนสุดท้ายของเมืองไทย ไม่รักษาไว้ให้ดีต่อไปคงจะไม่มีป่าลาน ใบลานที่เอามาจานคัมภีร์พระไตรปิฎก
ก็จะไม่มีไปด้วย อยากสัมผัสต้นลานก็เลี้ยวขวา ไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติป่าลาน
กม.๕๖ มีทางแยกซ้ายเข้า เขาแผงม้า
"ถือว่าจุดนี้คือ ประตูสู่อีสาน"
ถนนสายนี้จะวิ่งเลาะป่าเขาใหญ่ ไปออกถนนธนรัชต์ ไปอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้
(ผ่านวัดมกุฎคีรีวัน) ก่อนถึงทางแยกเข้าเขาแผงม้า จะเห็นป้าย เป็นรีสอร์ทสุดท้ายในเขต
จ.ปราจีนบุรี ก่อนสู่ประตูอีสานคือ เขาแผงม้า ผมยังไม่เคยไปพัก ทราบแต่ว่ามีเครื่องเล่นแยะ
อากาศอยู่ในเขตติดอันดับโลก เช่นกัน และเนื่องจากอากาศเย็นชื้นตลอดปี และดินดี
วังน้ำเขียวจึงเหมาะที่จะปลูกผัก ปลูกไม้ดอก จำหน่าย ซึ่งมีมากมายหลายสิบสวน
แต่ละสวนล้วนมีที่พัก มีอาหารไว้บริการ
๖๐ กม. จากสี่แยกกบินทร์บุรี จะถึงทางแยกขวาเข้าที่พัก โดยจะผ่านปั๊มน้ำมัน
ปตท.ไปก่อน เห็นตำรวจทางหลวงอยู่ทางซ้าย มีทางแยกให้กลับรถ เลี้ยวขวาเข้ามาแล้ว
ขับรถไต่ขึ้นเนิน ตามป้ายไปประมาณ ๖๐๐ เมตร ก็จะถึงยังที่พักที่จะพักในวันนี้
รีสอร์ทแห่งนี้มีป้ายนำทางมาก พอผ่านสี่แยกกบินทร์บุรี มาสักพักก็เริ่มเห็นป้ายนำทางแล้ว
ราคาที่พักมีตั้งแต่ราคา ๒,๒๐๐ บาท ไปจนถึงราคา ๙,๐๐๐ บาท ห้องที่พักชื่อห้อง
Le Vie en Rose ราคาวันหยุดคืนละ ๕,๒๐๐ บาท ผมไปพักวันราชการ ราคา ๔,๓๐๐
แต่ราคานี้รวมค่าอาหารรสเลิศไว้ ๒ มื้อ คือ มื้อดินเนอร์ กับมื้อเช้า หักค่าอาหารตามราคาในเมนูอาหาร
(เป็นภัตตาคารด้วย เปิดทุกวัน) หักแล้วจะเหลือค่าห้องพักประมาณ ๒,๕๐๐ บาท
หรือ ๒,๐๐๐ บาท แล้วแต่จะเลือกดื่มน้ำองุ่น (ขวดละ ๑๕๐ บาท) หรือ ไวน์แดง
(ขวดละ ๓๐๐ บาท ขึ้นไป) ไวน์ และน้ำองุ่น ดื่มฟรี ผมไม่ได้ดื่มไวน์ เลยไม่ทราบว่าเขาให้เป็นแก้ว
หรือทั้งขวด แต่น้ำองุ่น เข้มข้น ให้ขวดใหญ่ทั้งขวดเลยทีเดียว
ขับรถเข้ามาถึง สำนักงานซึ่งเขาเรียกว่า วิลเลจ โอลด์ บาร์น (Village Old
Barn) ซึ่งเคยเป็นโรงนาเก่า ที่ใช้เก็บพืชผลเกษตรแล้วมาดัดแปลง ดูแล้วเห็นจะเป็นโรงนาฝรั่ง
โรงนาไทยไม่โก้อย่างนี้ ส่วนที่พักนั้นเรียกว่า ฟาร์ม สเตย์ (Farm Stay)
ตอนจองที่พักไม่เคยเห็นบ้านพักว่าเป็นอย่างไร จองกันทางโทรศัพท์ โทรตรงไปยังรีสอร์ทเลยทีเดียว
จะได้ซักถามให้เต็มที่ เพราะผู้ตอบอยู่ตรงรีสอร์ทเห็นของจริงมาตอบเรา ฟังราคาแล้วก็รู้สึกว่าแพง
และถามการท่องเที่ยว โทร ๑๖๗๒ ขอเอกสารเพิ่มเติม เขาบอกว่า ยังไม่มีเอกสารเกี่ยวกับที่พักของย่านวังน้ำเขียว
แต่ขอแนะนำให้ จดเอาไว้ก็แล้วกัน เขาก็บอกมาให้หลายแห่ง และเมื่อโทรไปถามราคาดู
แต่ละแห่งก็เป็นบ้านพัก พร้อมบริการอื่น ๆ เช่น ชมสวนผัก มีสปา มีอาหาร ๒
มื้อ มีเครื่องเล่น ราคาต่ำสุด แต่อยู่ติดถนนราคา ๑,๒๐๐ บาท นอกนั้นราคาเกิน
๒,๐๐๐ บาท ทั้งนั้น แต่จะอยู่ห่างจากถนนสาย ๓๐๔ เข้ามาในกลางทุ่ง ตามเนินเขาที่มีพื้นที่สูงตั้งแต่
๓๐๐ - ๗๐๐ ม. จากระดับน้ำทะเล เรียกว่า เด่นอยู่บนเขา เมื่อโทรถามหลายแห่งแล้ว
จึงตกลงใจพักในราคาที่ลดแล้วคือ ๔,๓๐๐ บาท
เมื่อเข้ามาถึงโรงนา สำนักงานที่หรู จัดสวย มีน้ำองุ่นต้อนรับ หวานเย็นชื่นใจ
และเป็นน้ำองุ่นของรีสอร์ทเอง เพราะรีสอร์ทแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า ๓๐๐ ไร่
ปลูกองุ่นไว้หลายพื้นที่ หลายพันธุ์ เพื่อทำ "ไวน์ด้วย" ถามดู เช่น
มีพันธุ์ Shiraz ซึ่งการเก็บองุ่นเพื่อไปทำเหล้าไวน์นั้น จะต้องเก็บในยามเที่ยงคืน
เรียกว่า ตอนองุ่นกำลังหลับ จะทำให้ความหวานอยู่ในลูกเต็มเปี่ยม การเก็บต้องเก็บด้วยการค่อย
ๆ ใช้มือผลิดพวงองุ่น
เมื่อสัก ๖ - ๗ ปีมาแล้ว การท่องเที่ยวของนิวซีแลนด์ เห็นผมไปนิวซีแลนด์บ่อย
คงจะติดใจประเทศของเขา และเมื่อตอนไปครั้งที่ ๓ ผมขับรถตระเวนอยู่ ๑๕ วัน
จากเกาะเหนือล่องมาสู่เกาะใต้ แล้วย้อนกลับไปขึ้นเครื่องบิน ที่ไครช์เชริช
กลับบ้าน ระหว่างทางก็เขียนหนังสือทุกวัน พอกลับถึงบ้านนอนพัก ๑ คืน ก็เขียนคำนำ
ส่งต้นฉบับให้ต่วยตูน พิมพ์รวมเล่ม ชื่อว่า "เที่ยวไป กินไป ในนิวซีแลนด์"
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้หรือเปล่า การท่องเที่ยวนิวซีแลนด์เลยเชิญผมกับผู้เชี่ยวชาญ
ด้านชิมไวน์โดยเฉพาะให้ไปเที่ยวนิวซีแลนด์ เมื่อไปถึงเขาก็จัดรถให้ มีผู้จัดการทัวร์จากกรุงเทพ
ฯ ไปด้วย และอาสาขับรถให้ตลอดทาง โดยการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ เน้นให้ชิมไวน์เรียกว่า
ให้ประชาสัมพันธ์ว่าไวน์ของเขาเป็นไวน์ชั้นดี ผมกล้ารับปากไป เพราะเคยชิมไวน์ของเขามาแล้วทุกครั้งที่ไป
แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ระหว่างเดินทางผมจึงหนักไปในเรื่องอาหาร ที่พัก ธรรมชาติ
ส่วนไวน์นั้นมอบให้ผู้เชี่ยวชาญที่ไปด้วยกันคอยชิม ส่วนผมชิมเหมือนกัน ชิมตอนมื้อค่ำ
และชิมกันเป็นขวด ใครถามตอบไม่ได้ว่า ไวน์รสนี้อร่อยอย่างไร เพราะเล่นซดกันมื้อละเป็นขวด
ผู้เชี่ยวชาญเห็นแล้วบอกว่า ผมจะไปรู้รสได้อย่างไร ผมก็ตอบว่า รสอร่อยที่เขาชอบพูดนั้น
ผมไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าซดเป็นขวด "เมา" สนุกดี ดังนั้นเมื่อมาชิมไวน์ที่วิลเลจ
แห่งนี้ ที่เขามีโรงงานหมักไวน์ ทำไวน์ด้วย เช่น ไวน์ชื่อ ชาโต เดส์ บรูมส์,
ลาเฟอร์ ซึ่งเขาจะบริการให้ตอนกินอาหารค่ำ ไปกัน ๒ คนกับเลขาตลอดกาล
ที่แม้ว่าเขาจะเคยเป็นนักเรียนฝรั่งเศส แต่แพ้ไวน์ดื่มไม่ได้ ดื่มคนเดียวไม่ว่าเหล้าหรือไวน์
ผมไม่ดื่ม เพราะไม่สนุก และหากดื่ม ก็ต้องดื่มกันจนเมานั่นแหละ
จากโรงนา ก็ขับรถไปตามทางผ่านไร่องุ่น ผ่านโรงทำไวน์ เข้าเขตบ้านพัก ห้องที่ผมพักนั้น
เขาแนะนำว่าราคาสูง เพราะวิวสวยที่สุดด้วย ส่วนราคาที่แพงกว่านี้ก็มีอีก ๒
- ๓ ห้อง แพงเพราะห้องใหญ่กว่า แต่วิวสวยพอ ๆ กับห้องนี้ ห้องพักอยู่บนเนินมี
๖ ห้อง แต่ละห้องจะชมวิวได้ และมีทางขึ้นลง เข้าห้องของตัวโดยไม่ปะปนกัน แต่เป็นบ้านหลังเดียวกัน
เป็นบ้าน "SWiss Chalet" แต่ไม่เหมือนทีเดียว เพราะขาดไม้ดอกในกะบะริมหน้าต่าง
ผมเคยไปขับรถตระเวนเที่ยวในนิวซีแลนด์มาแล้ว พอทราบ
ห้องพักเป็นกระจก ๑๘๐ องศา มองเห็นวิว พอตกเย็นอากาศจะเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นทันที
ประมาณสี่โมงเย็นก็เริ่มแล้ว ตอนอาหารค่ำต้องใส่เสื้อหนาว มีฝรั่ง หนุ่มสาว
เช่ารถมาพักอยู่อีกห้องหนึ่ง ฝรั่งพักชั้นบน แต่ละห้องมีเตียงใหญ่ ตู้เย็น
ที.วี. "วิทยุเทป เพลงฝรั่งเศส" มีกาต้มน้ำร้อน ชา กาแฟ วางไว้ให้
ตอนกลางคืน หนาวทั้ง ๆ ที่เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของเมืองไทย ตอนเช้าตื่นมาชมทะเลหมอก
สูดอากาศที่แสนบริสุทธิ์ สูดเข้าช้า ๆ สูดให้เต็มที่ พึ่งรู้จักอากาศที่แสนบริสุทธิ์เป็นอย่างนี้เอง
ผมขอแนะนำที่พัก ไร่ผัก ซึ่งผักจะสดสุด ๆ เอาไว้ด้วย
ถ้าจะเที่ยวครบตามนี้ ต้องนอนสัก ๒ คืน กินอากาศกันให้อิ่มไปเลย
ดินเนอร์ คณะผมใส่เสื้อหนาว คณะฝรั่ง (มี ๒ คน เหมือนกัน) แต่งยังกับจะไปดินเนอร์
โก้ทีเดียว ห้องอาหารคือ "โรงนา" โต๊ะ เก้าอี้ สวยเป็นธรรมชาติ มีบริกรรับรอง
บริการอย่างดี ให้เลือกดื่ม ไวน์ หรือน้ำองุ่น เลือกน้ำองุ่น ยกมาให้ทั้งขวด
เมนูอาหารหลักนั้น ได้ให้เลือกไว้ตั้งแต่มาเข้าพัก ผมเลือก สเต็กหมู เสริฟกับสปาเก็ตตี้
ซ๊อสมะเขือเทศสด เลขา ฯ เลือก สเต็กปลากะพง ซ๊อส ไวน์ขาว
จานแรก เสริฟสลัดผักสด ผักหลายสี มะเขือเทศ ขนมปังกรอบ ราดน้ำมายองเนส อยางจะบอกว่า
ไม่เคยกินสลัดผักที่สดขนาดนี้ที่ไหนมาก่อนเลย กรอบ สดจริง ๆ น้ำสลัดอร่อยมาก
(วันกลับขนซื้อแช่ตู้แช่ เอากลับมาอีกหลายขวด) มีขนมปังอีก ๑ ตะกร้า
ไม่มีซุป เสริฟอาหารจานหลักของผม สเต็กหมู เสริฟพร้อมเส้นสปาเก็ตตี้ผัดหมูสันนั้น
นุ่มมีรส แทบจะไม่ต้องเติมซ๊อส ก็อร่อยแล้ว เติมแค่พริกไทย พอให้ได้กลิ่นหอม
มีข้าวโพดอ่อน แครอต เป็นเครื่องเคียง ให้หมูชิ้นโต กินแทบไม่หมด
จานของเลขา ฯ สเต็กปลากะพง ซ๊อสไวน์ขาว ปลา ๑ ชิ้นใหญ่ มีหอม แครอท ข้าวโพดอ่อน
เป็นเครื่องเคียง
ปิดท้ายด้วย ขนมเค้กชิ้นเล็ก ๆ เค้กเนย หน้าครีม ราดช็อคโกแลท และตามด้วย
ชา กาแฟ หรือโอวัลติน มื้อนี้ดูตามราคาแล้ว ไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ บาท
มื้อเช้า สูดอากาศเสียแทบจะอิ่ม ไปนั่งกินที่โรงนา ที่เดิม อากาศเย็น อาหารแบบอเมริกัน
หรือเดี๋ยวนี้นิยมเรียกว่า ABF อาหารมาก ไข่ดาว ๒ ฟอง แฮม เบค่อน ไส้กรอก
น้ำองุ่นสด ขนมปัง เนยแยมองุ่น กาแฟ หรือชา ขาดไม่ได้คือ ผักสด
อิ่มแล้ว ไปเดินชมวิว ก่อนกลับแวะโรงนาใหม่ จ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต ซื้อผลิตภัณฑ์ของไร่
มีไวน์ทุกชนิด ที่ผลิตเอง น้ำองุ่น ท๊อฟฟี่องุ่น แยมองุ่น น้ำสลัด ครีมทาตัวองุ่น
และผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่าง ๆ รวมทั้งยาจาก "อภัยภูเบศร์"
..................................................
|
|