วัดพระปฐมเจดีย์
วัดพระปฐมเจดีย์
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ ต.ปฐมเจดีย์ อ.เมือง
จ.นครปฐม มีประวัติและตำนานในตอนต้นไม่สู้จะตรงกันนัก ส่วนที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้ผมถือเอาเรื่องพระปฐมเจดีย์
ของท่านเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจากรัชกาลที่
๔ ให้เป็นแม่กองดำเนินการสถาปนาปฎิสังขรณ์และข้อมูลจากหนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดนครปฐม เอามาผสมผสานรวบรวมนำมาเล่าให้ฟัง สรุปได้ดังนี้.-
วัดพระปฐมเจดีย์ มีพระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญและยังมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ลักษณะเจดีย์เป็นทรงลังกา สูง ๑๒๐.๔๕ เมตร วัดโดยรอบได้ ๒๓๕.๕๐ เมตร
ฐานเจดีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส มีชั้นลดทั้งสี่ทิศ มีระเบียงคตตรงทิศทั้งสี่
และมีวิหารประจำ สันนิษฐานกันว่า องค์พระปฐมเจดีย์นี้มีการสร้างและปฎิสังขรณ์หลายครั้ง
สมัยเริ่มแรก
อยู่ระหว่าง พ.ศ.๓๐๐ - ๑๐๐๐ เป็นสมัยสุวรรณภูมิ ซึ่งสันนิษฐานกันว่า เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช
ผู้ครองอินเดียมีอานุภาพมาก
และนับถือพระพุทธศาสนา ได้ส่งพระเถระไปเที่ยวเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่มาทางสุวรรณภูมิคือ
พระโสณเถระ
กับพระอุตระเถระ
ที่มายังสุวรรณภูมิและคงจะต้องอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย
สมัยที่สอง
คือ สมัยทวารวดี ระหว่าง พ.ศ.๑๐๐๐ - ๑๖๐๐ คงจะมีการสร้างเพิ่มเติม
สมัยที่สาม
คือ สมัยที่พระปฐมเจดีย์ถูกทิ้งร้างมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
หลักฐานทางโบราณคดี ในสมัยทวารวดี พระปฐมเจดีย์ อยู่ห่างจากฝั่งทะเลประมาณ
๑๐ กม. เป็นเมืองสำคัญทางปากอ่าวไทยทางฝั่งตะวันตก โดยมีลพบุรีเป็นเมืองสำคัญทางปากอ่าวด้านตะวันออก
องค์พระปฐมเจดีย์ ถูกทิ้งร้างมานานนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๑๕๐๐ เป็นต้นมา สาเหตุหนึ่งคือพระเจ้าอนุรุธ
แห่งเมืองพุกาม ประเทศพม่า ซึ่งมีอำนาจมาก ได้บุกรุกเข้ามาถึงดินแดนแถบนี้และกวาดต้อนผู้คนไปยังพม่า
ทำให้เมืองนครปฐมต้องถูกทิ้งร้างไป หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดได้จากเมืองพุกาม
นั้นมีลักษณะเดียวกับที่ขุดพบที่นครปฐมเช่น พระพิมพ์เงิน เหรียญรูปสังข์ หรือวัดที่พุกามสร้างขึ้นหลังสมัยพระเจ้าอนุรุธ
ก็มีแบบเดียวกับเจดีย์วัดพระเมรุ ซึ่งวัดนี้อยู่ห่างจากพระปฐมเจดีย์ไม่ถึง
๑ กิโลเมตร
เมื่อถูกทิ้งร้างไปจนมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นครปฐมยังเป็นป่าในสมัยของรัชกาลที่
๓ และเกิดกระทำปาฏิหารย์ขึ้น ได้เห็นได้ทั่วกันในบริเวณที่องค์พระปฐมเจดีย์ตั้งอยู่
ในสมัยรัชกาลที่ ๓
แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๔ เจ้าฟ้ามงกุฎหรือรัชกาลที่
๔ ในแผ่นดินต่อมา ทรงผนวชอยู่ ณ วัดสมอรายหรือวัดราชาธิวาสในปัจจุบัน ได้เสด็จธุดงค์มากับคณะสงฆ์มายังนครปฐม
ทรงปักกลดที่โคนต้นตะคร้อด้านทิศเหนือ ทรงสังเกตเห็นว่าองค์พระมีขนาดใหญ่มากน่าจะมีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่
พระองค์จึงเสด็จขึ้นสวดมนต์บนลานพระปฐมเจดีย์แล้วทรงอธิษฐานว่า ถ้ามีพระบรมสารีริกธาตุขอให้เทพดาผู้รักษาจงได้แบ่งให้สัก
๒ องค์ เพื่อนำไปบรรจุในพระพุทธรูปที่สร้างใหม่คือพระพุทธรูปเนาวรัตน์ แล้วรับสั่งให้มหาดเล็กนำผอบใส่พานขึ้นไปตั้งไว้ในโพรงด้านทิศตะวันออก
พอวันจะเสด็จกลับก็ให้ชึ้นไปอัญเชิญแต่ก็ไม่มีพระบรมสารีริกธาตุ
ต่อมาเมื่อเสด็จกลับมาแล้วประมาณเดือนเศษ ๆ พระสงฆ์สวดมนต์ที่หอพระ วัดมหาธาตุ
ขณะที่สวดไปครึ่งหนึ่งก็เกิดกลุ่มควันสีแดง กลิ่นหอมเหมือนควันธูป ควันมากขึ้นจนรมพระพุทธรูป
พระสงฆ์ก็หยุดสวดมนต์ ลุกขึ้นไปดูก็ไม่พบอะไร รุ่งขึ้นจึงไปทูลให้ทรงทราบ
พระองค์จึงเสด็จไปทอดพระเนตรพระพุทธรูปเนาวรัตน์ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้แล้ว
ก็ทรงพบว่ามีพระธาตุเพิ่มขึ้นมาอีก ๒ องค์ จึงโปรดให้บรรจุไว้ในพระสัมพุทธพรรณีองค์หนึ่ง
ในเจดีย์สุวรรณผลึกอีกองค์หนึ่ง และเกิดแรงศรัทธามุ่งมั่นที่จะบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์ให้จงได้
ทั้งนี้เพราะเมื่อเสด็จกลับมาแล้วนั้น ได้ไปถวายพระพรแด่สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชคือ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีพระดำรัสว่า "เป็นของอยู่ในป่ารก
จะทำขึ้นก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดนัก" ซึ่งเมื่อได้สดับพระกระแสร์รับสั่งว่าไม่โปรดแล้วก็ทรงพระจิตนาไว้ว่า
จะทรงสถาปนาปฏิสังขรณ์ขึ้นไว้ให้จงได้
ดังนั้นเมื่อ เจ้าฟ้ามงกุฎ ได้ลาผนวชขึ้นครองราชสมบัติแล้วได้ ๒ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดให้เริ่มลงมือก่อสร้างปฎิสังขรณ์องค์พระเจดีย์เป็นการใหญ่ โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาพระบรมมหาประยูรวงค์เป็นแม่กอง
และเมื่อสมเด็จเจ้าพระยาถึงพิราลัยก็ทรงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาทิพากรวงค์มหาโกษาธิบดี
ดำเนินการต่อไป
เมื่อ ๒๓ มีนาคม ๒๔๐๐ ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดพระปฐมเจดีย์ เพื่อก่อพระเจดีย์เป็นปฐมฤกษ์โดยเสด็จมาทางเรือ
มาเสด็จขึ้นที่วัดชัยพฤกษมาลา แล้วจึงเสด็จทางบกไปประทับแรมที่พลับพลาท่าหวด
วันรุ่งขึ้นจึงเสด็จทางเรือมาขึ้นที่คลองเจดีย์บูชา
ซึ่งเป็นคลองที่โปรดให้ขุดขึ้นกับคลองมหาสวัสดิ์ (คลองนี้ขุดเชื่อมกับคลองเจดีย์บูชาที่วัดชัยพฤกษมาลามาสู่แม่น้ำท่าจีน
ขุดหลังคลองเจดีย์บูชา)
วันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๐๐ ทรงก่อพระเจดีย์เป็นพระฤกษ์ แล้วโปรดเกล้าให้ชายฉกรรจ์ที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับองค์พระปฐมเจดีย์
ถวายตัวเป็น "ข้าพระ"
จำนวน ๑๒๖ คน
ทรงตั้งผู้ดูแลรักษา พระราชทานนามว่า ขุนพุทธเกษตรานุรักษ์
และมีผู้ช่วยซึ่งทรงพระราชทานนามว่า ขุนพุทธจักรักษา
สมุหบัญชีพระราชทานนามว่า หมื่นฐานาภิบาล
ทรงยกค่านา ค่าภาษีให้แก่วัด
การปฎิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ สร้างเป็นเจดีย์ใหญ่ครอบองค์เดิมไว้ภายใน เปลี่ยนจากบาตรคว่ำ
มีพุทธบัลลังก์เป็นฐานสี่เหลี่ยม มียอดนภศูลและมหามงกุฎสวมไว้บนยอดองค์พระปฐมเจดีย์
พ.ศ.๒๔๐๖ ได้เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานผ้าพระกฐิน
การเกิดปาฎิหารย์ขององค์พระปฐมเจดีย์นั้นมีพระมหากษัตริย์ได้ทอดพระเนตรถึง
๓ พระองค์คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุมจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อได้ทอดพระเนตรปาฎิหารย์แล้ว ได้บันทึกถวายรายงานแด่พระราชบิดาคือ
พระบาทสมเด็จพระจุมจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ร.ศ.๑๒๘ ".....ได้เห็นองค์พระปฐมมีรัศมีสว่างพราวออกทั้งองค์...."
และเมื่อทอดพระเนตรแล้วก็ได้นิมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูป มาสวดมนต์เย็นและเดินเทียนสมโภช
และขอถวายพระราชกุศลแก่สมเด็จพระราชบิดา และเป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อได้ทอดพระเนตรปาฎิหารย์แล้วอีกหนึ่งปีต่อมา
ก็ได้เสวยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และในสมัยรัชกาลปัจจุบันคือรัชกาลที่
๙ ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นปาฎิหารย์แห่งองค์พระปฐมเจดีย์ถึง ๒ ครั้ง
สถาปัตยกรรมและสิ่งสำคัญภายในวัดคือ
.-
บันไดนาคตรงกลาง
พื้นปูด้วยหินอ่อน สองข้างเป็นราวบันไดนาคเลื้อยแผ่พังพานแบบศิลปะขอม สร้างขึ้นในรัชกาลที่
๖
วิหารทิศ ๔ ทิศ
โดยมีระเบียงคดเชื่อมต่อกัน เดินได้รอบองค์พระเจดีย์
วิหารทิศเหนือ หรือวิหารพระร่วงโรจน์ฤทธิ์
ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือนี้จะเป็นด้านที่ทุกคนเข้าใจกันว่าเป็นด้านหน้า เพราะทุกคนที่ไปนมัสการพระปฐมเจดีย์จะต้องขึ้นไปทางด้านนี้และไปนมัสการพระร่วงโรจน์ฤทธิ์
ความจริงด้านหน้าที่ตั้งชื่อถนนว่าถนนหน้าวัด คือด้านที่ถนนมาจากกรุงเทพ ฯ
มาบรรจบเรียกว่าถนนหน้าวัด ส่วนทางด้านที่เข้าใจว่าเป็นด้านหน้าเป็นถนนซ้ายวัด
พระวิหารด้านนี้ อยู่ด้านหลังขององค์พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ ต้องเดินเข้าประตูด้านหลังองค์พระร่วงเข้าไป
จะแบ่งออกเป็น ๒ ห้อง ห้องแรกมีพระพุทธรูปปางประสูติ ห้องด้านในเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยกะหรือปาลิไลยก์
พระพุทธรูป พระร่วงโรจน์ฤทธิ์นี้
มีประวัติว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระอิสริยยศเป็นมงกุฎราชกุมาร
ได้เสด็จออกตรวจราชการทางภาคเหนือและได้ไปพบพระพุทธรูปงดงามมากเหลือแค่เพียงเศียร
แขนข้างเดียวและองค์พระ จึงอัญเชิญลงมากรุงเทพ ฯ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติแล้ว
จึงโปรดให้จัดการพระราชพิธีสถาปนาพระพุทธรูปองค์นี้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๕๖ เสร็จแล้วโปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานที่หน้าพระวิหาร
ทางทิศเหนือขององค์พระปฐมเจดีย์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ และโปรดเกล้า ฯ ถวายพระนามเมื่อ
๑๖ ตุลาคม ๒๔๖๖ และยังทรงระบุไว้ในพินัยกรรมว่าให้นำพระบรมสริรังคารส่วนหนึ่งมาบรรจุไว้ที่หลังองค์พระร่วงโรจน์ฤทธิ์อีกด้วย
เขามอ
อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะจำลองธรรมชาติ
ต้นศรีมหาโพธิ์
มองลงไปจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือขององค์พระ จะเห็นต้นโพธิ์ ซึ่งโพธิ์ต้นนี้
ดอกเตอร์ ยอห์น สไคว์ นำเมล็ดต้นโพธิ์มาจากพุทธคยา มาถวายรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดให้เพาะแล้วพระราชทานแจกจ่ายไปยังพระอารามหลวงหลายแห่ง
ๆ ละหนึ่งต้น แต่พระราชทานมาที่องค์พระปฐม ๕ ต้น
พระวิหารด้านทิศตะวันออกหรือพระวิหารหลวง
มี ๒ ห้อง ห้องนอกประดิษฐานพระพุทธรูปปางตรัสรู้ อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว มีจิตกรรมฝาผนังที่งดงามยิ่ง
สีน้ำมันรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์ และภาพอื่น ๆ ส่วนห้องด้านในมีภาพจิตกรรมฝาผนัง
มีแท่นบูชา เป็นพระแท่นสำหรับวางเครื่องสักการะบูชาองค์พระปฐมเจดีย์ เป็นที่สำหรับประกอบพิธีสักการะพระบรมสารีริกธาตุ
- พระพุทธสิหิงค์
อยู่ในซุ้ม หากมองเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นพระพุทธรูปองค์นี้
และหากเรายืนที่ลานรอบองค์พระด้านถนนหลังวัด มองตรงไปจะเห็นอยู่ในแนวเดียวกันหรือมองจากพระราชวังสนามจันทร์ก็เช่นเดียวกันคือ
พระที่นั่งพิมานปฐม หอพระคเนศ และองค์พระปฐมเจดีย์จะอยู่ในแนวเดียวกัน
- เกย อยู่ตรงกับประตูกำแพงชั้นใน
- ทวารบาล
เป็นรูปคนนุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงิน ผิวกายสีน้ำตาลเฝ้าประตูช่องบันได ด้านละ
๒ คน ซุ้มช่องบันไดนี้ ส่วนบนเป็นรูปรี เหนือขึ้นไปเป็นตรามหาพิชัยมงกุฎ
- พลับพลาเปลื้องเครื่อง
พลับพลาหันหน้าเข้าหาองค์พระเจดีย์ พลับพลาทรงไทย รัชกาลที่ ๔ โปรดให้สร้าง
พระอุโบสถ อยู่บนลานชั้นลด ประดิษฐานพระพุทธรูปที่นำมาจากวัดพระเมรุ
ศิลปะทวารวดี ปางปฐมเทศนา นั่งห้อยพระบาท ฐานกลีบบัว เรียกกันทั่วไปว่า พระพุทธรูปศิลาขาว
พิพิธภัณฑ์สถานวัดพระปฐมเจดีย์
อยู่บนลานชั้นลดด้านทิศเหนือ มีพระทองคำ อาวุธโบราณ ฯ
พระวิหารด้านทิศใต้ ห้องนอกพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาพร้อมปัญจวัคคีย์
ห้องในเป็นพระปางนาคปรก ซึ่งนาคที่นี่มีลักษณะแปลกคือลำตัวใหญ่ แต่เศียรทั้ง
๗ มีขนาดเล็ก
- เสาประทีป
เป็นเสาสำหรับตามไฟให้สว่างอยู่ที่ลานหน้าพระวิหาร
พระวิหารด้านทิศตะวันตก ห้องแรกเป็นวิหารพระนอน
มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ห้องในเป็นพระพุทธรูปปางปรินิพพาน
- พระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพาหาจะตั้งพระหัตถ์รองรับพระเศียร
- ปางปรินิพพาน พระพาหาจะราบไม่ตั้งรองรับพระเศียร
- พระพุทธรรูปศิลาขาว ถวายพระนามว่า "พระพุทธนรเชษฐ์ ฯ " เป็นพระพุทธรูปที่ได้มาจากแหล่งเดียวกันคือวัดพระเมรุ
มี ๔ องค์ พระประธานในพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ ๑ องค์, พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอยุธยา
๑ องค์, ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเทพ ฯ ๑ องค์ และ ณ ลานแห่งนี้ ๑ องค์ แต่มีการถวายพระนามองค์เดียว
พระพุทธรูปที่สร้างไว้และประดิษฐานที่ศาลารายรอบองค์พระปฐมเจดีย์นั้น น่าศึกษาอย่างยิ่ง
เพราะมีคำอธิบายประกอบไว้ด้วย ว่าเป็นพระพุทธรูปปางอะไร ซึ่งยากนักที่จะหาชมได้ในการที่จะสร้างพระพุทธรูปปางต่าง
ๆ ไว้ให้ศึกษาและสักการะ ผมไม่ได้นับให้ครบถ้วนแต่พอจะทราบว่าปางของพระพุทธรูปนั้นมีมากมายใกล้หลักร้อย
หาอ่านได้จากหนังสือ "ปางพระพุทธรูป"
และรอบระเบียงแห่งนี้ยังมีพระพุทธรูปปางประจำชีวิตต่าง ๆ ด้วย ได้แก่ พระพุทธรูปปางประจำวัน
เช่นปางถวายเนตร ประจำวันอาทิตย์, ปางสมาธิหรือปางตรัสรู้ พระประจำวันพฤหัสบดี
พระพุทธรูปประจำเดือนเช่น พระประจำเดือนอ้ายคือพระพุทธรูปปางปลงกัมมัฎฐาน
หรือปางชักผ้าบังสุกุล พระอริยาบถประทับยืน พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า พระหัตถ์ขวายื่นไปข้างหน้า
พระพุทธรูปประจำปีเกิดเช่น ปีมะแมคือพระปางประธานพร
ประทับยืนยกพระหัตถ์ไว้เสมอพระอุระ แบบพระหัตถ์ขวาออกไปข้างหน้า แต่บางแบบยกพระหัตถ์ขวาขึ้น
ห้อยพระหัตถ์ซ้ายลง
ซึ่งพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหล่านี้ รวมทั้งประประจำวัน ประจำเดือน ประจำปีเกิด
จะนมัสการได้จากพระระเบียงขององค์พระปฐมเจดีย์ หากมีโอกาสผมจะไปถ่ายภาพและหารายละเอียดของพระพุทธรูปปางประจำต่าง
ๆ นี้มาเล่าให้ฟัง ตอนนี้ได้แต่รวบรวมและจัดพิมพิ์เป็นรูปเล่มเอาไว้แจกในงานพระราชทานเพลิงศพมารดาของผม
ในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๘ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ หลักสี่ คือเรื่องไหว้พระธาตุประจำปีเกิด
ซึ่งได้ทยอยนำลงเป็นตอน ๆ ในนิตยสารบางกอก รายสัปดาห์ ไปเรียบร้อยแล้ว
ลานอาหารด้านหลังวัดขององค์พระปฐมเจดีย์ เรียกว่าเป็นลานอาหารที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว
พอตกตอนเย็นยังไม่ทันค่ำ รถเข็นขายอาหารคงจะร่วมร้อยคันก็มาตั้งเรียงแถวเป็น
๓ - ๔ แถว มีสารพัดอาหาร มึครบทั้งไทย จีน อิสลาม ขนม ไอศกรีมของโปรด มีพร้อม
โดยเฉพาะแถวแรกด้านหน้านั้นมีไอศกรีมเจ้าสำคัญคือ ไอศกรีมลอยฟ้า เขาเขียนบอกไว้อย่างนั้น
คนตักจะโยนตัวไปมาเรียกว่าเต้นไปมาก็ได้ แล้วตักไอศกรีมโยบนขึ้นฟ้า พอไอศกรีมลอยลงมาก็เอาถ้วยรับ
หรือยิ่งกว่านั้นให้คนอื่นรับแทน ดูเหมือนจะตักได้ทั้งหญิงและชาย ไม่กินไอศกรีมก็ไปยืนดูเขาตักไอศกรีมก็เพลินดีเหมือนกัน
ขอแนะนำว่าไปเที่ยวนครปฐมนั้นขอให้ไปตอนเช้า ๆ แล้วแวะไปที่ตลาดนัดถนนเทศา
ซอย ๒ ซึ่งถนนสายนี้คือถนนสายที่มุ่งหน้าเข้าหาองค์พระ ที่เรียกว่าหน้าพระ
เช้า ๆ ก่อน ๐๙.๐๐ สารพัดของกิน ของใช้แปลก ๆ อร่อย ๆ ทั้งนั้น
ร้านอาหารที่เปิดแต่เวลาค่ำ และอาหารหลักจานเด็ดคือ หัวปลาหม้อไฟ
หากไปจากกรุงเทพ ฯ จนถึงแยกที่มีสะพานข้ามเข้าตัวเมืองนครปฐม อย่าข้ามสะพาน
ให้ขับรถลอดใต้สะพานไปทางจะไปราชบุรี จนถึงสี่แยกไฟสัญญาณ มีป้ายบอกว่าไปองค์พระปฐมเจดีย์
ให้เลี้ยวขวาตรงนี้เรียกว่าทุ่งพระเมรุ เลี้ยวขวาเข้าถนนแคบ ๆ จะผ่านร้านข้าวต้ม
ประเภทเปิดกลางคืน วิ่งต่อไปจะพบร้านเซเว่น ฯ อยู่ทางซ้ายมือและตลาดปฐมมงคล
๑ อยู่ทางขวามือ ตลาดนี้เป็นตลาดค้าผัก ผลไม้ รวมทั้งตลาดทางด้านซ้ายด้วย
ให้จอดรถแถวตลาด แล้วเดินไปสัก ๒๐ เมตร อยู่ตรงโค้งของถนนแคบ ๆ นี่แหละ ตรงข้ามกับปฐมเภสัช
ไม่ใช่ร้านแต่เป็นบ้านโบราณ ชั้นบนมีระเบียง มีชาน ตั้งโต๊ะที่ในตัวบ้าน และที่ชานนั่งซดกันกลางแสงดาว
แสงเดือน เย็นสบายดี ไม่ต้องมีแอร์
สั่งหรือต้องสั่ง ถ้ามาชิมร้านนี้คือ "หัวปลาต้มเผือกหม้อไฟ" ใช้หัวปลาเก๋า
ตัวคงจะโตมาก มีเนื้อที่หัวปลาแยะ เอาเนื้อปลาจิ้มเต้าเจี้ยว น้ำซุปของเขาหวานด้วยปลาหมึกแห้ง
ผักกาดขาว และกลิ่นนั้นหอมด้วยกลิ่นเผือก พอน้ำซุปร้อนได้ที่ ซดกันตอนร้อน
ๆ ชื่นใจนัก ที่นั่งที่ชานระเบียงนี้นักซดสุราจองกันเต็ม
สั่ง หอยแครงลวก ลวกเก่ง หอยอ้าปากเห็นเนื้อสีแดง แสดงความสดให้ชม ปลาดุกผัดฉ่า
เอามากินกับข้าว ไส้ตันทอดกระเทียมพริกไทย หอมฟุ้งมาแต่ไกล ปลาช่อนทอดผัดคื่นฉ่าย
ปลาช่อนยำ หากไปหลายคนหรือพุงยังรับไหว สั่งปลาช่อนทอดแกงส้มแป๊ะซะ
ของหวานไม่มี อิ่มแล้วไปเดินตลาดหลังองค์พระ ไปกินไอศกรีมลอยฟ้า
..................................................
|